จากมติชนออนไลน์
กานดา นาคน้อย
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยคอนเน็ตทิคัต สหรัฐอเมริกา
ภาษีมรดกและเมตตาจิต
ฉันอ่านบทความจากสื่อออนไลน์พบว่ามีการบิดเบือนว่าสหรัฐฯและหลายประเทศยกเลิกภาษีมรดกแล้ว
ที่จริงแล้วประเทศทุนนิยมตะวันตกอย่างสหรัฐฯและอังกฤษยังไม่เลิกเก็บภาษีมรดก ประเทศทุนนิยมในเอเชียอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าภาษีมรดกทำรายได้ภาษีให้ไม่มากและประเทศเหล่านี้ต้องพึ่งพาภาษีเงินได้ส่วนบุคคลเป็นรายได้หลัก (ต่างจากรัฐบาลไทยที่พึ่งพาภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นรายได้หลัก) แต่ภาษีมรดกก็ยังไม่ได้โดนยกเลิก บางประเทศกำลังจะขึ้นอัตราภาษีมรดกด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าในต่างประเทศมีเศรษฐีที่พยายามผลักดันให้ลดภาษีมรดกและยกเลิกภาษีมรดกโดยอ้างว่าเป็นภาษีซ้ำซ้อน (วาทกรรมยอดฮิตในหมู่คนที่ผลักดันการยกเลิกภาษีทุกรูปแบบ) แต่ในขณะเดียวกันก็มีเศรษฐีที่คัดค้านการยกเลิกภาษีมรดก ที่โด่งดังคือมหาเศรษฐีระดับโลกอย่าง วอเรน บัฟเฟต์และบิลล์ เกตต์ เขาคัดค้านการยกเลิกภาษีมรดกอย่างเปิดเผยด้วยเหตุผลที่ว่าภาษีมรดกคือการคืนให้สู่สังคม มหาเศรษฐีร่ำรวยได้จากการจ้างแรงงานทั้งที่แรงงานมีทักษะและแรงงานไร้ทักษะ การสร้างแรงงานมีทักษะก็ต้องใช้ทรัพยากรสาธารณะด้วย
ภาษีกองมรดกและภาษีมรดกที่สหรัฐฯ
รัฐบาลกลางของสหรัฐฯจัดเก็บภาษีกองมรดก(Estate tax) หลังมรณกรรมก่อนที่มรดกจะโดนโอนไปสู่ทายาท ภาษีดังกล่าวโดนจัดเก็บควบคู่ไปกับภาษีของขวัญ (Gift tax) เพื่อป้องกันไม่ให้ถ่ายเททรัพย์สินไปสู่ทายาทก่อนมรณกรรม ภาษีกองมรดกมีชื่อเล่นว่าภาษีความตาย (Death tax) ชื่อนี้เป็นที่นิยมในหมู่คนที่พยายามผลักดันให้ยกเลิกภาษีกองมรดกด้วยการนำเสนอว่าเป็นภาษีที่หากินกะความตายของพลเมืองฟังดูเป็นภาษีที่ใจร้ายใจดำ (ดราม่านิดหน่อย)
นอกจากภาษีมรดกที่จัดเก็บโดยสรรพากรของรัฐบาลกลางแล้วยังมีภาษีมรดกที่จัดเก็บโดยรัฐบาลมลรัฐด้วย บางมลรัฐเก็บภาษีกองมรดกในลักษณะเดียวกัน บางมลรัฐเก็บภาษีมรดกหลังโอนกรรมสิทธิ์ให้ทายาทแล้ว (Inheritance tax) ภาษีมรดกแตกต่างจากภาษีกองมรดกตรงที่ว่าถ้ามีทายาทหลายคน มรดกที่ทายาทแต่ละคนได้รับก็จะน้อยกว่ากองมรดกทั้งหมด อัตราภาษีก็จะแตกต่างกันไป มีบางมลรัฐก็ไม่เก็บภาษีมรดกเลย มหาเศรษฐีที่อยากลดภาระภาษีมรดกก็นิยมย้ายไปเกษียณและเสียชีวิตที่มลรัฐที่ไม่มีภาษีมรดก
ปัจจุบันอัตราภาษีกองมรดกที่จัดเก็บโดยรัฐบาลกลางมีอัตราสูงสุดอยู่ที่ 40% โดยยกเว้นภาษีให้กองมรดก 5.34 ล้านเหรียญแรก (ประมาณ 150 ล้านบาท) ส่วนอัตราภาษีกองมรดกในระดับมลรัฐสูงสุด 20% ที่มลรัฐวอชิงตันโดยยกเว้นกองมรดก 2.01 ล้านเหรียญแรก [1]
ยกตัวอย่าง สมมุติว่า นายโจ (นามสมมุติ) เสียชีวิตที่มลรัฐวอชิงตันและมีมรดกมูลค่า 4 ล้านเหรียญ กองมรดกจะได้รับการยกเว้นภาษีที่จัดเก็บโดยรัฐบาลกลาง แต่กองมรดกนายโจต้องเสียภาษีกองมรดกให้รัฐบาลมลรัฐวอชิงตัน ถ้ากองมรดกนายเจมีมูลค่า 6 ล้านเหรียญก็ต้องเสียภาษีให้ทั้งรัฐบาลกลางและรัฐบาลมลรัฐวอชิงตัน
อัตราภาษีกองมรดกสูงสุด 40% นั้นต่ำกว่าอัตราสูงสุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯมาก สหรัฐฯเคยจัดเก็บภาษีกองมรดกสูงสุดด้วยอัตรา 77% ในระยะเวลา 35 ปี ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงหลังจบสงครามเวียดนาม [2] หลังสงครามเวียดนามอัตราภาษีมรดกลดลงมาที่ 70% จนถึงยุคประธาธิบดีเรแกน หลังจากนั้นภาษีมรดกก็ปรับตัวลงมาเรื่อยๆ ปัจจุบันสหรัฐฯมีภาระทางการคลังมาก และการใช้ภาษีอุ้มสถาบันการเงินช่วงวิกฤตการเงินที่ผ่านมาทำให้มีกระแสเรียกร้องให้ขึ้นภาษีเงินได้ส่วนบุคคลและภาษีกองมรดก การผลักดันให้ยกเลิกภาษีกองมรดกจึงกลายเป็นความฝันที่ยากจะเป็นจริงในอนาคตอันใกล้
เมตตาจิตของผู้มีฐานะ
ฉันคิดว่าอัตราภาษีกองมรดกเป็นดัชนีที่บ่งชี้ระดับเมตตาจิตต่อเพื่อนร่วมชาติของผู้มีฐานะ เพราะภาษีกองมรดกเป็นสัญญาประชาคมที่ผู้มีฐานะยินยอมว่าจะไม่โอนทรัพย์สินส่วนหนึ่งให้บุตรหลานตามสายเลือดแต่จะโอนให้สังคมแทน เป็นการให้ที่ผู้ให้ไม่มีโอกาสได้รับคืนทั้งทางตรงและทางอ้อม เนื่องจากผู้ให้เสียชีวิตแล้วและไม่มีใครตามไปกราบไหว้ตอบแทนบุญคุณบุตรหลานของผู้ให้ นอกจากนี้การทำบุญหรือบริจาคให้สถาบันทางศาสนานำไปหักลดภาษีได้ ซึ่งตรงข้ามกับการจัดเก็บภาษีกองมรดกที่เพิ่มภาษี ผู้ที่ยินยอมจ่ายภาษีมรดกจึงมีเมตตาจิตยิ่งกว่าคนทำบุญหรือบริจาคเพื่อหักลดภาษีมากมายนัก
เมื่อเปรียบเทียบอัตราภาษีกองมรดกสูงสุดใน4 ประเทศที่ฉันกล่าวถึงในข้างต้น ญี่ปุ่นมีอัตราภาษีกองมรดกสูงสุด ปัจจุบันอยู่ที่ 50% และจะปรับขึ้นเป็น 55% ในต้นปีหน้า [3] นับได้ว่าผู้มีฐานะญี่ปุ่นมีเมตตาจิตต่อเพื่อนร่วมชาติมากกว่าผู้มีฐานะชาวอเมริกัน และผู้มีฐานะชาวอเมริกันมีเมตตาจิตต่อเพื่อนร่วมชาติมากกว่าผู้มีฐานะชาวไทย เนื่องจากการผลักดันภาษีมรดกในไทยเป็นไปอย่างล่าช้าและผลักดันอัตราที่ต่ำเพียง 10% เท่านั้น [4]
การพร่ำเพ้อสอนเยาวชนให้มีเมตตาจิตหรือการประดิษฐ์วาทกรรมธรรมะฉาบฉวยไม่ช่วยสร้างสังคมที่มีเมตตาจิต ในเมื่อผู้ใหญ่ไม่มีเมตตาจิตก็ย่อมสอนเยาวชนไม่ได้ การประกาศตนเป็นคนดีมีคุณธรรมแต่ต่อต้านภาษีมรดกก็เป็นพฤติกรรมที่ย้อนแย้ง ตราบใดที่ไม่มีการจัดเก็บภาษีมรดกด้วยอัตราที่ทัดเทียมกับประเทศทุนนิยมสากล ก็ยากที่จะปฎิเสธความจริงที่ว่าผู้มีฐานะที่ไทยไม่มีเมตตาจิตต่อเพื่อนร่วมชาติและนิยมการประชาสัมพันธ์สร้างภาพนักบุญเท่านั้น
ต้องอ่าน! ใครบอกว่าสหรัฐฯและประเทศทุนนิยมเสรีหลายประเทศ ยกเลิกภาษีมรดกแล้ว ??
กานดา นาคน้อย
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยคอนเน็ตทิคัต สหรัฐอเมริกา
ภาษีมรดกและเมตตาจิต
ฉันอ่านบทความจากสื่อออนไลน์พบว่ามีการบิดเบือนว่าสหรัฐฯและหลายประเทศยกเลิกภาษีมรดกแล้ว
ที่จริงแล้วประเทศทุนนิยมตะวันตกอย่างสหรัฐฯและอังกฤษยังไม่เลิกเก็บภาษีมรดก ประเทศทุนนิยมในเอเชียอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าภาษีมรดกทำรายได้ภาษีให้ไม่มากและประเทศเหล่านี้ต้องพึ่งพาภาษีเงินได้ส่วนบุคคลเป็นรายได้หลัก (ต่างจากรัฐบาลไทยที่พึ่งพาภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นรายได้หลัก) แต่ภาษีมรดกก็ยังไม่ได้โดนยกเลิก บางประเทศกำลังจะขึ้นอัตราภาษีมรดกด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าในต่างประเทศมีเศรษฐีที่พยายามผลักดันให้ลดภาษีมรดกและยกเลิกภาษีมรดกโดยอ้างว่าเป็นภาษีซ้ำซ้อน (วาทกรรมยอดฮิตในหมู่คนที่ผลักดันการยกเลิกภาษีทุกรูปแบบ) แต่ในขณะเดียวกันก็มีเศรษฐีที่คัดค้านการยกเลิกภาษีมรดก ที่โด่งดังคือมหาเศรษฐีระดับโลกอย่าง วอเรน บัฟเฟต์และบิลล์ เกตต์ เขาคัดค้านการยกเลิกภาษีมรดกอย่างเปิดเผยด้วยเหตุผลที่ว่าภาษีมรดกคือการคืนให้สู่สังคม มหาเศรษฐีร่ำรวยได้จากการจ้างแรงงานทั้งที่แรงงานมีทักษะและแรงงานไร้ทักษะ การสร้างแรงงานมีทักษะก็ต้องใช้ทรัพยากรสาธารณะด้วย
ภาษีกองมรดกและภาษีมรดกที่สหรัฐฯ
รัฐบาลกลางของสหรัฐฯจัดเก็บภาษีกองมรดก(Estate tax) หลังมรณกรรมก่อนที่มรดกจะโดนโอนไปสู่ทายาท ภาษีดังกล่าวโดนจัดเก็บควบคู่ไปกับภาษีของขวัญ (Gift tax) เพื่อป้องกันไม่ให้ถ่ายเททรัพย์สินไปสู่ทายาทก่อนมรณกรรม ภาษีกองมรดกมีชื่อเล่นว่าภาษีความตาย (Death tax) ชื่อนี้เป็นที่นิยมในหมู่คนที่พยายามผลักดันให้ยกเลิกภาษีกองมรดกด้วยการนำเสนอว่าเป็นภาษีที่หากินกะความตายของพลเมืองฟังดูเป็นภาษีที่ใจร้ายใจดำ (ดราม่านิดหน่อย)
นอกจากภาษีมรดกที่จัดเก็บโดยสรรพากรของรัฐบาลกลางแล้วยังมีภาษีมรดกที่จัดเก็บโดยรัฐบาลมลรัฐด้วย บางมลรัฐเก็บภาษีกองมรดกในลักษณะเดียวกัน บางมลรัฐเก็บภาษีมรดกหลังโอนกรรมสิทธิ์ให้ทายาทแล้ว (Inheritance tax) ภาษีมรดกแตกต่างจากภาษีกองมรดกตรงที่ว่าถ้ามีทายาทหลายคน มรดกที่ทายาทแต่ละคนได้รับก็จะน้อยกว่ากองมรดกทั้งหมด อัตราภาษีก็จะแตกต่างกันไป มีบางมลรัฐก็ไม่เก็บภาษีมรดกเลย มหาเศรษฐีที่อยากลดภาระภาษีมรดกก็นิยมย้ายไปเกษียณและเสียชีวิตที่มลรัฐที่ไม่มีภาษีมรดก
ปัจจุบันอัตราภาษีกองมรดกที่จัดเก็บโดยรัฐบาลกลางมีอัตราสูงสุดอยู่ที่ 40% โดยยกเว้นภาษีให้กองมรดก 5.34 ล้านเหรียญแรก (ประมาณ 150 ล้านบาท) ส่วนอัตราภาษีกองมรดกในระดับมลรัฐสูงสุด 20% ที่มลรัฐวอชิงตันโดยยกเว้นกองมรดก 2.01 ล้านเหรียญแรก [1]
ยกตัวอย่าง สมมุติว่า นายโจ (นามสมมุติ) เสียชีวิตที่มลรัฐวอชิงตันและมีมรดกมูลค่า 4 ล้านเหรียญ กองมรดกจะได้รับการยกเว้นภาษีที่จัดเก็บโดยรัฐบาลกลาง แต่กองมรดกนายโจต้องเสียภาษีกองมรดกให้รัฐบาลมลรัฐวอชิงตัน ถ้ากองมรดกนายเจมีมูลค่า 6 ล้านเหรียญก็ต้องเสียภาษีให้ทั้งรัฐบาลกลางและรัฐบาลมลรัฐวอชิงตัน
อัตราภาษีกองมรดกสูงสุด 40% นั้นต่ำกว่าอัตราสูงสุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯมาก สหรัฐฯเคยจัดเก็บภาษีกองมรดกสูงสุดด้วยอัตรา 77% ในระยะเวลา 35 ปี ตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงหลังจบสงครามเวียดนาม [2] หลังสงครามเวียดนามอัตราภาษีมรดกลดลงมาที่ 70% จนถึงยุคประธาธิบดีเรแกน หลังจากนั้นภาษีมรดกก็ปรับตัวลงมาเรื่อยๆ ปัจจุบันสหรัฐฯมีภาระทางการคลังมาก และการใช้ภาษีอุ้มสถาบันการเงินช่วงวิกฤตการเงินที่ผ่านมาทำให้มีกระแสเรียกร้องให้ขึ้นภาษีเงินได้ส่วนบุคคลและภาษีกองมรดก การผลักดันให้ยกเลิกภาษีกองมรดกจึงกลายเป็นความฝันที่ยากจะเป็นจริงในอนาคตอันใกล้
เมตตาจิตของผู้มีฐานะ
ฉันคิดว่าอัตราภาษีกองมรดกเป็นดัชนีที่บ่งชี้ระดับเมตตาจิตต่อเพื่อนร่วมชาติของผู้มีฐานะ เพราะภาษีกองมรดกเป็นสัญญาประชาคมที่ผู้มีฐานะยินยอมว่าจะไม่โอนทรัพย์สินส่วนหนึ่งให้บุตรหลานตามสายเลือดแต่จะโอนให้สังคมแทน เป็นการให้ที่ผู้ให้ไม่มีโอกาสได้รับคืนทั้งทางตรงและทางอ้อม เนื่องจากผู้ให้เสียชีวิตแล้วและไม่มีใครตามไปกราบไหว้ตอบแทนบุญคุณบุตรหลานของผู้ให้ นอกจากนี้การทำบุญหรือบริจาคให้สถาบันทางศาสนานำไปหักลดภาษีได้ ซึ่งตรงข้ามกับการจัดเก็บภาษีกองมรดกที่เพิ่มภาษี ผู้ที่ยินยอมจ่ายภาษีมรดกจึงมีเมตตาจิตยิ่งกว่าคนทำบุญหรือบริจาคเพื่อหักลดภาษีมากมายนัก
เมื่อเปรียบเทียบอัตราภาษีกองมรดกสูงสุดใน4 ประเทศที่ฉันกล่าวถึงในข้างต้น ญี่ปุ่นมีอัตราภาษีกองมรดกสูงสุด ปัจจุบันอยู่ที่ 50% และจะปรับขึ้นเป็น 55% ในต้นปีหน้า [3] นับได้ว่าผู้มีฐานะญี่ปุ่นมีเมตตาจิตต่อเพื่อนร่วมชาติมากกว่าผู้มีฐานะชาวอเมริกัน และผู้มีฐานะชาวอเมริกันมีเมตตาจิตต่อเพื่อนร่วมชาติมากกว่าผู้มีฐานะชาวไทย เนื่องจากการผลักดันภาษีมรดกในไทยเป็นไปอย่างล่าช้าและผลักดันอัตราที่ต่ำเพียง 10% เท่านั้น [4]
การพร่ำเพ้อสอนเยาวชนให้มีเมตตาจิตหรือการประดิษฐ์วาทกรรมธรรมะฉาบฉวยไม่ช่วยสร้างสังคมที่มีเมตตาจิต ในเมื่อผู้ใหญ่ไม่มีเมตตาจิตก็ย่อมสอนเยาวชนไม่ได้ การประกาศตนเป็นคนดีมีคุณธรรมแต่ต่อต้านภาษีมรดกก็เป็นพฤติกรรมที่ย้อนแย้ง ตราบใดที่ไม่มีการจัดเก็บภาษีมรดกด้วยอัตราที่ทัดเทียมกับประเทศทุนนิยมสากล ก็ยากที่จะปฎิเสธความจริงที่ว่าผู้มีฐานะที่ไทยไม่มีเมตตาจิตต่อเพื่อนร่วมชาติและนิยมการประชาสัมพันธ์สร้างภาพนักบุญเท่านั้น