คุณศรัทธาใน “ตนเอง” มากน้อยแค่ไหน?
By : TonyMao_NK51
E-Mail : tonymao_nk51@hotmail.com
FaceBook : TonyMao Nk
“ฉันไม่ศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือบุคคลอื่นใด นอกจากเคารพในตนเอง”
คำตอบดังกล่าว เปรียบเสมือนดาบที่คมกริบ ฟันลงด้วยแรงอันหนักอึ้ง ร่างของข้าพเจ้าได้แต่ยืนนิ่ง รับมันอย่างไร้ทางตอบโต้หรือหลีกหนี และวันนี้ข้าพเจ้า..สัมผัสได้ถึงรสชาติแห่งการเป็น “ผู้ตกยุค” อีกครั้ง
ทำไมคิดเช่นนั้นน่ะหรือ?
ไม่กี่ปีมานี้ ดูเหมือนระเบียบแบบแผนทุกอย่างที่ข้าพเจ้าคุ้นเคย กำลังถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรง
แผ่นดินแห่งนี้..ว่ากันว่าที่ไหนไม่ต้องการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เหล่าทวยเทพ และบรรดาอำนาจที่ว่ากันว่าเหนือธรรมชาติทั้งหลาย ก็ขอให้ท่านเหล่านั้นอพยพมาที่นี่..ประเทศขวานทองแห่งนี้ เราพร้อมให้ที่พักพิงแก่ท่าน เพราะคนที่นี่พร้อมเดินตามท่านเสมอ
แต่นั่นกำลังจะกลายเป็นอดีต!
วันนี้มนุษย์กำลังละทิ้งบรรดาอำนาจเหนือธรรมชาติทั้งหลายเหล่านี้ ด้วยความเชื่อมั่นในศักยภาพของตน จนบางครั้ง อาจกลายเป็นความยะโสโอหัง จากที่เคยกราบไหว้บูชา ก็กำลังจะกลายเป็นปล่อยปละละทิ้งอย่างไม่ใยดี และไม่เพียงแต่สิ่งเหนือธรรมชาติเท่านั้นที่กำลังจะถูกละทิ้ง บุคคลสำคัญในอดีต ที่เคยถูกยกย่องให้เป็นผู้นำทางอันสูงส่ง ก็กำลังจะถูกลดค่า ให้เป็นเพียงปุถุชน ไม่ต่างจากมนุษย์คนอื่นๆ ดังนั้นจึงไม่มีสิทธิ์มาชี้นำหนทางคนอื่นๆ อีกต่อไป
จึงไม่ต้องแปลกใจ ว่าทำไมคนทุกวันนี้ ไม่น้อยเลยเลิกศรัพธาในอำนาจเหนือธรรมชาติ แล้วก็ไม่ได้มองว่าบรรพชนรุ่นก่อนๆ มีความสามารถเหนือกว่า จึงสมควรได้สร้างรากฐานเป็นผู้ชี้นำเหนือยุคสมัย..ลงท้ายก็คือ คนสมัยใหม่ กล้าประกาศตนว่านับถือตนเองเท่านั้นมากขึ้น
ความปวดร้าวได้กลับมาหาข้าพเจ้าอีกครั้ง?
ทำไมน่ะหรือ? เพราะหากค่านิยมใหม่ เน้นการนับถือตนเอง เคารพในเกียรติและศักดิ์ศรีของตนเองเป็นหลัก นั่นเท่ากับว่า..ข้าพเจ้าจะไม่มีอะไรให้พึ่งพิงอีกต่อไป
ไม่ว่าท่านทั้งหลายจะเชื่อหรือไม่ ข้าพเจ้ายืนยันว่านับตั้งแต่จำความได้..ไม่เคยมีสักวัน ที่ข้าพเจ้าจะรู้สึกนับถือ ศรัทธา หรือรู้สึกดีและภูมิใจกับตัวเอง
ไม่เคยมีเลย..ไม่เคยมี..แม้สักวันก็ไม่มี
ลึกๆ แล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกอิจฉาเหล่าคนยุคใหม่ทั้งหลายยิ่งนัก การที่พวกเขากล้าประกาศตนเช่นนั้น มันย่อมแสดงให้เห็นว่า พวกเขาเห็นว่าตนยังมีดี เมื่อตนยังมีดี แรงขับเคลื่อนในการใช้ชีวิตที่ดีจึงอาจเป็นไปได้ แม้จะไม่มีสิ่งเร้นลับเหนือธรรมชาติ หรือแรงบันดาลใจจากบรรพชนในอดีตมาชี้นำเลยก็ตาม
“แต่ข้าพเจ้าทำไม่ได้”
คำตำหนิอาจเป็นแผลในใจบ้างสำหรับข้าพเจ้า แต่คำตำหนิ ก่นด่า ประณาม สำหรับข้าพเจ้าแล้ว มันเทียบได้กับเพียงแผลถลอก แต่สิ่งที่รู้สึกทรมานยิ่งกว่า คือเวลาที่ใครก็ตามกล่าวคำชมเชยข้าพเจ้า นั่นเหมือนถูกยิง หรือถูกแทงเป็นแผลลึก
เพราะข้าพเจ้าจะต้องคิดเสมอ..คนเหล่านั้นไม่ได้ชมจริงๆ หากเป็นเพราะประชดประชันบ้าง หรือไม่ก็คงจะสงสาร สมเพชเวทนาในความ “ไร้สามารถ” ของข้าพเจ้า พวกเขาคงเพียงไม่อยากให้ข้าพเจ้าเสียใจมากเกินไปเท่านั้น
แต่ท่านรู้ไหมว่า..นั่นเป็นความเจ็บปวด ที่ยิ่งกว่าการโดนตำหนิเสียอีก
ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่? ถ้าใครมาถามว่าข้อดีของข้าพเจ้าคืออะไร ข้าพเจ้าแทบจะตอบไม่ได้ แต่ถ้ากล่าวถึงข้อเสียแล้ว จะจับตรงไหนก็โดนไปหมด
แล้วจะให้นับถือตนเอง อย่างที่ค่านิยมใหม่กำลังเป็นไปได้อย่างไร?
ถูกต้องแล้ว..เพราะรู้ตัวว่าไม่มีทางทำได้ ตัวเราน่ะหรือ? มีความดี ข้อดีอะไรให้น่านับถือเล่า? เป็นใครมาจากไหน? ถึงบังอาจเอาตัวเองไปเทียบกับบรรดาปูชนียบุคคลผู้ทรงสติปัญญาในอดีต หรือเหล่าทวยเทพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่ง ที่ไม่มีทางที่มนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่งจะเดินทางไปถึง
มีคนถามว่า..ที่เป็นอยู่นี้ยังไม่ดีพออีกหรือ? ข้าพเจ้าจะรู้สึกพอใจได้อย่างไร เมื่อพิจารณาแล้ว ทุกการกระทำ ทุกความคิดและการตัดสินใจของข้าพเจ้า ไม่ว่าจะคิดอย่างไร ก็ยังมองเห็นข้อบกพร่องอยู่เสมอ บางครั้งแม้ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูด แต่มันก็ติดอยู่ในความรู้สึกตลอดมา และคงตลอดไป
สำคัญที่สุด เชื่อว่าคงไม่มีมนุษย์คนไหน ตาขาวเช่นที่ข้าพเจ้าเป็น ถึงขนาดบอกว่าหากบุพการีกำลังจะถูกฆ่า ก็จะไม่ช่วย ขอหนีเอาตัวรอดคนเดียว เพราะรู้ว่าไม่มีทางต่อสู้กับใครได้
จึงไม่ต้องแปลกใจ ทำไมข้าพเจ้าถึงโหยหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือการนำจากผู้ชี้ทางอันทรงภูมิปัญญาบางคน
บางคนอาจจะแย้งว่า ความเชื่อใหม่ไม่ได้ห้ามนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือบุคคลสำคัญต่างๆ แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ดี บรรพชนบุคคลผู้ทรงภูมิปัญญาในอดีตก็ดี ดวงจิตของสิ่งเหล่านี้ เปรียบเสมือนตะเกียงที่สว่างไสวได้ด้วยน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเชื้อเพลิงในที่นี้ หมายถึงดวงจิตของคนทั่วไป ที่ยังให้การยกย่อง บูชา สรรเสริญ หากบูชามาก ก็ยิ่งทรงอำนาจทางจิตมาก แต่ถ้าบูชาน้อย ก็คงไม่ต่างอะไรกับเศษวัสดุชิ้นหนึ่ง หรือบันทึกประวัติศาสตร์เล่มหนึ่ง ที่ไม่มีราคาคุณค่า เหนือไปกว่าปุถุชนแต่อย่างใด
ดังนั้นมันย่อมไม่เหลือความศักดิ์สิทธิ์ แล้วข้าพเจ้าจะยังคงนับถือสิ่งเหล่านี้ไปเพื่ออะไร?
แม้ทุกวันนี้ ข้าพเจ้ามิได้นับถือสิ่งเหนือธรรมชาติใดเป็นพิเศษ เพราะรู้ดีว่าไม่สามารถทำตามเงื่อนไขของการนับถือนั้นได้ (ยกตัวอย่างศาสนาพุทธ ที่ศีล 5 ก็ขาดแล้วครับ) หากรู้ว่าทำไม่ได้แล้วยังบอกว่านับถือ รังแต่จะทำให้สำนักสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น ถูกพวกกิเลสนิยมโจมตีให้เสียชื่อเปล่าๆ
ได้โปรด!..ยุคใหม่กำลังจะทำลายข้าพเจ้า เพราะจะไม่มีอะไรที่สูงส่งสมบูรณ์แบบ เป็นที่พึ่งทางใจได้อีกต่อไป
บางคนอาจถามว่า ความกลัวตายมิใช่เพราะเห็นค่าของชีวิตตนหรือ? ...เปล่าเลย ผู้ที่เคารพในตนเอง แม้ถึงคราวต้องตาย ก็ไม่จำเป็นต้องเสียใจหรือหวาดกลัว เพราะเขาย่อมตระหนักว่า ชีวิตของเขาที่ผ่านมา ได้ทำสิ่งที่อยากทำ หรือควรทำจนหมดสิ้นแล้ว แต่สำหรับข้าพเจ้า..หากต้องตาย แม้โลกหน้ามีจริง คงได้ไปทุกขติภูมิ หรือแม้โลกหน้าไม่มีจริง ความตายในวันนี้ คงมีเรื่องเสียใจมากมาย มากเสียจนพูดได้ไม่หมด
จึงต้องอยู่สภาพ “อยู่ก็ไม่ไหว ตายก็ยังไม่กล้า”
สหายเอ๋ย ยุคสมัยแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ดี ปูชนียบุคคลผู้ทรงภูมิปัญญาก็ดี กำลังจะจากไปแล้ว..แต่ข้าพเจ้าคงต้องอยู่ อยู่กับความทรมานนี้ ไปจนกว่าวันสุดท้ายในชีวิตจะมาถึง
จึงอยากถามทุกท่านว่า “วันนี้ท่านเคารพ และศรัทธาในตัวท่านเองหรือไม่?” และ “มากน้อยแค่ไหน?”
เพราะยุคสมัยกำลังจะเปลี่ยนไปแล้ว? เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
………………………..
คุณศรัทธาใน “ตนเอง” มากน้อยแค่ไหน?
By : TonyMao_NK51
E-Mail : tonymao_nk51@hotmail.com
FaceBook : TonyMao Nk
“ฉันไม่ศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือบุคคลอื่นใด นอกจากเคารพในตนเอง”
คำตอบดังกล่าว เปรียบเสมือนดาบที่คมกริบ ฟันลงด้วยแรงอันหนักอึ้ง ร่างของข้าพเจ้าได้แต่ยืนนิ่ง รับมันอย่างไร้ทางตอบโต้หรือหลีกหนี และวันนี้ข้าพเจ้า..สัมผัสได้ถึงรสชาติแห่งการเป็น “ผู้ตกยุค” อีกครั้ง
ทำไมคิดเช่นนั้นน่ะหรือ?
ไม่กี่ปีมานี้ ดูเหมือนระเบียบแบบแผนทุกอย่างที่ข้าพเจ้าคุ้นเคย กำลังถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรง
แผ่นดินแห่งนี้..ว่ากันว่าที่ไหนไม่ต้องการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เหล่าทวยเทพ และบรรดาอำนาจที่ว่ากันว่าเหนือธรรมชาติทั้งหลาย ก็ขอให้ท่านเหล่านั้นอพยพมาที่นี่..ประเทศขวานทองแห่งนี้ เราพร้อมให้ที่พักพิงแก่ท่าน เพราะคนที่นี่พร้อมเดินตามท่านเสมอ
แต่นั่นกำลังจะกลายเป็นอดีต!
วันนี้มนุษย์กำลังละทิ้งบรรดาอำนาจเหนือธรรมชาติทั้งหลายเหล่านี้ ด้วยความเชื่อมั่นในศักยภาพของตน จนบางครั้ง อาจกลายเป็นความยะโสโอหัง จากที่เคยกราบไหว้บูชา ก็กำลังจะกลายเป็นปล่อยปละละทิ้งอย่างไม่ใยดี และไม่เพียงแต่สิ่งเหนือธรรมชาติเท่านั้นที่กำลังจะถูกละทิ้ง บุคคลสำคัญในอดีต ที่เคยถูกยกย่องให้เป็นผู้นำทางอันสูงส่ง ก็กำลังจะถูกลดค่า ให้เป็นเพียงปุถุชน ไม่ต่างจากมนุษย์คนอื่นๆ ดังนั้นจึงไม่มีสิทธิ์มาชี้นำหนทางคนอื่นๆ อีกต่อไป
จึงไม่ต้องแปลกใจ ว่าทำไมคนทุกวันนี้ ไม่น้อยเลยเลิกศรัพธาในอำนาจเหนือธรรมชาติ แล้วก็ไม่ได้มองว่าบรรพชนรุ่นก่อนๆ มีความสามารถเหนือกว่า จึงสมควรได้สร้างรากฐานเป็นผู้ชี้นำเหนือยุคสมัย..ลงท้ายก็คือ คนสมัยใหม่ กล้าประกาศตนว่านับถือตนเองเท่านั้นมากขึ้น
ความปวดร้าวได้กลับมาหาข้าพเจ้าอีกครั้ง?
ทำไมน่ะหรือ? เพราะหากค่านิยมใหม่ เน้นการนับถือตนเอง เคารพในเกียรติและศักดิ์ศรีของตนเองเป็นหลัก นั่นเท่ากับว่า..ข้าพเจ้าจะไม่มีอะไรให้พึ่งพิงอีกต่อไป
ไม่ว่าท่านทั้งหลายจะเชื่อหรือไม่ ข้าพเจ้ายืนยันว่านับตั้งแต่จำความได้..ไม่เคยมีสักวัน ที่ข้าพเจ้าจะรู้สึกนับถือ ศรัทธา หรือรู้สึกดีและภูมิใจกับตัวเอง
ไม่เคยมีเลย..ไม่เคยมี..แม้สักวันก็ไม่มี
ลึกๆ แล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกอิจฉาเหล่าคนยุคใหม่ทั้งหลายยิ่งนัก การที่พวกเขากล้าประกาศตนเช่นนั้น มันย่อมแสดงให้เห็นว่า พวกเขาเห็นว่าตนยังมีดี เมื่อตนยังมีดี แรงขับเคลื่อนในการใช้ชีวิตที่ดีจึงอาจเป็นไปได้ แม้จะไม่มีสิ่งเร้นลับเหนือธรรมชาติ หรือแรงบันดาลใจจากบรรพชนในอดีตมาชี้นำเลยก็ตาม
“แต่ข้าพเจ้าทำไม่ได้”
คำตำหนิอาจเป็นแผลในใจบ้างสำหรับข้าพเจ้า แต่คำตำหนิ ก่นด่า ประณาม สำหรับข้าพเจ้าแล้ว มันเทียบได้กับเพียงแผลถลอก แต่สิ่งที่รู้สึกทรมานยิ่งกว่า คือเวลาที่ใครก็ตามกล่าวคำชมเชยข้าพเจ้า นั่นเหมือนถูกยิง หรือถูกแทงเป็นแผลลึก
เพราะข้าพเจ้าจะต้องคิดเสมอ..คนเหล่านั้นไม่ได้ชมจริงๆ หากเป็นเพราะประชดประชันบ้าง หรือไม่ก็คงจะสงสาร สมเพชเวทนาในความ “ไร้สามารถ” ของข้าพเจ้า พวกเขาคงเพียงไม่อยากให้ข้าพเจ้าเสียใจมากเกินไปเท่านั้น
แต่ท่านรู้ไหมว่า..นั่นเป็นความเจ็บปวด ที่ยิ่งกว่าการโดนตำหนิเสียอีก
ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่? ถ้าใครมาถามว่าข้อดีของข้าพเจ้าคืออะไร ข้าพเจ้าแทบจะตอบไม่ได้ แต่ถ้ากล่าวถึงข้อเสียแล้ว จะจับตรงไหนก็โดนไปหมด
แล้วจะให้นับถือตนเอง อย่างที่ค่านิยมใหม่กำลังเป็นไปได้อย่างไร?
ถูกต้องแล้ว..เพราะรู้ตัวว่าไม่มีทางทำได้ ตัวเราน่ะหรือ? มีความดี ข้อดีอะไรให้น่านับถือเล่า? เป็นใครมาจากไหน? ถึงบังอาจเอาตัวเองไปเทียบกับบรรดาปูชนียบุคคลผู้ทรงสติปัญญาในอดีต หรือเหล่าทวยเทพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่ง ที่ไม่มีทางที่มนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่งจะเดินทางไปถึง
มีคนถามว่า..ที่เป็นอยู่นี้ยังไม่ดีพออีกหรือ? ข้าพเจ้าจะรู้สึกพอใจได้อย่างไร เมื่อพิจารณาแล้ว ทุกการกระทำ ทุกความคิดและการตัดสินใจของข้าพเจ้า ไม่ว่าจะคิดอย่างไร ก็ยังมองเห็นข้อบกพร่องอยู่เสมอ บางครั้งแม้ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูด แต่มันก็ติดอยู่ในความรู้สึกตลอดมา และคงตลอดไป
สำคัญที่สุด เชื่อว่าคงไม่มีมนุษย์คนไหน ตาขาวเช่นที่ข้าพเจ้าเป็น ถึงขนาดบอกว่าหากบุพการีกำลังจะถูกฆ่า ก็จะไม่ช่วย ขอหนีเอาตัวรอดคนเดียว เพราะรู้ว่าไม่มีทางต่อสู้กับใครได้
จึงไม่ต้องแปลกใจ ทำไมข้าพเจ้าถึงโหยหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือการนำจากผู้ชี้ทางอันทรงภูมิปัญญาบางคน
บางคนอาจจะแย้งว่า ความเชื่อใหม่ไม่ได้ห้ามนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือบุคคลสำคัญต่างๆ แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ดี บรรพชนบุคคลผู้ทรงภูมิปัญญาในอดีตก็ดี ดวงจิตของสิ่งเหล่านี้ เปรียบเสมือนตะเกียงที่สว่างไสวได้ด้วยน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเชื้อเพลิงในที่นี้ หมายถึงดวงจิตของคนทั่วไป ที่ยังให้การยกย่อง บูชา สรรเสริญ หากบูชามาก ก็ยิ่งทรงอำนาจทางจิตมาก แต่ถ้าบูชาน้อย ก็คงไม่ต่างอะไรกับเศษวัสดุชิ้นหนึ่ง หรือบันทึกประวัติศาสตร์เล่มหนึ่ง ที่ไม่มีราคาคุณค่า เหนือไปกว่าปุถุชนแต่อย่างใด
ดังนั้นมันย่อมไม่เหลือความศักดิ์สิทธิ์ แล้วข้าพเจ้าจะยังคงนับถือสิ่งเหล่านี้ไปเพื่ออะไร?
แม้ทุกวันนี้ ข้าพเจ้ามิได้นับถือสิ่งเหนือธรรมชาติใดเป็นพิเศษ เพราะรู้ดีว่าไม่สามารถทำตามเงื่อนไขของการนับถือนั้นได้ (ยกตัวอย่างศาสนาพุทธ ที่ศีล 5 ก็ขาดแล้วครับ) หากรู้ว่าทำไม่ได้แล้วยังบอกว่านับถือ รังแต่จะทำให้สำนักสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น ถูกพวกกิเลสนิยมโจมตีให้เสียชื่อเปล่าๆ
ได้โปรด!..ยุคใหม่กำลังจะทำลายข้าพเจ้า เพราะจะไม่มีอะไรที่สูงส่งสมบูรณ์แบบ เป็นที่พึ่งทางใจได้อีกต่อไป
บางคนอาจถามว่า ความกลัวตายมิใช่เพราะเห็นค่าของชีวิตตนหรือ? ...เปล่าเลย ผู้ที่เคารพในตนเอง แม้ถึงคราวต้องตาย ก็ไม่จำเป็นต้องเสียใจหรือหวาดกลัว เพราะเขาย่อมตระหนักว่า ชีวิตของเขาที่ผ่านมา ได้ทำสิ่งที่อยากทำ หรือควรทำจนหมดสิ้นแล้ว แต่สำหรับข้าพเจ้า..หากต้องตาย แม้โลกหน้ามีจริง คงได้ไปทุกขติภูมิ หรือแม้โลกหน้าไม่มีจริง ความตายในวันนี้ คงมีเรื่องเสียใจมากมาย มากเสียจนพูดได้ไม่หมด
จึงต้องอยู่สภาพ “อยู่ก็ไม่ไหว ตายก็ยังไม่กล้า”
สหายเอ๋ย ยุคสมัยแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ดี ปูชนียบุคคลผู้ทรงภูมิปัญญาก็ดี กำลังจะจากไปแล้ว..แต่ข้าพเจ้าคงต้องอยู่ อยู่กับความทรมานนี้ ไปจนกว่าวันสุดท้ายในชีวิตจะมาถึง
จึงอยากถามทุกท่านว่า “วันนี้ท่านเคารพ และศรัทธาในตัวท่านเองหรือไม่?” และ “มากน้อยแค่ไหน?”
เพราะยุคสมัยกำลังจะเปลี่ยนไปแล้ว? เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
………………………..