ท่านเป็น “ผู้พ่ายแพ้แก่ยุคสมัย” หรือไม่?
By : TonyMao_NK51
E-Mail : tonymao_nk51@hotmail.com
FaceBook : TonyMao Nk
“ข้าพเจ้าถูกยุคสมัยทอดทิ้งเสียแล้ว”
ข้าพเจ้ามักจะรำพึงรำพันประโยคดังกล่าว ซ้ำไปซ้ำมาเสมอ ในช่วง 1-2 ปีมานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อไม่อาจเขียน หรือตอบกระทู้ใดๆ บนโลกออนไลน์ นับตั้งแต่มหาอุทกภัยใหญ่ 2554 ได้ถล่มเมืองหลวงและจังหวัดใกล้เคียงจนราบเป็นหน้ากลอง จนต้องอพยพไปอยู่ที่อื่น และหลังจากนั้นก็มีปัญหาบางประการกับทางบ้าน ทำให้กลับบ้านไม่ได้อยู่อีกหลายเดือน
ซึ่งทุกครั้งที่นั่งอ่านข่าวสาร และเรื่องราวต่างๆ บนโลกออนไลน์ นับแต่ห้วงเวลาดังกล่าวเป็นต้นมา ความรู้สึกว่า “สิ่งที่เรายึดถือ” กำลังกลายเป็นสิ่งล้าสมัยไปเสียแล้ว
“ใช่!..เรามันคนที่ไม่อาจตามยุคสมัยได้ทัน”
หากนับไปเมื่อ 10 ปีก่อน..วันที่ข้าพเจ้าเข้าสู่ยุทธภพออนไลน์แห่งนี้ ในช่วงเวลาดังกล่าว ค่านิยมในสังคมจะเป็นอย่างหนึ่ง
ช่วงเวลาที่ “ชาตินิยม” อันเป็นความศรัทธาใน “รัฐไทย” ยังมีอยู่มาก
ช่วงเวลาที่ “ศาสนนิยม” อันเป็นความศรัทธาใน “สิ่งศักดิ์สิทธิ์และคัมภีร์ศาสนา” ก็ยังมีอยู่มหาศาล
ช่วงเวลาที่ “กษัตริย์นิยม” อันเป็นความศรัทธาใน “สถาบันอันเป็นที่เคารพยิ่ง” ก็ยังคงมีอยู่ล้นเหลือ
และช่วงเวลาที่ “หมู่ชนนิยม” อันเป็นค่านิยมที่ “อดกลั้นอัตลักษณ์ส่วนตน เพื่อภาพที่ดีของส่วนรวม” เป็นบรรทัดฐานหลัก ของประเทศนี้
“ทุกอย่างเปลี่ยน..เปลี่ยนไปหมด..เปลี่ยนจนไม่อาจตามทัน”
ไม่มียุคไหนที่ “รัฐชาติ” ถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ “ล้าหลัง” เท่ายุคนี้ เมื่อการเกณฑ์ทหารก็ดี เรียน รด. ก็ดี ถูกท้าทายจากคนรุ่นใหม่ ที่มองว่าโลกปัจจุบันไม่มีการรบ หรือแบ่งรัฐชาติเข้มข้นอีกแล้ว อย่ากระนั้นเลย..ปล่อยให้ปัจเจกชนไปทำมาหากิน สร้างเนื้อสร้างตัวเถิด
ไม่มียุคไหนที่ “ศาสนา” ถูกวิพากษ์ในระดับ “คำสอน” มิใช่เพียงผู้ปฏิบัติ เท่ากับยุคนี้..โลกหน้ามีจริงหรือไม่?..ศาสนาขัดกีดกันเพศที่หลากหลาย สมควรหรือไม่?..หลักศาสนา ขัดกับความต้องการความสุขไร้ขีดจำกัดของปัจเจกชน ควรส่งเสริมหรือไม่?
ไม่มียุคไหนที่ “สถาบันอันเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนประเทศนี้” ถูกท้าทายจากพวกที่ยึดถือ “ความเสมอภาคของบุคคล” เป็นหลัก ที่ก้าวข้ามไปมากกว่าการตำหนิพวกที่โหนสถาบันเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น
และไม่มียุคไหนที่ “ระบบจารีตประเพณีแบบไทยๆ” ถูกท้าทายจาก “ผู้หลงใหลโลกตะวันตก” มากเท่ายุคนี้..ไม้เรียว..รับน้องไม่ว่ารุนแรงหรือไม่..ความเคารพระหว่างวัยและยศตำแหน่ง กำลังถูกบทความสำคัญไปเรื่อยๆ
“สหายเอ๋ย..โลกเก่าใกล้ถึงจุดจบใช่หรือไม่?”
จะมียุคใดเล่า..ที่นางคณิกา กลายเป็นอาชีพที่หลายคนบอกว่ามีเกียรติ เท่ายุคนี้?
จะมียุคใดเล่า..ที่คนเป็นเมียน้อย ถูกปกป้องจากผู้ประณามโจมตี ด้วยคำว่า “สิทธิของเขา คุณไม่มีสิทธิ์ไปตำหนิ” เท่ายุคนี้?
จะมียุคใดเล่า..ที่การแลกผัวแลกเมีย จะถูกมองว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคล แม้เป็นข่าว คนนอกก็ไม่มีสิทธิ์นำศีลธรรมไปต่อว่า เท่ายุคนี้?
จะมียุคใดเล่า..ทั้งที่เห็นคนอื่นใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ไม่สมกับรายได้ที่เขามี ก็ไม่มีสิทธิ์ต่อว่าประณาม เพราะมันเป็นสิทธิของเขา เท่ายุคนี้?
จะมียุคใดเล่า..ที่การปกป้องศาสนา จากผู้ไม่รู้ที่นำสัญลักษณ์ทางศาสนาไปใช้ในทางไม่เหมาะสม ถูกมองว่าโง่เขลา เท่ายุคนี้?
จะมียุคใดเล่า..ที่การจำกัดการแต่งกาย เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย และลดการอวดประชันขันแต่ง ถูกมองว่าเป็นระบบทาสและไพร่ เท่ายุคนี้?
จะมียุคใดเล่า..ที่การนำข้อคิดทางศาสนา มาโหมประโคมเพื่อสร้างค่านิยมที่ดี (เช่นสวดมนต์ข้ามปี หรืองดเหล้าเข้าพรรษา) ถูกมองว่าแบ่งแยก และกีดกันสิทธิส่วนบุคคล เท่ายุคนี้?
จะมียุคใดเล่า..ที่ประเพณีการรับปริญญา ซึ่งถือว่าเป็นช่วงสำคัญครั้งหนึ่งของชีวิต ถูกมองว่างมงายไร้สาระ เท่ายุคนี้?
และจะมียุคใดเล่า..ที่ความมั่นคงของบ้านเมือง มีความสำคัญน้อยกว่าอย่างเทียบไม่ได้กับเสรีภาพที่ปัจเจกชนควรมีสิทธิ์แสดงมันออกมา เท่ายุคนี้?
“สหายเอ๋ย..มียุคใด ที่โลกเปลี่ยนไปขนาดนี้บ้าง?”
กระแสเปลี่ยน ยุคสมัยเปลี่ยน สังคมเปลี่ยน ผู้คนเปลี่ยน
หากแต่ข้าพเจ้าไม่อาจทำใจเปลี่ยน!..จึงเป็นได้แค่ “ผู้ถูกยุคสมัยทอดทิ้ง” เช่นนี้แล
………………………….
ท่านเป็น “ผู้พ่ายแพ้แก่ยุคสมัย” หรือไม่?
By : TonyMao_NK51
E-Mail : tonymao_nk51@hotmail.com
FaceBook : TonyMao Nk
“ข้าพเจ้าถูกยุคสมัยทอดทิ้งเสียแล้ว”
ข้าพเจ้ามักจะรำพึงรำพันประโยคดังกล่าว ซ้ำไปซ้ำมาเสมอ ในช่วง 1-2 ปีมานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อไม่อาจเขียน หรือตอบกระทู้ใดๆ บนโลกออนไลน์ นับตั้งแต่มหาอุทกภัยใหญ่ 2554 ได้ถล่มเมืองหลวงและจังหวัดใกล้เคียงจนราบเป็นหน้ากลอง จนต้องอพยพไปอยู่ที่อื่น และหลังจากนั้นก็มีปัญหาบางประการกับทางบ้าน ทำให้กลับบ้านไม่ได้อยู่อีกหลายเดือน
ซึ่งทุกครั้งที่นั่งอ่านข่าวสาร และเรื่องราวต่างๆ บนโลกออนไลน์ นับแต่ห้วงเวลาดังกล่าวเป็นต้นมา ความรู้สึกว่า “สิ่งที่เรายึดถือ” กำลังกลายเป็นสิ่งล้าสมัยไปเสียแล้ว
“ใช่!..เรามันคนที่ไม่อาจตามยุคสมัยได้ทัน”
หากนับไปเมื่อ 10 ปีก่อน..วันที่ข้าพเจ้าเข้าสู่ยุทธภพออนไลน์แห่งนี้ ในช่วงเวลาดังกล่าว ค่านิยมในสังคมจะเป็นอย่างหนึ่ง
ช่วงเวลาที่ “ชาตินิยม” อันเป็นความศรัทธาใน “รัฐไทย” ยังมีอยู่มาก
ช่วงเวลาที่ “ศาสนนิยม” อันเป็นความศรัทธาใน “สิ่งศักดิ์สิทธิ์และคัมภีร์ศาสนา” ก็ยังมีอยู่มหาศาล
ช่วงเวลาที่ “กษัตริย์นิยม” อันเป็นความศรัทธาใน “สถาบันอันเป็นที่เคารพยิ่ง” ก็ยังคงมีอยู่ล้นเหลือ
และช่วงเวลาที่ “หมู่ชนนิยม” อันเป็นค่านิยมที่ “อดกลั้นอัตลักษณ์ส่วนตน เพื่อภาพที่ดีของส่วนรวม” เป็นบรรทัดฐานหลัก ของประเทศนี้
“ทุกอย่างเปลี่ยน..เปลี่ยนไปหมด..เปลี่ยนจนไม่อาจตามทัน”
ไม่มียุคไหนที่ “รัฐชาติ” ถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ “ล้าหลัง” เท่ายุคนี้ เมื่อการเกณฑ์ทหารก็ดี เรียน รด. ก็ดี ถูกท้าทายจากคนรุ่นใหม่ ที่มองว่าโลกปัจจุบันไม่มีการรบ หรือแบ่งรัฐชาติเข้มข้นอีกแล้ว อย่ากระนั้นเลย..ปล่อยให้ปัจเจกชนไปทำมาหากิน สร้างเนื้อสร้างตัวเถิด
ไม่มียุคไหนที่ “ศาสนา” ถูกวิพากษ์ในระดับ “คำสอน” มิใช่เพียงผู้ปฏิบัติ เท่ากับยุคนี้..โลกหน้ามีจริงหรือไม่?..ศาสนาขัดกีดกันเพศที่หลากหลาย สมควรหรือไม่?..หลักศาสนา ขัดกับความต้องการความสุขไร้ขีดจำกัดของปัจเจกชน ควรส่งเสริมหรือไม่?
ไม่มียุคไหนที่ “สถาบันอันเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนประเทศนี้” ถูกท้าทายจากพวกที่ยึดถือ “ความเสมอภาคของบุคคล” เป็นหลัก ที่ก้าวข้ามไปมากกว่าการตำหนิพวกที่โหนสถาบันเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น
และไม่มียุคไหนที่ “ระบบจารีตประเพณีแบบไทยๆ” ถูกท้าทายจาก “ผู้หลงใหลโลกตะวันตก” มากเท่ายุคนี้..ไม้เรียว..รับน้องไม่ว่ารุนแรงหรือไม่..ความเคารพระหว่างวัยและยศตำแหน่ง กำลังถูกบทความสำคัญไปเรื่อยๆ
“สหายเอ๋ย..โลกเก่าใกล้ถึงจุดจบใช่หรือไม่?”
จะมียุคใดเล่า..ที่นางคณิกา กลายเป็นอาชีพที่หลายคนบอกว่ามีเกียรติ เท่ายุคนี้?
จะมียุคใดเล่า..ที่คนเป็นเมียน้อย ถูกปกป้องจากผู้ประณามโจมตี ด้วยคำว่า “สิทธิของเขา คุณไม่มีสิทธิ์ไปตำหนิ” เท่ายุคนี้?
จะมียุคใดเล่า..ที่การแลกผัวแลกเมีย จะถูกมองว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคล แม้เป็นข่าว คนนอกก็ไม่มีสิทธิ์นำศีลธรรมไปต่อว่า เท่ายุคนี้?
จะมียุคใดเล่า..ทั้งที่เห็นคนอื่นใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ไม่สมกับรายได้ที่เขามี ก็ไม่มีสิทธิ์ต่อว่าประณาม เพราะมันเป็นสิทธิของเขา เท่ายุคนี้?
จะมียุคใดเล่า..ที่การปกป้องศาสนา จากผู้ไม่รู้ที่นำสัญลักษณ์ทางศาสนาไปใช้ในทางไม่เหมาะสม ถูกมองว่าโง่เขลา เท่ายุคนี้?
จะมียุคใดเล่า..ที่การจำกัดการแต่งกาย เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย และลดการอวดประชันขันแต่ง ถูกมองว่าเป็นระบบทาสและไพร่ เท่ายุคนี้?
จะมียุคใดเล่า..ที่การนำข้อคิดทางศาสนา มาโหมประโคมเพื่อสร้างค่านิยมที่ดี (เช่นสวดมนต์ข้ามปี หรืองดเหล้าเข้าพรรษา) ถูกมองว่าแบ่งแยก และกีดกันสิทธิส่วนบุคคล เท่ายุคนี้?
จะมียุคใดเล่า..ที่ประเพณีการรับปริญญา ซึ่งถือว่าเป็นช่วงสำคัญครั้งหนึ่งของชีวิต ถูกมองว่างมงายไร้สาระ เท่ายุคนี้?
และจะมียุคใดเล่า..ที่ความมั่นคงของบ้านเมือง มีความสำคัญน้อยกว่าอย่างเทียบไม่ได้กับเสรีภาพที่ปัจเจกชนควรมีสิทธิ์แสดงมันออกมา เท่ายุคนี้?
“สหายเอ๋ย..มียุคใด ที่โลกเปลี่ยนไปขนาดนี้บ้าง?”
กระแสเปลี่ยน ยุคสมัยเปลี่ยน สังคมเปลี่ยน ผู้คนเปลี่ยน
หากแต่ข้าพเจ้าไม่อาจทำใจเปลี่ยน!..จึงเป็นได้แค่ “ผู้ถูกยุคสมัยทอดทิ้ง” เช่นนี้แล
………………………….