http://topicstock.ppantip.com/social/topicstock/2011/06/U10656812/U10656812.html
เคยเขียนไว้เมื่อปี 2554 ครับ
.
เห็นช่วงนี้กำลังเข้ากระแส
"โลกนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป" ไม่เว้นแม้แต่บ้านเรา เลยเอามาลงใหม่อีกรอบครับ
.
-------------
.
บทความพิเศษ : จะเลี้ยงลูกอย่างไรในยุคหน้า?
.
.
โดย : TonyMao_NK51
E-Mail : tonymao_nk51@hotmail.com
Facebook :TonyMao Nk
.
.
สังคมโลกในขณะนี้กำลังมาถึงจุดเปลี่ยน จากยุคแห่งการ
“ศรัทธาและเชื่อฟัง” กลายเป็นยุค
“ตรรกะและการตั้งคำถาม” สังคมไทยนั้นเป็นส่วนหนึ่งของสังคมโลก เราเองมิอาจหลีกหนีกระแสการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้ โดยเฉพาะยุคที่รัฐไม่อาจกุมอำนาจชี้นำทางสื่อ ค่านิยมจากต่างประเทศทะลักเข้ามาราวกับเขื่อนแตก โดยเฉพาะค่านิยมประเภทปัจเจกนิยม ซึ่งสวนทางกับแนวคิดแบบหมู่ชนนิยมแบบที่โลกเราเคยมีมา
.
ช่วงนี้ ( 2554 ) หากใครติดตามกระทู้ของผู้เขียนตามบอร์ดต่างๆ จะพบข้อเขียนแนวตัดพ้อสังคมอยู่ประปราย ว่าด้วยการล่มสลายทางศีลธรรมนิยม – ศาสนนิยม และการรุกคืบของทุนนิยม – กิเลสนิยม บางท่านอ่านถึงจุดนี้คงจะบอกว่าผู้เขียนไม่เลิกเพ้อเจ้อ ก็อาจจะจริง ผู้เขียนอาจจะเพ้อเจ้อไปเองก็ได้ แต่ผู้เขียนก็คิดไปเรื่อย และขอทำนายว่าในยุคต่อไป เราไม่อาจจะใช้แนวทางเดิมๆ ได้อีกต่อไป
.
หลายปีมานี้ผู้เขียนได้รับฟังเรื่องปัญหาเด็กยุคใหม่จากพ่อแม่ผู้ปกครองก็ดี ครูบาอาจารย์ก็ดี ผู้เขียนพบว่าเด็กในยุคใหม่นั้นมีแนวโน้มที่จะ
“เชื่อฟัง” ในตัวพ่อแม่และครูบาอาจารย์ลดลง สังเกตได้จากคำบ่นของครูตาม ร.ร.ต่างๆ ที่มักจะมาตัดพ้อกันตามกระทู้เรื่องการศึกษา ว่าเด็กเดี๋ยวนี้อย่าว่าแต่ให้ตั้งใจเรียนเลย แค่ให้รู้จักความเกรงใจบ้างก็ยากแล้ว ยกตัวอย่างในชั้นเรียน เดี๋ยวนี้เด็กบางคนเล่นเกมมือถือ Chat BB กันอย่างไม่เกรงใจอาจารย์หรือเพื่อนนักเรียนที่กำลังเรียน แน่นอนอาจารย์จะตีก็ไม่ได้ อย่าว่าแต่ตี แค่ดุด่าก็ไม่ได้ เพราะเด็กมันจะถ่ายคลิปไปประจาน ไปฟ้องพ่อแม่ ครั้นจะเอาโทษด้วยการพักการเรียน ไล่ออก ให้ออก เด็กมันก็ไม่สนใจ มันก็ไปเล่นเกมต่อ พอกลับมาดูที่บ้าน พ่อแม่ก็ไม่ทำอะไรนอกจากปลง ไม่ทำงาน ก็ยังให้ข้าวไว้กิน ให้เงินไว้ใช้ บางคนขู่พ่อแม่ว่าถ้าไม่ซื้อมือถือแพงๆ หรือมอเตอร์ไซค์ให้ก็จะไม่ไปเรียน ( แล้วแน่นอน บางคนเรียนแล้วก็ไม่จบ ) กลายเป็นว่าเด็กเดี๋ยวนี้กลายเป็นลูกเทวดากันมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าให้ผู้เขียนพูดกันตามตรง ก็ตั้งแต่กระทรวงศึกษาธิการเลิกการใช้ไม้เรียวไปเมื่อสัก 10 ปีก่อน
.
สิ่งที่พ่อแม่และผู้ใหญ่จะต้องเจอจากเด็กยุคนี้และยุคถัดไป?
.
"เด็กจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับการอบรมสั่งสอนจากที่บ้าน” แนวคิดเช่นนี้เป็นความจริงมาตลอด แต่แนวคิดนี้จะเป็นจริงต่อไปได้ ก็ต่อเมื่อสังคมยังมีค่านิยมหลัก ( Value ) ให้ผู้คนในสังคมยึดถือ จะเรียกว่าวิถีประชา จารีตหรือขนบธรรมเนียมก็แล้วแต่ ทว่าในยุคใหม่นี้ กระแสคำสอนต่างๆ สามารถเผยแพร่ได้เต็มที่ เนื่องด้วยภาครัฐมิอาจกุมระบบการสื่อสารได้อีกต่อไป ในอดีตเราอาจจะตั้งข้อสงสัยแค่ในแง่ของบุคคลว่าคนๆ นั้น คนๆ นี้เป็นคนดีไหม? มีศีลมีธรรมไหม? ถ้าไม่มี ก็อาจจะต้องได้รับการตำหนิติเตียน โดยรัฐจะมีชุดความคิดหนึ่ง อันเป็นรากแห่งประวัติศาสตร์ของแต่ละรัฐออกมาใช้ ถ้าไม่ใช่ในรูปของกฎหมายโดยตรง ก็จะเป็นรูปของการรณรงค์ปลูกฝังความเชื่อ เช่นของบ้านเราอาจจะว่าด้วยเรื่องของกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ความมีน้ำใจ เกรงใจ รู้กาลเทศะ ขณะที่สังคมอย่างญี่ปุ่นอาจจะว่าด้วยการเสียสละ ระเบียบวินัย ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ฯลฯ ให้คนในสังคมนั้นๆ ปฏิบัติตาม ตลอดมาเราไม่เคยตั้งคำถามกับชุดความเชื่อเหล่านี้ จนกระทั่งในยุคไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อความเป็นชาติก็ดี ความเป็นหมู่ชนนิยมก็ดี ถูกทำให้สั่นคลอนด้วยชุดความคิดแนวปัจเจกนิยม – สุขนิยม สะท้อนโดยคำพูดประมาณว่า
“ไม่แคร์สื่อ” , “ฉันไปทำอะไรบนหัวใครมิทราบ?” และอื่นๆ ในทำนองนี้ เท่ากับว่าต่อไปนี้คนในยุคใหม่จะกลายเป็นพวกตั้งคำถามกันถึงราก ( Radical Thinking ) กันมากขึ้น โดยอาจจะไม่เชื่ออะไรที่ไม่สามารถอธิบายด้วยตรรกะ ( Logic ) คือไม่อาจจะเห็นเป็นรูปธรรมเลยด้วยซ้ำไป
.
ว่าด้วยชุดความคิดของพ่อแม่ประเภทต่างๆ ในสังคมไทย
ต่อไปจะเป็นการกล่าวถึงชุดความคิดที่พ่อแม่ส่วนใหญ่ใช้สอนลูก ผู้ใหญ่ใช้สอนเด็กและเยาวชนในความปกครองดูแล ซึ่งผู้เขียนจะแบ่งออกเป็นชุดความคิดต่างๆ โดยขออนุญาตเล่าโดยประสบการณ์การถกเถียงกับผู้อาวุโสคนหนึ่งที่ผมได้พบซึ่งเชี่ยวชาญและมีแนวคิดเชิงสุขนิยม – กิเลสนิยมเมื่อหลายปีก่อนมาอธิบายประกอบในแต่ละประเภทดังนี้
.
.
- ชุดความคิดแบบศาสนนิยม
.
ลักษณะเด่น : ชุดความคิดนี้เป็นชุดความคิดพื้นฐานที่สุดของสังคมไทย สังคมที่มีรากทางประวัติศาสตร์มาจากศาสนาพุทธเป็นสำคัญ ชุดความคิดหลักที่ว่านี้คือ
“ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” , “ความกตัญญู” , “สัมมาคารวะ” โดยคร่าวๆ คือพ่อแม่ลักษณะนี้จะปลูกฝังให้ลูกส่วนมนต์ไหว้พระ ทำบุญตักบาตร มุ่งให้ทำดี ไม่ทำชั่ว เพื่อที่ตายไปจะได้ไปสวรรค์ ไม่ตกนรก บุญและบาปคือสิ่งที่สำคัญที่สุดของพ่อแม่ประเภทนี้
.
จุดอ่อนที่ถูกท้าทาย : กระแสแห่งกิเลสนิยม ได้ทำให้คนจำนวนไม่น้อยตั้งคำถามกับศาสนาประมาณว่า
“นรกสวรรค์มีจริงไหม?” , “บุญบาปคืออะไร เหมือนกันทุกที่หรือเปล่า?” , “ความดีวัดเป็นรูปธรรมไม่ได้ งั้นก็คงไม่น่าเชื่อถือใช่ไหม?” หรือแม้แต่
“นักบวชคือพวกล้มเหลวในทางโลก จึงเอาทางธรรมที่วัดค่าไม่ได้มาหลอกคนหรือเปล่า?” เหล่านี้คือคำถามที่ฝ่ายศาสนนิยมกำลังถูกท้าทายในปัจจุบัน
.
.
- ชุดความคิดแบบจริยธรรมนิยม
.
ลักษณะเด่น : ชุดความคิดนี้จะไม่สนใจเรื่องโลกหน้า อภินิหาร หรือแม้แต่ประเพณีทางศาสนา แนวคิดหลักของกลุ่มนี้คือสอนว่าคนที่มีคุณธรรม จริยธรรมคือ
“ผู้มีเกียรติ” สมควรได้รับความเคารพนับถือจากคนทั่วไป ชุดคุณธรรมสำคัญก็เช่น
“เมตตา” ( เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนร่วมโลก ) , “สัจจะ” ( ไม่หลอกลวง ไม่ทุจริตคดโกง ) , “กล้าหาญ” ( กล้าปฏิเสธหรือต่อต้านสิ่งที่ไม่เหมาะสม ไม่ถูกต้อง ) , “ขันติ” ( อดทน ข่มใจไม่แสดงกิริยาที่ไม่ดีไม่งาม ) , “ปัญญา” ( แยกแยะได้ว่าอะไรควรทำ ไม่ควรทำ ) , “วินัย” ( เข้มงวดในการอบรมตนเองเพื่อให้เข้าถึงคุณธรรมข้ออื่นๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ) พ่อแม่กลุ่มนี้จะไม่เข้มงวดด้วยกำลังมากนัก และไม่เอาโลกหน้ามาขู่ แต่จะสอนประโยชน์ของการมีคุณธรรมว่าจะได้รับการยกย่องอย่างไร? เป็นบัณฑิตบ้าง วีรชนบ้าง
.
จุดอ่อนที่ถูกท้าทาย : ชุดความคิดนี้กำลังถูกท้าทายในแง่ที่ว่า
“คุณธรรมเพื่อใคร?” กล่าวคือมีนักคิดบางส่วนบอกว่า
“ศาสนาก็ดี จริยธรรมก็ดี ล้วนเป็นเครื่องมือในการรักษาสถานะทางอำนาจของคนกลุ่มหนึ่ง” อธิบายให้เห็นภาพชัดขึ้น ผู้อาวุโสที่ผู้เขียนได้เคยสนทนาด้วย ได้ยกเรื่องประเด็นโลกร้อนขึ้นมาถามผู้เขียนว่า
“ได้ยินว่าปกติเห็นไฟเปิดทิ้ง น้ำเปิดทิ้งก็ไปปิดใช่ไหม? กระดาษก็ใช้ 2 หน้าตลอดถ้าทำได้ใช่ไหม?” ผู้เขียนตอบว่าใช่เพราะต้องการลดการใช้ทรัพยากรโลก ถึงคนอื่นไม่ทำก็ช่างมัน ผู้เขียนจะทำเท่าที่ทำได้ ผู้อาวุโสผู้นั้นก็กล่าวว่า
“น่าเสียดาย! รู้ไหม การลดโลกร้อนน่ะเขาให้คนทั่วไปลด พวกชนชั้นนำน่ะไม่มีใครลดหรอก เปิดแอร์แรงๆ ขับรถหรูๆ กินทิ้งกินขว้างทั้งนั้น แล้วก็มาสร้างกระแสให้คนชั้นกลางชั้นล่างช่วยกันลด เพื่อให้พวกนี้กอบโกยทรัพยากรไปใช้เองมากๆ” และยังพาดพิงไปถึงเรื่องการเมืองทำนองที่ว่า
“ไพร่พลใช้ศีรษะตนเองให้ขุนศึกเหยียบขึ้นไปสู่อำนาจเงินทอง” โดยเอาคำว่า
“วีรชน” และเหรียญกล้าหาญมาล่อ และเราอดทน เกรงใจกันก็เพื่อให้กระบวนการคิดได้ทำความเคยชินว่าเมื่อเราเจอชนชั้นนำ เรายิ่งต้องอดทนและเกรงใจเป็นเท่าทวีคูณ โดยมีนัยยะแอบแฝงคือให้เป็นเครื่องประดับบารมีของชนชั้นนำ ( ผู้ใดได้รับความเกรงใจมาก ก็แสดงว่ามีบารมีมาก? )
.
.
( มีต่อ )
[งานเก่า Rerun] จะเลี้ยงลูกอย่างไรในยุคหน้า?
เคยเขียนไว้เมื่อปี 2554 ครับ
.
เห็นช่วงนี้กำลังเข้ากระแส "โลกนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป" ไม่เว้นแม้แต่บ้านเรา เลยเอามาลงใหม่อีกรอบครับ
.
-------------
.
บทความพิเศษ : จะเลี้ยงลูกอย่างไรในยุคหน้า?
.
.
โดย : TonyMao_NK51
E-Mail : tonymao_nk51@hotmail.com
Facebook :TonyMao Nk
.
.
สังคมโลกในขณะนี้กำลังมาถึงจุดเปลี่ยน จากยุคแห่งการ “ศรัทธาและเชื่อฟัง” กลายเป็นยุค “ตรรกะและการตั้งคำถาม” สังคมไทยนั้นเป็นส่วนหนึ่งของสังคมโลก เราเองมิอาจหลีกหนีกระแสการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้ โดยเฉพาะยุคที่รัฐไม่อาจกุมอำนาจชี้นำทางสื่อ ค่านิยมจากต่างประเทศทะลักเข้ามาราวกับเขื่อนแตก โดยเฉพาะค่านิยมประเภทปัจเจกนิยม ซึ่งสวนทางกับแนวคิดแบบหมู่ชนนิยมแบบที่โลกเราเคยมีมา
.
ช่วงนี้ ( 2554 ) หากใครติดตามกระทู้ของผู้เขียนตามบอร์ดต่างๆ จะพบข้อเขียนแนวตัดพ้อสังคมอยู่ประปราย ว่าด้วยการล่มสลายทางศีลธรรมนิยม – ศาสนนิยม และการรุกคืบของทุนนิยม – กิเลสนิยม บางท่านอ่านถึงจุดนี้คงจะบอกว่าผู้เขียนไม่เลิกเพ้อเจ้อ ก็อาจจะจริง ผู้เขียนอาจจะเพ้อเจ้อไปเองก็ได้ แต่ผู้เขียนก็คิดไปเรื่อย และขอทำนายว่าในยุคต่อไป เราไม่อาจจะใช้แนวทางเดิมๆ ได้อีกต่อไป
.
หลายปีมานี้ผู้เขียนได้รับฟังเรื่องปัญหาเด็กยุคใหม่จากพ่อแม่ผู้ปกครองก็ดี ครูบาอาจารย์ก็ดี ผู้เขียนพบว่าเด็กในยุคใหม่นั้นมีแนวโน้มที่จะ “เชื่อฟัง” ในตัวพ่อแม่และครูบาอาจารย์ลดลง สังเกตได้จากคำบ่นของครูตาม ร.ร.ต่างๆ ที่มักจะมาตัดพ้อกันตามกระทู้เรื่องการศึกษา ว่าเด็กเดี๋ยวนี้อย่าว่าแต่ให้ตั้งใจเรียนเลย แค่ให้รู้จักความเกรงใจบ้างก็ยากแล้ว ยกตัวอย่างในชั้นเรียน เดี๋ยวนี้เด็กบางคนเล่นเกมมือถือ Chat BB กันอย่างไม่เกรงใจอาจารย์หรือเพื่อนนักเรียนที่กำลังเรียน แน่นอนอาจารย์จะตีก็ไม่ได้ อย่าว่าแต่ตี แค่ดุด่าก็ไม่ได้ เพราะเด็กมันจะถ่ายคลิปไปประจาน ไปฟ้องพ่อแม่ ครั้นจะเอาโทษด้วยการพักการเรียน ไล่ออก ให้ออก เด็กมันก็ไม่สนใจ มันก็ไปเล่นเกมต่อ พอกลับมาดูที่บ้าน พ่อแม่ก็ไม่ทำอะไรนอกจากปลง ไม่ทำงาน ก็ยังให้ข้าวไว้กิน ให้เงินไว้ใช้ บางคนขู่พ่อแม่ว่าถ้าไม่ซื้อมือถือแพงๆ หรือมอเตอร์ไซค์ให้ก็จะไม่ไปเรียน ( แล้วแน่นอน บางคนเรียนแล้วก็ไม่จบ ) กลายเป็นว่าเด็กเดี๋ยวนี้กลายเป็นลูกเทวดากันมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าให้ผู้เขียนพูดกันตามตรง ก็ตั้งแต่กระทรวงศึกษาธิการเลิกการใช้ไม้เรียวไปเมื่อสัก 10 ปีก่อน
.
สิ่งที่พ่อแม่และผู้ใหญ่จะต้องเจอจากเด็กยุคนี้และยุคถัดไป?
.
"เด็กจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับการอบรมสั่งสอนจากที่บ้าน” แนวคิดเช่นนี้เป็นความจริงมาตลอด แต่แนวคิดนี้จะเป็นจริงต่อไปได้ ก็ต่อเมื่อสังคมยังมีค่านิยมหลัก ( Value ) ให้ผู้คนในสังคมยึดถือ จะเรียกว่าวิถีประชา จารีตหรือขนบธรรมเนียมก็แล้วแต่ ทว่าในยุคใหม่นี้ กระแสคำสอนต่างๆ สามารถเผยแพร่ได้เต็มที่ เนื่องด้วยภาครัฐมิอาจกุมระบบการสื่อสารได้อีกต่อไป ในอดีตเราอาจจะตั้งข้อสงสัยแค่ในแง่ของบุคคลว่าคนๆ นั้น คนๆ นี้เป็นคนดีไหม? มีศีลมีธรรมไหม? ถ้าไม่มี ก็อาจจะต้องได้รับการตำหนิติเตียน โดยรัฐจะมีชุดความคิดหนึ่ง อันเป็นรากแห่งประวัติศาสตร์ของแต่ละรัฐออกมาใช้ ถ้าไม่ใช่ในรูปของกฎหมายโดยตรง ก็จะเป็นรูปของการรณรงค์ปลูกฝังความเชื่อ เช่นของบ้านเราอาจจะว่าด้วยเรื่องของกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ความมีน้ำใจ เกรงใจ รู้กาลเทศะ ขณะที่สังคมอย่างญี่ปุ่นอาจจะว่าด้วยการเสียสละ ระเบียบวินัย ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ฯลฯ ให้คนในสังคมนั้นๆ ปฏิบัติตาม ตลอดมาเราไม่เคยตั้งคำถามกับชุดความเชื่อเหล่านี้ จนกระทั่งในยุคไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อความเป็นชาติก็ดี ความเป็นหมู่ชนนิยมก็ดี ถูกทำให้สั่นคลอนด้วยชุดความคิดแนวปัจเจกนิยม – สุขนิยม สะท้อนโดยคำพูดประมาณว่า “ไม่แคร์สื่อ” , “ฉันไปทำอะไรบนหัวใครมิทราบ?” และอื่นๆ ในทำนองนี้ เท่ากับว่าต่อไปนี้คนในยุคใหม่จะกลายเป็นพวกตั้งคำถามกันถึงราก ( Radical Thinking ) กันมากขึ้น โดยอาจจะไม่เชื่ออะไรที่ไม่สามารถอธิบายด้วยตรรกะ ( Logic ) คือไม่อาจจะเห็นเป็นรูปธรรมเลยด้วยซ้ำไป
.
ว่าด้วยชุดความคิดของพ่อแม่ประเภทต่างๆ ในสังคมไทย
ต่อไปจะเป็นการกล่าวถึงชุดความคิดที่พ่อแม่ส่วนใหญ่ใช้สอนลูก ผู้ใหญ่ใช้สอนเด็กและเยาวชนในความปกครองดูแล ซึ่งผู้เขียนจะแบ่งออกเป็นชุดความคิดต่างๆ โดยขออนุญาตเล่าโดยประสบการณ์การถกเถียงกับผู้อาวุโสคนหนึ่งที่ผมได้พบซึ่งเชี่ยวชาญและมีแนวคิดเชิงสุขนิยม – กิเลสนิยมเมื่อหลายปีก่อนมาอธิบายประกอบในแต่ละประเภทดังนี้
.
.
- ชุดความคิดแบบศาสนนิยม
.
ลักษณะเด่น : ชุดความคิดนี้เป็นชุดความคิดพื้นฐานที่สุดของสังคมไทย สังคมที่มีรากทางประวัติศาสตร์มาจากศาสนาพุทธเป็นสำคัญ ชุดความคิดหลักที่ว่านี้คือ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” , “ความกตัญญู” , “สัมมาคารวะ” โดยคร่าวๆ คือพ่อแม่ลักษณะนี้จะปลูกฝังให้ลูกส่วนมนต์ไหว้พระ ทำบุญตักบาตร มุ่งให้ทำดี ไม่ทำชั่ว เพื่อที่ตายไปจะได้ไปสวรรค์ ไม่ตกนรก บุญและบาปคือสิ่งที่สำคัญที่สุดของพ่อแม่ประเภทนี้
.
จุดอ่อนที่ถูกท้าทาย : กระแสแห่งกิเลสนิยม ได้ทำให้คนจำนวนไม่น้อยตั้งคำถามกับศาสนาประมาณว่า “นรกสวรรค์มีจริงไหม?” , “บุญบาปคืออะไร เหมือนกันทุกที่หรือเปล่า?” , “ความดีวัดเป็นรูปธรรมไม่ได้ งั้นก็คงไม่น่าเชื่อถือใช่ไหม?” หรือแม้แต่ “นักบวชคือพวกล้มเหลวในทางโลก จึงเอาทางธรรมที่วัดค่าไม่ได้มาหลอกคนหรือเปล่า?” เหล่านี้คือคำถามที่ฝ่ายศาสนนิยมกำลังถูกท้าทายในปัจจุบัน
.
.
- ชุดความคิดแบบจริยธรรมนิยม
.
ลักษณะเด่น : ชุดความคิดนี้จะไม่สนใจเรื่องโลกหน้า อภินิหาร หรือแม้แต่ประเพณีทางศาสนา แนวคิดหลักของกลุ่มนี้คือสอนว่าคนที่มีคุณธรรม จริยธรรมคือ “ผู้มีเกียรติ” สมควรได้รับความเคารพนับถือจากคนทั่วไป ชุดคุณธรรมสำคัญก็เช่น “เมตตา” ( เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนร่วมโลก ) , “สัจจะ” ( ไม่หลอกลวง ไม่ทุจริตคดโกง ) , “กล้าหาญ” ( กล้าปฏิเสธหรือต่อต้านสิ่งที่ไม่เหมาะสม ไม่ถูกต้อง ) , “ขันติ” ( อดทน ข่มใจไม่แสดงกิริยาที่ไม่ดีไม่งาม ) , “ปัญญา” ( แยกแยะได้ว่าอะไรควรทำ ไม่ควรทำ ) , “วินัย” ( เข้มงวดในการอบรมตนเองเพื่อให้เข้าถึงคุณธรรมข้ออื่นๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ) พ่อแม่กลุ่มนี้จะไม่เข้มงวดด้วยกำลังมากนัก และไม่เอาโลกหน้ามาขู่ แต่จะสอนประโยชน์ของการมีคุณธรรมว่าจะได้รับการยกย่องอย่างไร? เป็นบัณฑิตบ้าง วีรชนบ้าง
.
จุดอ่อนที่ถูกท้าทาย : ชุดความคิดนี้กำลังถูกท้าทายในแง่ที่ว่า “คุณธรรมเพื่อใคร?” กล่าวคือมีนักคิดบางส่วนบอกว่า “ศาสนาก็ดี จริยธรรมก็ดี ล้วนเป็นเครื่องมือในการรักษาสถานะทางอำนาจของคนกลุ่มหนึ่ง” อธิบายให้เห็นภาพชัดขึ้น ผู้อาวุโสที่ผู้เขียนได้เคยสนทนาด้วย ได้ยกเรื่องประเด็นโลกร้อนขึ้นมาถามผู้เขียนว่า “ได้ยินว่าปกติเห็นไฟเปิดทิ้ง น้ำเปิดทิ้งก็ไปปิดใช่ไหม? กระดาษก็ใช้ 2 หน้าตลอดถ้าทำได้ใช่ไหม?” ผู้เขียนตอบว่าใช่เพราะต้องการลดการใช้ทรัพยากรโลก ถึงคนอื่นไม่ทำก็ช่างมัน ผู้เขียนจะทำเท่าที่ทำได้ ผู้อาวุโสผู้นั้นก็กล่าวว่า “น่าเสียดาย! รู้ไหม การลดโลกร้อนน่ะเขาให้คนทั่วไปลด พวกชนชั้นนำน่ะไม่มีใครลดหรอก เปิดแอร์แรงๆ ขับรถหรูๆ กินทิ้งกินขว้างทั้งนั้น แล้วก็มาสร้างกระแสให้คนชั้นกลางชั้นล่างช่วยกันลด เพื่อให้พวกนี้กอบโกยทรัพยากรไปใช้เองมากๆ” และยังพาดพิงไปถึงเรื่องการเมืองทำนองที่ว่า “ไพร่พลใช้ศีรษะตนเองให้ขุนศึกเหยียบขึ้นไปสู่อำนาจเงินทอง” โดยเอาคำว่า “วีรชน” และเหรียญกล้าหาญมาล่อ และเราอดทน เกรงใจกันก็เพื่อให้กระบวนการคิดได้ทำความเคยชินว่าเมื่อเราเจอชนชั้นนำ เรายิ่งต้องอดทนและเกรงใจเป็นเท่าทวีคูณ โดยมีนัยยะแอบแฝงคือให้เป็นเครื่องประดับบารมีของชนชั้นนำ ( ผู้ใดได้รับความเกรงใจมาก ก็แสดงว่ามีบารมีมาก? )
.
.
( มีต่อ )