ทีมนักจิตวิทยาและแพทย์ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคนิคแห่งเบอร์ลิน (Technische Universität of Berlin) ได้ประกาศเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2014 ที่ผ่านมาว่าได้ทำการพิสูจน์เรื่องการคงอยู่ของชีวิตหลังความตายด้วยวิธีการทดลองทางคลินิกแล้ว
ผลการทดลองอิงจากพื้นฐานข้อสรุปของการศึกษาที่ใช้ประสบการณ์การเฉียดความตายในทางการแพทย์ที่ได้รับออกแบบให้เหมาะสมกับการทดลอง โดยทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตตามหลักการแพทย์ไปเป็นระยะเวลานาน 20 นาที ก่อนจะกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง
ขั้นตอนการวิจัยนี้ถูกทดลองซ้ำกับอาสาสมัครจำนวน 944 คน ตลอดระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมา มีการใช้สารผสมของยาบางชนิด เช่น เอปิเนฟริน ไดเมทธิลทริปตามีน ที่ช่วยทำให้ร่างกายมีสภาวะเสียชีวิตและคืนชีวิตอีกครั้งโดยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย โดยร่างกายของผู้ถูกทดสอบจะอยู่ในสภาพโคม่าชั่วคราวจากการใช้ยาผสมสารเคมีบางชนิดและจะได้รับการกรองออกจากเลือดด้วยโอโซนในขั้นตอนการคืนชีวิต หลังจากนั้น 18 นาที
ระยะเวลาการทดลองที่ยาวนานนั้นเพิ่งจะสามารถทำได้จากการพัฒนาเครื่องปั๊มหัวใจรุ่นใหม่ที่มีชื่อว่า AutoPulse อุปกรณ์นี้มักจะใช้ในการกู้ชีพผู้ที่เสียชีวิตระหว่าง 40 นาทีถึง 1 ชั่วโมง
ในอดีต ประสบการณ์การเฉียดความตายได้รับการตั้งสมมติฐานมากมายในวารสารทางการแพทย์ โดยเชื่อว่าเป็นลักษณะของภาพหลอน แต่ ดร. อัคเกอร์มันน์และทีมวิจัยกลับเห็นว่านั่นคือหลักฐานของการคงอยู่ระหว่างชีวิตหลังความตายและอยู่ในลักษณะของสองสิ่งแยกออกจากกัน คือ ร่างกายและจิตวิญญาณ
ทีมนักวิทยาศาสตร์นำโดย ดร. เบิร์ธโฮลด์ อัคเกอร์มันน์ ได้สังเกตการณ์ปฏิบัติการทดลองและรวบรวมหลักฐานจากปากของผู้รับการทดสอบ ผลที่ออกมาของแต่ละคนมีความแตกต่างเพียงเล็กน้อย ผู้รับการทดสอบทุกคนยังมีความทรงจำในช่วงเวลาที่พวกเขาได้เสียชีวิตในทางคลินิกหลงเหลืออยู่ และผู้รับการทดสอบส่วนใหญ่บรรยายถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นคล้ายคลึงกัน
ความทรงจำที่คล้ายกันของผู้ทดสอบ ได้แก่ ความรู้สึกว่าได้หลุดออกจากร่าง ความรู้สึกล่องลอย ปลอดโปร่ง ปลอดภัย อบอุ่น สัมผัสถึงการสลายตัว และมีแสงปกคลุมอยู่ไปทั่ว
ทีมนักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าพวกเขาทราบดีอยู่แล้วว่าการประกาศผลสรุปของงานวิจัยชิ้นนี้อาจจะทำให้ผู้คนต้องตกละลึง โดยความเชื่อทางศาสนาของผู้รับการทดสอบไม่ได้มีผลต่อการวิจัยเลยแม้แต่น้อย โดยผู้เข้ารับการทดสอบนั้นมีผู้คนจากหลากหลายศาสนา เช่น คริสเตียน มุสลิม ยิว ฮินดู และแม้แต่ผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า หรือคนไร้ศาสนา แต่สิ่งที่พวกเขาบรรยายถึงความรู้สึกและประสบการณ์ที่ได้สัมผัสนั้นไม่แตกต่างกันเลย
“ผมเองทราบดีว่าผลการวิจัยครั้งนี้อาจจะกระทบกับความเชื่อของผู้คนมากมาย” ดร. อัคเกอร์แมนกล่าว “แต่กระนั้น เราก็ได้ทำการหาคำตอบให้กับหนึ่งในคำถามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษย์ ผมหวังว่าคนเหล่านั้นจะให้อภัยพวกเรา นี่คือความจริง ชีวิตหลังความตายมีอยู่จริงและลักษณะก็คงประมาณผลการทดสอบนี้ แน่นอนว่าทุกคนมีชีวิตหลังความตายเหมือนกันหมด”
[หมีขาวได้ทำการตรวจสอบแล้ว พบว่า ข่าวนี้เป็นข่าวเท็จ ที่ผู้เขียนต้นฉบับภาษาอังกฤษเขียนขึ้นตามจินตนาการเท่านั้น โดยมีการอ้างถึงสถาบันที่มีอยู่จริง แต่การทดลองที่บรรยายนั้นไม่ใช่ความจริงที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด]
ที่มา
http://www.meekhao.com/news/lifeafterdeath/
อย่าเพิ่งพิมพ์ด่าครับความตั้งใจจริงๆของผมไม่ใช่เพื่อมาเกรียนแบบนี้แล้วจากไปครับ ที่ผมอยากตั้งกระทู้นี้เพราะอยากให้คนไทยถามตัวเองดูครับว่า
1.คุณรู้สึกอย่างไรเมื่อครั้งแรกที่ได้อ่านพาดหัวข่าวนี้และเนื้อหาข่าวก่อนหน้าที่จะพบข้อความใน []
2.หากทดลองเปลี่ยนความทั้งหมดจากทีมวิจัยเยอรมัน เป็นทีมวิจัยไทย ความรู้สึกครั้งแรกที่ได้อ่านพาดหัวข่าวนี้และเนื้อหาจะยังเหมือนเดิมหรือไม่
3.จงเปรียบเทียบความรู้สึกระหว่างสองพาดหัวข่าวเมื่อได้ยินครั้งแรกระหว่าง [ช็อกโลก!! ทีมวิจัยเยอรมันยืนยัน “ชีวิตหลังความตายมีอยู่จริง” ] กับ [ 'ศิริราช'เจ๋งพบยารักษา'อีโบลา'แล้ว ]
หวังว่าจะช่วยสะท้อนทัศนคติของหลายๆคนบ้างไม่มากก็น้อยครับ
ปล. ไม่รู้จะแท็กห้องไหนดีความตั้งใจคืออยากจะให้คนทั่วไปได้อ่านแล้วสะท้อนความคิดตัวเอง แต่โพสในห้องหว้ากอคงจะได้ความคิดที่ผิดกลุ่มเป้าหมายไปสักนิด แต่ก็ขอโพสแล้วกันครับ
ช็อกโลก!! ทีมวิจัยเยอรมันยืนยัน “ชีวิตหลังความตายมีอยู่จริง”
ผลการทดลองอิงจากพื้นฐานข้อสรุปของการศึกษาที่ใช้ประสบการณ์การเฉียดความตายในทางการแพทย์ที่ได้รับออกแบบให้เหมาะสมกับการทดลอง โดยทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตตามหลักการแพทย์ไปเป็นระยะเวลานาน 20 นาที ก่อนจะกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง
ขั้นตอนการวิจัยนี้ถูกทดลองซ้ำกับอาสาสมัครจำนวน 944 คน ตลอดระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมา มีการใช้สารผสมของยาบางชนิด เช่น เอปิเนฟริน ไดเมทธิลทริปตามีน ที่ช่วยทำให้ร่างกายมีสภาวะเสียชีวิตและคืนชีวิตอีกครั้งโดยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย โดยร่างกายของผู้ถูกทดสอบจะอยู่ในสภาพโคม่าชั่วคราวจากการใช้ยาผสมสารเคมีบางชนิดและจะได้รับการกรองออกจากเลือดด้วยโอโซนในขั้นตอนการคืนชีวิต หลังจากนั้น 18 นาที
ระยะเวลาการทดลองที่ยาวนานนั้นเพิ่งจะสามารถทำได้จากการพัฒนาเครื่องปั๊มหัวใจรุ่นใหม่ที่มีชื่อว่า AutoPulse อุปกรณ์นี้มักจะใช้ในการกู้ชีพผู้ที่เสียชีวิตระหว่าง 40 นาทีถึง 1 ชั่วโมง
ในอดีต ประสบการณ์การเฉียดความตายได้รับการตั้งสมมติฐานมากมายในวารสารทางการแพทย์ โดยเชื่อว่าเป็นลักษณะของภาพหลอน แต่ ดร. อัคเกอร์มันน์และทีมวิจัยกลับเห็นว่านั่นคือหลักฐานของการคงอยู่ระหว่างชีวิตหลังความตายและอยู่ในลักษณะของสองสิ่งแยกออกจากกัน คือ ร่างกายและจิตวิญญาณ
ทีมนักวิทยาศาสตร์นำโดย ดร. เบิร์ธโฮลด์ อัคเกอร์มันน์ ได้สังเกตการณ์ปฏิบัติการทดลองและรวบรวมหลักฐานจากปากของผู้รับการทดสอบ ผลที่ออกมาของแต่ละคนมีความแตกต่างเพียงเล็กน้อย ผู้รับการทดสอบทุกคนยังมีความทรงจำในช่วงเวลาที่พวกเขาได้เสียชีวิตในทางคลินิกหลงเหลืออยู่ และผู้รับการทดสอบส่วนใหญ่บรรยายถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นคล้ายคลึงกัน
ความทรงจำที่คล้ายกันของผู้ทดสอบ ได้แก่ ความรู้สึกว่าได้หลุดออกจากร่าง ความรู้สึกล่องลอย ปลอดโปร่ง ปลอดภัย อบอุ่น สัมผัสถึงการสลายตัว และมีแสงปกคลุมอยู่ไปทั่ว
ทีมนักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าพวกเขาทราบดีอยู่แล้วว่าการประกาศผลสรุปของงานวิจัยชิ้นนี้อาจจะทำให้ผู้คนต้องตกละลึง โดยความเชื่อทางศาสนาของผู้รับการทดสอบไม่ได้มีผลต่อการวิจัยเลยแม้แต่น้อย โดยผู้เข้ารับการทดสอบนั้นมีผู้คนจากหลากหลายศาสนา เช่น คริสเตียน มุสลิม ยิว ฮินดู และแม้แต่ผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า หรือคนไร้ศาสนา แต่สิ่งที่พวกเขาบรรยายถึงความรู้สึกและประสบการณ์ที่ได้สัมผัสนั้นไม่แตกต่างกันเลย
“ผมเองทราบดีว่าผลการวิจัยครั้งนี้อาจจะกระทบกับความเชื่อของผู้คนมากมาย” ดร. อัคเกอร์แมนกล่าว “แต่กระนั้น เราก็ได้ทำการหาคำตอบให้กับหนึ่งในคำถามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษย์ ผมหวังว่าคนเหล่านั้นจะให้อภัยพวกเรา นี่คือความจริง ชีวิตหลังความตายมีอยู่จริงและลักษณะก็คงประมาณผลการทดสอบนี้ แน่นอนว่าทุกคนมีชีวิตหลังความตายเหมือนกันหมด”
[หมีขาวได้ทำการตรวจสอบแล้ว พบว่า ข่าวนี้เป็นข่าวเท็จ ที่ผู้เขียนต้นฉบับภาษาอังกฤษเขียนขึ้นตามจินตนาการเท่านั้น โดยมีการอ้างถึงสถาบันที่มีอยู่จริง แต่การทดลองที่บรรยายนั้นไม่ใช่ความจริงที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด]
ที่มา http://www.meekhao.com/news/lifeafterdeath/
อย่าเพิ่งพิมพ์ด่าครับความตั้งใจจริงๆของผมไม่ใช่เพื่อมาเกรียนแบบนี้แล้วจากไปครับ ที่ผมอยากตั้งกระทู้นี้เพราะอยากให้คนไทยถามตัวเองดูครับว่า
1.คุณรู้สึกอย่างไรเมื่อครั้งแรกที่ได้อ่านพาดหัวข่าวนี้และเนื้อหาข่าวก่อนหน้าที่จะพบข้อความใน []
2.หากทดลองเปลี่ยนความทั้งหมดจากทีมวิจัยเยอรมัน เป็นทีมวิจัยไทย ความรู้สึกครั้งแรกที่ได้อ่านพาดหัวข่าวนี้และเนื้อหาจะยังเหมือนเดิมหรือไม่
3.จงเปรียบเทียบความรู้สึกระหว่างสองพาดหัวข่าวเมื่อได้ยินครั้งแรกระหว่าง [ช็อกโลก!! ทีมวิจัยเยอรมันยืนยัน “ชีวิตหลังความตายมีอยู่จริง” ] กับ [ 'ศิริราช'เจ๋งพบยารักษา'อีโบลา'แล้ว ]
หวังว่าจะช่วยสะท้อนทัศนคติของหลายๆคนบ้างไม่มากก็น้อยครับ
ปล. ไม่รู้จะแท็กห้องไหนดีความตั้งใจคืออยากจะให้คนทั่วไปได้อ่านแล้วสะท้อนความคิดตัวเอง แต่โพสในห้องหว้ากอคงจะได้ความคิดที่ผิดกลุ่มเป้าหมายไปสักนิด แต่ก็ขอโพสแล้วกันครับ