บ่วงรัก...รอยอดีต ตอนที่ 1 By ....ศิศิรา (ปัดฝุ่นนิยายเพื่อขอคำแนะนำค่ะ)

กระทู้สนทนา
ก่อนจะเริ่มเรื่องนิยาย...ต้องขอออกตัวก่อนว่า เป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว ที่ไม่ได้เปิดคอมมาเพื่อเขียนหรืออ่านนิยาย เพราะงานที่ทำอยู่ เยอะจนแทบจะหาเวลาว่างมาทำในสิ่งที่รัก หรือตามหาความฝันไม่ได้ แต่มาวันหนึ่ง...เมื่อลมหนาวพัดผ่าน ความคิดถึง...ก็นำมาซึ่งกระทู้นี้ นิยายดองเค็มที่เก็บไว้นานกว่า 5 ปี วันนี้ขออนุญาตนำมาปัดฝุ่น และขอคำแนะนำค่ะ... ^ ^


...1...
...รอยอดีต...

เอี๊ยดดดดดดด.....................โครม!!!!
เสียงประสานงาของรถยนต์สองคันตรงกึ่งกลางสี่แยกไฟแดงดั่งสนั่นหวั่นไหว ผู้คนมากมายที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันซึ่งพอจะมองเห็นเหตุการณ์นี้ได้ ต่างหันมาให้ความสนใจกับภาพเหตุการณ์ระทึกขวัญที่เพิ่งจะเกิดขึ้น
ไม่นานนักเสียงไซเรนรถตำรวจท้องที่พร้อมด้วยรถพยาบาลและรถของมูลนิธิช่วยเหลือผู้ประสบภัยบนท้องถนนซึ่งวิ่งลิ่ว ราวกับจะมาก่ออุบัติเหตุมากกว่ามาช่วยผู้บาดเจ็บก็ตามมาติดๆ และจอดนิ่งอยู่ใกล้ๆ กับที่เกิดเหตุ
รถยนต์สองคัน คันหนึ่งนำเข้าจากยุโรปสีบรอนซ์เงินด้านหน้ายุบไปทั้งแถบ แต่ก็ยังน้อยกว่ารถคู่กรณีซึ่งเป็นรถนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น ประตูด้านข้างตรงที่นั่งคนขับยุบเข้าไปมากพอดู กระทั่งกระโปรงหน้ารถด้านเดียวกันยังเผยอขึ้นจนแลเห็นเครื่องยนต์ภายในซึ่งกำลังร้อนกรุ่น สังเกตได้จากไอร้อนที่พวยพุ่งเป็นเขม่าสีมัวๆ อยู่เหนือขึ้นไปด้านบน
การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บเป็นไปอย่างยากลำบากเพราะบริเวณที่เกิดเหตุเป็นสี่แยกไฟแดงที่มีรถราวิ่งพลุกพล่าน หนำซ้ำยังเป็นช่วงเวลาเลิกงานการจราจรจึงยิ่งติดขัดมากขึ้น อุปสรรคในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ จึงดูจะหนักหนาขึ้นไปกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว
กว่าครึ่งชั่วโมงผู้ประสบอุบัติเหตุทั้งหมดจึงถูกช่วยเหลือและนำร่างออกมาจากซากรถได้เป็นผลสำเร็จ ก่อนนำผู้บาดเจ็บทั้งหมดส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดโดยเร่งด่วน!



อธีร์ ณิชกุล เดินกระสับกระส่ายไปมาอยู่หน้าห้องผู้ป่วยฉุกเฉิน ที่ศีรษะมีรอยแผลซึ่งถูกปิดทับด้วยผ้ากอซบริเวณหางคิ้วด้านซ้ายยาวราวหนึ่งนิ้ว ข้อมือข้างหนึ่งมีผ้ากอซพันไว้จนถึงข้อศอก ร่างกายมีรอยฟกช้ำเพียงเล็กน้อย แต่เสื้อเชิ้ตสีขาวที่เขาสวมอยู่เต็มไปด้วยคราบเลือดแห้งเกรอะ
ร่วมสามชั่วโมงแล้วที่ชายหนุ่มกระวนกระวายเฝ้ารออย่างร้อนรนและเป็นกังวลใจอยู่แบบนี้ แม้วราลีน้องสาวเพียงคนเดียวของเขาจะแสดงความเป็นห่วงเป็นใย ด้วยการแนะนำให้เขานอนพักให้น้ำเกลือสักหน่อย ก็กลับได้รับการปฏิเสธ
ความพะวงทั้งหมดตอนนี้ตกอยู่แต่กับความเคลื่อนไหวภายในห้องฉุกเฉินซึ่งประตูยังคงปิดสนิท ชายหนุ่มยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมองเวลาทุกๆ สิบวินาที เสียงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใยของสตรีอาวุโสในชุดผ้าไหมสีฟ้าน้ำทะเลแว่วมาทันทีที่มาถึง คุณอรุณีเดินตรงเข้าไปหาบุตรชายพลางกวาดสายตามองกราดทั่วร่างสูงสำรวจจนถ้วนทั่ว ยังไม่พอเท่านั้นย้ำถามอีกเพื่อให้แน่ใจ
“เจ็บตรงไหน เป็นอะไรมากหรือเปล่าธีร์ ไหนแม่ดูซิ แล้วทำไมไม่นอนพัก แม่สั่งให้พยาบาลเค้าจัดห้องให้เอาไหม”
คนถูกถามส่ายหัว “ผมไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ”
“ไม่มากได้ยังไง ดูซิทั้งหัวทั้งแขน แม่ว่า...”
“ไม่เป็นไรก็คือไม่เป็นไรครับคุณแม่ ถ้าผมเจ็บมากผมก็คงมายืนพูดอยู่ตรงนี้ไม่ได้”คนพูดพ่นลมหายใจ แล้วหันไปให้ความสนใจกับประตูห้องฉุกเฉินที่ปิดสนิทอยู่เช่นเคย
ผู้เป็นมารดาจึงเดินไปทรุดนั่งอยู่ข้างๆ วราลี บุตรสาวคนเล็ก คุณคมสันผู้เป็นสามีเลยสานต่อหน้าที่ด้วยการเดินเข้าไปตบไหล่บุตรชายคนโตเบาๆ พลางเอ่ย
“คู่หมั้นแกล่ะ เป็นไงบ้าง”
สีหน้าคนถูกถามเป็นกังวลมากขึ้นกว่าเดิม ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วหันมามองหน้าผู้เป็นบิดา แต่ยังไม่ทันจะได้ตอบหรือทำอะไรอย่างอื่น ประตูห้องฉุกเฉินที่ปิดอยู่นานเกือบสี่ชั่วโมงก็เปิดออก นายแพทย์ในชุดกราวด์สีขาวเดินออกมา อธีร์ก้าวเร็วๆ ไม่กี่ก้าวก็ถึงตัวหมอ กลิ่นคาวเลือดที่ติดมากับตัวหมอโชยมาเข้าจมูก คนเป็นกังวลใจหายวาบ...
“วริษาเป็นยังไงบ้างครับหมอ”
นายแพทย์หนุ่มดึงผ้าปิดปากออก สูดลมหายใจอย่างหนักอก เม้มริมฝีปากแสดงสีหน้าหนักใจ จนคนรอฟังคำตอบก็พลอยใจไม่ดีไปด้วย
“ตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้วนะครับ แต่ก็ต้องรอดูอาการไปก่อน เพราะร่างกายได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก โดยเฉพาะส่วนศีรษะ หมอคงยังบอกรายละเอียดอะไรแน่ชัดไม่ได้ คงต้องรอดูอาการไปก่อน จนกว่าคนไข้จะฟื้นนั่นแหละครับ”
คำชี้แจงของแพทย์ผู้รักษาไม่ได้ช่วยทำให้ความกังวลใจของอธีร์คลายลงเลยแม้แต่น้อย สีหน้าของเขายังคงกังวล รอยหยักระหว่างคิ้วคงยังปรากฏชัดกระทั่งร่างของวริษาถูกเคลื่อนย้ายไปพักยังห้องพักคนไข้พิเศษ
“ทำใจดีๆ นะธีร์ หนูริซ่าไม่เป็นไรหรอก กลับไปพักก่อนดีกว่าไหมลูก”  คุณอรุณีผู้เป็นมารดา เอ่ยอีกเมื่อเห็นว่าบุตรชายคนโตยังไม่มีทีท่าว่าจะพักผ่อนเสียบ้าง ทั้งที่ตัวเองก็เจ็บเหมือนกัน
“ผมจะยังไม่กลับ จนกว่าริซ่าจะฟื้น”
“พี่ธีร์กลับไปพักก่อนดีกว่า ลีว่าพี่ริซ่าเค้าไม่เป็นอะไรมากหรอก พี่ธีร์กลับไปพัก เดี๋ยวพอพี่ริซ่าฟื้นทางโรงพยาบาลเค้าก็โทรศัพท์ไปบอกเองนั่นแหละ”วราลีช่วยมารดาอีกแรง
“ใครอยากกลับก็กลับ ผมจะยังไม่กลับจนกว่าริซ่าจะฟื้น”
วราลีส่ายหัวดิก ย่นจมูกฟุดฟิด นึกหงุดหงิดความดื้อรั้นและไม่ยอมฟังใครของผู้เป็นพี่ชาย “ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ ไปค่ะ คุณพ่อคุณแม่...กลับบ้าน”
พูดจบวราลีก็ไม่รอฟังคำคัดค้านของใครเช่นกัน หญิงสาวดึงกระเป๋าที่ถืออยู่ขึ้นสะพายบนบ่า แล้วเดินฉับๆ ไป คุณอรุณีได้แต่ยืนทำหน้าเหรอหราหันมองลูกสาวทีลูกชายที ผู้เป็นสามีจึงใช้แขนโอบเอวอวบอั๋นเป็นเชิงบังคับให้เดินตามวราลีไป ด้วยรู้ดี...คนอย่างอธีร์พูดคำไหนคำนั้น!



อธีร์กินไม่ได้นอนไม่หลับมาหลายวันแล้ว เนื่องจากคู่หมั้นสาวยังคงนอนไม่ได้สติ และตอนนี้ ความกังวลต่างๆ ในใจเขายิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว ความโกลาหลวุ่นวายเกิดขึ้นอีกครั้งกลางดึก เมื่ออาการของวริษาทรุดหนักลงกว่าเดิม ความดันโลหิตลดต่ำมาก แพทย์ต้องรีบนำเข้าห้องฉุกเฉินเป็นการด่วนอีกครั้ง อธีร์เดินวนไปวนมาอยู่ด้านหน้าห้องผ่าตัดฉุกเฉินแห่งนี้เป็นเวลากว่าห้าชั่วโมงแล้ว
จนกระทั่งประตูห้องผ่าตัดถูกเปิดออกอีกครั้งเมื่อเวลาใกล้รุ่ง สีหน้าของนายแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดไม่สู้ดีนัก อธีร์ได้รับคำตอบที่ไม่ค่อยแน่ชัดจากบุรุษวัยกลางคนในชุดเสื้อกราวด์สีขาว ว่าอาการของคนไข้ตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ก็ต้องรอดูต่อไปอีกสักระยะเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆ อีก
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย และอาการโดยทั่วไปกลับเป็นปกติแล้ว วริษาก็ถูกย้ายกลับมายังห้องพักคนไข้ดังเดิม อธีร์คงตามมาเฝ้าดูแลอยู่ไม่ห่าง เขานึกโทษตัวเองที่เป็นสาเหตุให้หญิงสาวต้องมาเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ ทั้งๆ ที่เขาและเธอกำลังจะแต่งงานกันในต้นเดือนหน้านี้แล้วแท้ๆ
อธีร์ได้พบและรู้จักกับวริษาเพราะเธอเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเดียวกันกับเขาที่ประเทศอังกฤษ เธอเป็นคนไทยคนแรกที่เขารู้จัก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะรู้สึกไว้วางใจ และสนิทสนมกับหญิงสาวผู้นี้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว วริษาเป็นลูกครึ่งไทยอังกฤษ เธอเกิดและโตที่นั่น แต่ด้วยความที่เธอมีแม่เป็นคนไทยที่ต่อให้อยู่ไกลแค่ไหนก็ยังไม่เคยลืมชาติกำเนิด วริษาจึงพูดภาษาไทยได้ ถึงแม้ว่าจะไม่เคยอยู่เมืองไทยเลยก็ตาม
ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนพัฒนาจากเพื่อนจนกลายมาเป็นคนรู้ใจ และในที่สุดอธีร์ก็ตัดสินใจขอวริษาแต่งงาน เพราะเขานับถือหัวใจรักและความดีงามของเธอ แต่ด้วยความที่เป็นลูกคนโต ภาระที่ต้องสืบทอดกิจการของครอบครัวก็เป็นสิ่งที่เขาทิ้งไม่ได้เช่นกัน วริษารักอธีร์มาก เมื่อเขาเอ่ยปากว่าจะกลับมาอยู่เมืองไทยหญิงสาวจึงไม่ขัดข้อง
ทว่าเพียงวันแรกที่มาถึง เหตุการณ์อันไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น และทำให้วริษาผู้หญิงที่แสนดีและน่ารักต้องตกมาอยู่ในสภาพเช่นนี้ ชายหนุ่มนึกโทษตัวเอง ถ้าเกิดว่าเขาไม่พาเธอกลับมาด้วย เรื่องเลวร้ายแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น
ไม่สิ... อธีร์กำมือแน่น อันที่จริงมันไม่ใช่ความผิดของเขา ความผิดทั้งหมดมันเกิดมาจากความประมาท ไร้ระเบียบวินัยของรถคันนั้นต่างหาก ความโมโหและเคืองขุ่นแล่นขึ้นมาจุกอก
“ผมสาบาน...ว่าจะไม่มีวันให้อภัยเด็ดขาด”



เวลาล่วงเลยไปร่วมสัปดาห์ วริษายังคงหลับใหลไม่ได้สติ ความกังวลใจของอธีร์ไม่มีทีท่าว่าจะลดน้อยลงเลย หลังจากไปพูดคุยกับนายแพทย์เจ้าของไข้  ชายหนุ่มเดินมาทรุดนั่งลงข้างเตียง ดึงมือเล็กๆ นั้นขึ้นมากุม ก่อนดึงขึ้นแนบแก้มมองทอดสายตาไปยังดวงหน้าซีดเซียวแล้วถอนหายใจ
‘นี่คุณหมอหมายความว่าวริษาจะเป็นเจ้าหญิงนิทราอย่างนั้นหรือครับ แล้วไม่มีวิธีรักษาเลยหรือครับหมอ ต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ผมก็ยินดี’
คนถูกถามส่ายหน้าไปมาช้าๆ ถอนหายใจเบาๆ อย่างรู้สึกสงสารและเห็นใจ
‘อันนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับคนไข้นะครับ เพราะอาการแบบนี้หมอไม่สามารถหาตัวยาใดๆ ปลุกให้ฟื้นขึ้นมาได้’
อธีร์เอื้อมมือไปสัมผัสนวลแก้มของร่างบางที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียงคนไข้เบาๆ ริมฝีปากบางที่มักจะแย้มยิ้มและพูดคุยอยู่เคียงข้างเขา บัดนี้นิ่งสนิทไม่ไหวติง เขาเกลียดความรู้สึกเช่นนี้ยิ่งนัก
“ลืมตามาคุยกับผมสิครับริซ่า ผมอยู่นี่แล้วไง...อยู่ข้างๆ ริซ่าตรงนี้”
คำตอบคือความเงียบ ไม่มีวี่แววเลยว่าเจ้าของร่างบางจะได้ยินในสิ่งที่เขาพูด อธีร์ฟุบหน้านิ่ง นึกอะไรไม่ออก นี่กระมังที่เขาเรียกว่ามืดแปดด้าน คิดวกไปวนมาก็โมโหขึ้นมาอีกเช่นเคยนัยน์ตาคมวาวโรจน์ ความขุ่นเคืองที่เขามีต่อรถคู่กรณี เพิ่มมากขึ้นทุกครั้งที่เขานึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น และผลของเหตุการณ์ที่วริษาต้องประสบอยู่ในวันนี้  
เสียงเคาะประตูเพื่อขออนุญาตดังขึ้นหน้าห้อง อธีร์จึงวางมือว่าที่เจ้าสาวกลับเข้าที่ไว้ดังเดิม ก่อนจะพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด พยาบาลสาวที่เพิ่งจะก้าวเข้ามาเอ่ยเบาๆ
“ขอโทษนะคะคุณอธีร์ คู่กรณีที่ขับรถชนกับคุณมาขอพบค่ะ”
ใบหน้าคมสันมีร่องรอยไม่พอใจ เรียวคิ้วเข้มย่นเข้าหากัน แววตาคมวาวโรจน์ด้วยความเคืองใจ จะไม่ให้เขาเคืองได้อย่างไร ในเมื่อถ้าหากไม่มีรถเจ้ากรรมคันนั้นวิ่งฝ่าไฟแดงมา อุบัติเหตุในครั้งนี้ก็คงจะไม่เกิด และวริษาก็คงจะไม่ต้องมานอนนิทราเป็นผักเป็นปลาอยู่แบบนี้ ที่สำคัญไปกว่านั้น ป่านนี้งานแต่งงานระหว่างเขากับเธอ ก็คงจะคืบหน้าไปมากแล้ว
ชายหนุ่มกล่าวขอบคุณพยาบาลสาวเบาๆ ก่อนจะเดินออกไปทันที ที่ฝ่ายนั้นบอกรายละเอียดสถานที่นัดพบให้เขาทราบ
ลงลิฟต์มาถึงชั้นล่าง เดินเลี้ยวไปตามเส้นทางที่พยาบาลสาวบอก ไม่นานอธีร์ก็มาถึงจุดนัดหมาย ชายหนุ่มพบสุภาพสตรีผู้หนึ่งนั่งรออยู่ตรงโต๊ะชุด ซึ่งทางโรงพยาบาลจัดไว้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้มาใช้บริการ
“ขอโทษนะครับ คุณใช่คนที่นัดผมมาพบหรือเปล่า”ชายหนุ่มเอ่ยทันทีที่เดินเข้ามาใกล้พอ
ฝ่ายที่รออยู่สะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะรีบลุกขึ้น หญิงสาวรูปร่างโปร่งบาง ผมยาวสลวยถูกรวบขึ้นสูงไว้อย่างเรียบร้อย เผยให้เห็นผิวขาวเนียนบริเวณต้นคอ เธออยู่ในชุดเสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนสีเข้มธรรมดาๆ ที่พออธีร์เห็นในครั้งแรก เขาก็นึกปรามาสด้วยสายตาทันทีว่า ถ้าหากเขาจะเรียกร้องให้เธอผู้นี้จ่ายค่าเสียหายมากมายให้กับเขา รับรองว่าผู้หญิงคนนี้ก็คงจะไม่มีปัญญาจ่ายเป็นแน่ ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างเย้ยหยันที่มุมปาก พลางนึกอย่างดูแคลน
“มิน่าล่ะถึงได้ชอบทำอะไรมักง่าย”
ทันทีที่หญิงสาวคนนั้นหันหน้ามา รอยยิ้มมุมปากที่อธีร์แสยะขึ้นเพื่อเย้ยหยัน กลับต้องหุบลงในทันที สีหน้าที่แสดงถึงความเคืองแค้น ชิงชังปรากฏขึ้นมาแทนที่ในชั่วพริบตา
ซึ่งอีกฝ่ายก็ต้องรีบเบิกตาด้วยความตกใจเช่นเดียวกัน หญิงสาวทำสีหน้าไม่ถูก ว่ากันว่าโลกกลม ดูท่าว่าวันนี้...โลกมันจะกลมจริงๆ ไม่สิ...กลมมากๆ ต่างหาก
“พี่ธีร์...”
..............................................................................................
^ ^
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่