วิกฤตต้มยำกุ้ง
ผู้เรียบเรียง รศ.ดร.นิยม รัฐอมฤต
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รศ.ดร.ปธาน สุวรรณมงคล
วิกฤตต้มยำกุ้ง หมายถึงวิกฤตเศรษฐกิจ ปี พ.ศ. 2540 ที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย ในยุครัฐบาล พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ จุดแตกหักของวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้เกิดขึ้นตอนเช้าตรู่วันที่ 2 กรกฎาคม 2540 เมื่อรัฐบาลประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวอย่างทันทีทันใด จากเดิมประมาณ 25.60 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐ เป็น 28.75 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง และค่าเงินบาทอ่อนลงตามลำดับ ในช่วงต่ำสุดเคยตกลงถึง 55 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐ
วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ นอกจากทำให้ธุรกิจเอกชน เช่น บริษัทบ้านจัดสรร อุตสาหกรรมก่อสร้าง อุตสาหกรรมผลิตวัสดุก่อสร้าง สถาบันการเงิน ธนาคาร ธุรกิจการพิมพ์การโฆษณา ถูกกระทบอย่างรุนแรง หลายแห่งต้องปิดกิจการ หลายแห่งมีหนี้ท่วมตัว พนักงานจำนวนมากถูกปลดออกจากงาน และรัฐบาลถูกกดดันให้ลาออกแล้ว วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ยังส่งผลให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศมาเลย์เซีย อินโดนีเซีย เกาหลี ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ รัสเซีย และประเทศอื่นๆ มากบ้างน้อยบ้าง
ความพยายามของธนาคารแห่งประเทศไทยในการพยุงค่าเงินบาท ทำให้เงินสำรองเงินตราต่างประเทศหมดคลังจนต้องขอกู้จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศจำนวน 17,200 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อพยุงฐานะทางการเงินของประเทศ และรัฐบาลไทยจำต้องยอมรับเงื่อนไขต่าง ๆ ที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศกำหนดขึ้น เช่น งบประมาณแผ่นดินจะต้องตั้งเกินดุล 1 เปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ ภาษี มูลค่าเพิ่มจะต้องเพิ่มจากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 10 ต้องแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
สาเหตุของวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ เข้าใจกันว่าเกิดจากการดำเนินนโยบายผิดพลาดที่สำคัญ 2 ประการของธนาคารแห่งประเทศไทย ได้แก่
1)
การใช้เงินกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินไปช่วยเหลือสถาบันการเงินจนเกิดความเสียหายเกินที่จะเยียวยา และจำต้องปิดบริษัทไฟแนนซ์ 56 แห่ง
2)
การสูญเสียเงินสำรองระหว่างประเทศในการปกป้องการโจมตีค่าเงินบาท จนนำไปสู่วิกฤตเงินทุนสำรอง ทำให้เงินบาทขาดเสถียรภาพนับตั้งแต่การตัดสินใจเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนจากระบบตะกร้าเงินมาเป็นระบบลอยตัว
เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 สาเหตุ 2 ประการข้างต้นมีที่มาจากการเร่งรัดเปิดระบบวิเทศธนกิจ หรือ BIBF (Bangkok International Banking Facility) เมื่อปี 2536-2537 ทำให้เกิดการก่อหนี้ต่างประเทศของภาคเอกชนจำนวนมหาศาลถึง 70,000 ล้านบาท ในขณะที่ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐถูกตรึงค่าอยู่ที่ 25.60 บาท ต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐ แต่เมื่อปล่อยค่าเงินบาทลอยตัว ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐสูงถึง 45-50 บาท ต่อดอลล่าร์สหรัฐในช่วงหลังวิกฤตได้ไม่นาน ทำให้หนี้เงินกู้ของบริษัทเอกชนเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว และพากันล้มละลายหรือมีหนี้ท่วมตัว
จากสถาบันพระปกเกล้า
http://www.kpi.ac.th/wiki/index.php/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B8%B3%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%87
#################################################################################
ไม่ได้มีแค่ข้อมูลนี้ ถ้าใครทำ thesis ก็ต้องอ้างอิงข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ จากการ search หาแหล่งข้อมูลทุกที่ให้ข้อมูลในทิศทางเดียวกัน (ต้องเป็น สถาบันที่น่าเชื่อถือ เขาถึงจะยอมรับ ไม่ใช่ไปเอา mthai talk , หรือ WebBoard มาอ้าง) ว่าเกิดจากการบริหารงานที่ผิดพลาดของรัฐบาลชวลิต ในการต่อสู้กับค่าเงิน และไปรีบร้อนปิดสถาบันการเงิน เนื่องจากมีหนี้ NPL จำนวนมาก
เคยเปรียบเทียบไว้หลายครั้งให้คนที่คิดไม่ทัน ถ้ามีคนมาเผาบ้านคุณจะโทษใคร โทษคนเผา หรือนักดักเพลิงที่มาฉีดน้ำช่วยดับไฟบ้านแต่ฝาบ้านดันพัง โดยไอ้คนเผามันยืนชี้โดยการประชาสัมพันธ์ (ไอ้คนเผามันเก่งเรื่องโน้มน้าวประชาสัมพันธ์) บอกว่าทำบ้านพังหมดเลยเห็นไหม ดับไฟยังไงทำบ้านพัง โดยคนที่จุดไฟเผาคือไอ้คนที่ยืนชี้ด่าคนฉีดน้ำนั้นแหละ
ตอนบ้านไฟ้ไหม้โหมหนักมันชิงลาออก โยนโทษให้นักดับเพลิง แล้วพอนักดับเพลิง ไปบอกให้นายหน้ามาขายบ้านที่โดนเผา (สถาบันการเงิน) มันประชาสัมพันธ์หลังจากผ่านมาหลายปีว่า ตอนน้ันทำไมไม่ขายให้ได้ราคาเยอะๆ (your father die (ยืมคำลุงจอนมาพูดหน่อย) ก็ของมันไม่ดีของมันเหลือแต่ตอ ขายได้เท่าไหร่ได้สามสิบเปอร์เซนต์ก็ดีแล้ว ถ้าเมิงแยกชิ้นส่วนบ้านหลังคาไปขาย หรืออะไรที่ดีไปขาย แล้วไอ้ส่วนที่เสียจะเก็บไว้ทำซากอะไรก็ต้องขายเหมารวม
เรื่อง IMF ก็เช่นกัน ไอ้คนไปกู้ ดันมาทำตัวเองเป็นฮีโร่โดยบอกว่ามันเป็นคนชดใช้หมดไว ถามว่าใครกู้ แถมชดใช้หมดก่อนมันก็เสียดอกเบี้ยเพิ่ม แต่มันเอาหน้าเอาตา มันก็เป็นคนเดียวกับที่เผาบ้านนั้นแหละ การประชาสัมพันธ์มันเก่ง คนไทยต้องเป็นหนี้ก็เพราะวิกฤตเศรฐกิจ ใครเป็นคนทำไว้บริหารพลาดไว้หละ
ถามว่ามีคนเชื่อการประชาสัมพันธ์ของพวกนี้ไหม เพียบ !?
พวกนี้ได้ใจเลยประชาสัมพันธ์ต่อมา โดยหลอกพวกเดียวกันเองในหลายๆเรื่อง บอกทำเพื่อชาติแต่ตัวเองอยากได้เงินคืน
หลอกให้พวกไปตายหวังเป็นเกมส์ต่อรอง ต่อรองเสร็จถีบหัวส่งบอกเดินไปเองได้แล้ว มาส่งถึงฝั่งแล้ว
ออก พรบ นิรโทษหวังเงินคืนข้ามศพพวกเดียวกัน โดยใช้การประชาสัมพันธ์แบบเดิมที่ให้คนเชื่อ
พอไม่ผ่านกลับมาหากินกับศพอีก ใช้ความรุนแรงสร้างความเกลียดชัง ยุให้แยกประเทศ
หลอกโดยใช้การประชาสัมพันธ์ เพื่อผลประโยชน์ตัวเองและพวกพ้อง
ไอ้พวกที่โดนหลอกมันก็ฮานะ โดนเท้าทีมองไม่เห็นเสียบ กระทืบ กระทุ้ง ยอดหน้าจนเลือดกลบปากไปเป็นสิบๆรอบ โดนมีดแทงเลือดท่วมตัว แถมโดนโยนทิ้งจะตัดความสัมพันธ์อย่างหมูอย่างหมา กระทืบซ้ำโดยแกนนำ ที่โดนส่งมาจากเท้าที่มองไม่เห็น เลือดท่วมตัวแทบเดิมไม่ไหว มันยังคลานมาจับตรงขา แล้วตะโกนว่า ศรีทนได้ ซ้ำมาอีกศรีชอบ กระทืบอีกศรีชอบการหลอกลวง อย่างไรศรีก็จะรักคุณ ทุกวันนี้เดินเฉียดหัวไม่ค่อยได้เริ่มมีกลิ่นเหม็นแล้ว หัวเริ่มเน่า แต่ศรีก็รักของศรี
ไอ้พวกนี้มันเคยทำอะไรให้บ้านเมืองบ้างหนอ .....
เอาความจริงมาคุยกันเรื่อง IMF และ ปรส ว่าใครเป็นคนทำให้เกิด และสิ่งสืบเนื่องที่บางคนอาจคิดไม่ถึง(ฺBy Identity Idea )
ผู้เรียบเรียง รศ.ดร.นิยม รัฐอมฤต
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รศ.ดร.ปธาน สุวรรณมงคล
วิกฤตต้มยำกุ้ง หมายถึงวิกฤตเศรษฐกิจ ปี พ.ศ. 2540 ที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย ในยุครัฐบาล พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ จุดแตกหักของวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้เกิดขึ้นตอนเช้าตรู่วันที่ 2 กรกฎาคม 2540 เมื่อรัฐบาลประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวอย่างทันทีทันใด จากเดิมประมาณ 25.60 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐ เป็น 28.75 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง และค่าเงินบาทอ่อนลงตามลำดับ ในช่วงต่ำสุดเคยตกลงถึง 55 บาทต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐ
วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ นอกจากทำให้ธุรกิจเอกชน เช่น บริษัทบ้านจัดสรร อุตสาหกรรมก่อสร้าง อุตสาหกรรมผลิตวัสดุก่อสร้าง สถาบันการเงิน ธนาคาร ธุรกิจการพิมพ์การโฆษณา ถูกกระทบอย่างรุนแรง หลายแห่งต้องปิดกิจการ หลายแห่งมีหนี้ท่วมตัว พนักงานจำนวนมากถูกปลดออกจากงาน และรัฐบาลถูกกดดันให้ลาออกแล้ว วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ยังส่งผลให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศมาเลย์เซีย อินโดนีเซีย เกาหลี ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ รัสเซีย และประเทศอื่นๆ มากบ้างน้อยบ้าง
ความพยายามของธนาคารแห่งประเทศไทยในการพยุงค่าเงินบาท ทำให้เงินสำรองเงินตราต่างประเทศหมดคลังจนต้องขอกู้จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศจำนวน 17,200 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อพยุงฐานะทางการเงินของประเทศ และรัฐบาลไทยจำต้องยอมรับเงื่อนไขต่าง ๆ ที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศกำหนดขึ้น เช่น งบประมาณแผ่นดินจะต้องตั้งเกินดุล 1 เปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ ภาษี มูลค่าเพิ่มจะต้องเพิ่มจากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 10 ต้องแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
สาเหตุของวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ เข้าใจกันว่าเกิดจากการดำเนินนโยบายผิดพลาดที่สำคัญ 2 ประการของธนาคารแห่งประเทศไทย ได้แก่
1) การใช้เงินกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินไปช่วยเหลือสถาบันการเงินจนเกิดความเสียหายเกินที่จะเยียวยา และจำต้องปิดบริษัทไฟแนนซ์ 56 แห่ง
2) การสูญเสียเงินสำรองระหว่างประเทศในการปกป้องการโจมตีค่าเงินบาท จนนำไปสู่วิกฤตเงินทุนสำรอง ทำให้เงินบาทขาดเสถียรภาพนับตั้งแต่การตัดสินใจเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนจากระบบตะกร้าเงินมาเป็นระบบลอยตัว
เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 สาเหตุ 2 ประการข้างต้นมีที่มาจากการเร่งรัดเปิดระบบวิเทศธนกิจ หรือ BIBF (Bangkok International Banking Facility) เมื่อปี 2536-2537 ทำให้เกิดการก่อหนี้ต่างประเทศของภาคเอกชนจำนวนมหาศาลถึง 70,000 ล้านบาท ในขณะที่ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐถูกตรึงค่าอยู่ที่ 25.60 บาท ต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐ แต่เมื่อปล่อยค่าเงินบาทลอยตัว ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐสูงถึง 45-50 บาท ต่อดอลล่าร์สหรัฐในช่วงหลังวิกฤตได้ไม่นาน ทำให้หนี้เงินกู้ของบริษัทเอกชนเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว และพากันล้มละลายหรือมีหนี้ท่วมตัว
จากสถาบันพระปกเกล้า
http://www.kpi.ac.th/wiki/index.php/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B8%B3%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%87
#################################################################################
ไม่ได้มีแค่ข้อมูลนี้ ถ้าใครทำ thesis ก็ต้องอ้างอิงข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ จากการ search หาแหล่งข้อมูลทุกที่ให้ข้อมูลในทิศทางเดียวกัน (ต้องเป็น สถาบันที่น่าเชื่อถือ เขาถึงจะยอมรับ ไม่ใช่ไปเอา mthai talk , หรือ WebBoard มาอ้าง) ว่าเกิดจากการบริหารงานที่ผิดพลาดของรัฐบาลชวลิต ในการต่อสู้กับค่าเงิน และไปรีบร้อนปิดสถาบันการเงิน เนื่องจากมีหนี้ NPL จำนวนมาก
เคยเปรียบเทียบไว้หลายครั้งให้คนที่คิดไม่ทัน ถ้ามีคนมาเผาบ้านคุณจะโทษใคร โทษคนเผา หรือนักดักเพลิงที่มาฉีดน้ำช่วยดับไฟบ้านแต่ฝาบ้านดันพัง โดยไอ้คนเผามันยืนชี้โดยการประชาสัมพันธ์ (ไอ้คนเผามันเก่งเรื่องโน้มน้าวประชาสัมพันธ์) บอกว่าทำบ้านพังหมดเลยเห็นไหม ดับไฟยังไงทำบ้านพัง โดยคนที่จุดไฟเผาคือไอ้คนที่ยืนชี้ด่าคนฉีดน้ำนั้นแหละ
ตอนบ้านไฟ้ไหม้โหมหนักมันชิงลาออก โยนโทษให้นักดับเพลิง แล้วพอนักดับเพลิง ไปบอกให้นายหน้ามาขายบ้านที่โดนเผา (สถาบันการเงิน) มันประชาสัมพันธ์หลังจากผ่านมาหลายปีว่า ตอนน้ันทำไมไม่ขายให้ได้ราคาเยอะๆ (your father die (ยืมคำลุงจอนมาพูดหน่อย) ก็ของมันไม่ดีของมันเหลือแต่ตอ ขายได้เท่าไหร่ได้สามสิบเปอร์เซนต์ก็ดีแล้ว ถ้าเมิงแยกชิ้นส่วนบ้านหลังคาไปขาย หรืออะไรที่ดีไปขาย แล้วไอ้ส่วนที่เสียจะเก็บไว้ทำซากอะไรก็ต้องขายเหมารวม
เรื่อง IMF ก็เช่นกัน ไอ้คนไปกู้ ดันมาทำตัวเองเป็นฮีโร่โดยบอกว่ามันเป็นคนชดใช้หมดไว ถามว่าใครกู้ แถมชดใช้หมดก่อนมันก็เสียดอกเบี้ยเพิ่ม แต่มันเอาหน้าเอาตา มันก็เป็นคนเดียวกับที่เผาบ้านนั้นแหละ การประชาสัมพันธ์มันเก่ง คนไทยต้องเป็นหนี้ก็เพราะวิกฤตเศรฐกิจ ใครเป็นคนทำไว้บริหารพลาดไว้หละ
ถามว่ามีคนเชื่อการประชาสัมพันธ์ของพวกนี้ไหม เพียบ !?
พวกนี้ได้ใจเลยประชาสัมพันธ์ต่อมา โดยหลอกพวกเดียวกันเองในหลายๆเรื่อง บอกทำเพื่อชาติแต่ตัวเองอยากได้เงินคืน
หลอกให้พวกไปตายหวังเป็นเกมส์ต่อรอง ต่อรองเสร็จถีบหัวส่งบอกเดินไปเองได้แล้ว มาส่งถึงฝั่งแล้ว
ออก พรบ นิรโทษหวังเงินคืนข้ามศพพวกเดียวกัน โดยใช้การประชาสัมพันธ์แบบเดิมที่ให้คนเชื่อ
พอไม่ผ่านกลับมาหากินกับศพอีก ใช้ความรุนแรงสร้างความเกลียดชัง ยุให้แยกประเทศ
หลอกโดยใช้การประชาสัมพันธ์ เพื่อผลประโยชน์ตัวเองและพวกพ้อง
ไอ้พวกที่โดนหลอกมันก็ฮานะ โดนเท้าทีมองไม่เห็นเสียบ กระทืบ กระทุ้ง ยอดหน้าจนเลือดกลบปากไปเป็นสิบๆรอบ โดนมีดแทงเลือดท่วมตัว แถมโดนโยนทิ้งจะตัดความสัมพันธ์อย่างหมูอย่างหมา กระทืบซ้ำโดยแกนนำ ที่โดนส่งมาจากเท้าที่มองไม่เห็น เลือดท่วมตัวแทบเดิมไม่ไหว มันยังคลานมาจับตรงขา แล้วตะโกนว่า ศรีทนได้ ซ้ำมาอีกศรีชอบ กระทืบอีกศรีชอบการหลอกลวง อย่างไรศรีก็จะรักคุณ ทุกวันนี้เดินเฉียดหัวไม่ค่อยได้เริ่มมีกลิ่นเหม็นแล้ว หัวเริ่มเน่า แต่ศรีก็รักของศรี
ไอ้พวกนี้มันเคยทำอะไรให้บ้านเมืองบ้างหนอ .....