อ่านข้อความในมหาเวสสันดรชาดก หลังจากที้พระเวสสันดรลริจากบุตรทั้งสองไปให้กับพราหมณ์
... สงสารทั้งสองพระองค์ ... กว่าจะมีพระพุทธศาสนาให้เรา ๆ มาถือศีลได้บ้าง ไม่ได้บ้างกัน
อ่านเรื่องพระนางมัทรีกับพระเวสสันดร สงสารท่าน
ตอนที่พระเวสสันดรบริจาคลูกให้พราหมณ์ พระนางมัทรีพอกลับมาบ้านไม่เจอลูกก็ร้องไห้ ร้อง ๆๆ ตามหา
หาจนสลบ พระเวสสันดรนึกว่าตาย
พระเวสสันดรทั้งสงสาร ทั้งเสียใจ แต่ทั้ง ๆ ที่ท่านบวชอยู่ตั้งเจ็ดเดือน พอเห็นพระนางล้มลงก็ร้องไห้ลงไปอุ้มพระนางขึ้นมาไว้บนตัก
(ภาพนี้เหมือนในไฟนัลแฟนตาซี 8 ตอนจบเลย เพียงแต่สถานการณ์คนละอย่าง สลับชายหญิง)
ทำไมคนสองคน ถึงต้องมาลำบากเพราะคนอื่นขนาดนี้
"พระนางมัทรีเสด็จเที่ยวร่ำไรรำพันไปตามภูผา และป่าไม้ในเวิ้งเขาวงกตแล้ว เสด็จกลับมาสู่อาศรมอีก ทรงกันแสง ณ สำนักพระภัสดาว่า ข้าแต่สมมติเทพ หม่อมฉันไม่พบคนที่นำลูกทั้งสองไป ลูกทั้งสองคงสิ้นชนมชีพแล้ว ฝูงกาฝูงนกย่อมไม่มีอยู่ ลูกทั้งสองของหม่อมฉันคงสิ้นชีพเสียแล้ว เป็นแน่.
เมื่อพระนางมัทรีผู้ทรงโฉม ผู้เป็นพระราชบุตรีพระเจ้ามัททราชผู้มียศเสด็จเที่ยวไป ณ ภูเขาและถ้ำทั้งหลาย ทรงประคองพระพาหากันแสงว่า ข้าแต่สมมติเทพ หม่อมฉันไม่เห็นคนที่นำลูกทั้งสองของเราไป ลูกทั้งสองคงสิ้นชนมชีพแล้ว ด้วยประการฉะนี้ แล้วก็ล้มลง ณ ภูมิภาคแทบพระยุคลบาทแห่งพระเวสสันดรนั้น นั่นเอง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สามิกสสนติ โรทติ ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระนางมัทรีนั้นเสด็จเที่ยวคร่ำครวญไปตามเนินผา และป่าไม้ในเวิ้งเขาวงกตนั้น แล้วเสด็จมาอาศัยพระภัสดาอีก. ประทับยืน ณ ที่ใกล้พระภัสดา ทรงกันแสง คือทรงครวญคร่ำรำพันว่า น โข โน เป็นต้น. เพื่อต้องการพระโอรสและพระธิดา. บทว่า อิติ มทฺที วราโรหา ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระนางมัทรีผู้ทรงพระรูปอันอุดม ชื่อว่าผู้ทรงโฉมนั้นเสด็จเที่ยวไป ณ โคนไม้เป็นต้น. ไม่เห็นพระโอรสพระธิดา ประคองพระพาหาคร่ำครวญว่า ลูกทั้งสองจักตายเสียแน่แล้ว. ดังนี้ แล้วล้มลง ณ ภูมิภาคแทบพระยุคลบาทแห่งพระเวสสันดรนั้นเอง เสมือนต้นกล้วยสีทองถูกตัด ฉะนั้น.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เจ้า(พระเวสสันดร)พระองค์สั่นด้วยทรงสำคัญ(เข้าใจ)ว่า พระนางมัทรีสิ้นพระชนม์เสียแล้ว ทรงรำพึงว่า มัทรีมาสิ้นพระชนม์ในที่ต่างด้าว อันไม่ใช่ฐานะ หากว่าเธอทำกาลกิริยาในเชตุดรราชธานี การบริหารก็จักเป็นการใหญ่ รัฐทั้งสองก็สะเทือนถึงกัน ก็ตัวเราอยู่ในอรัญญประเทศแต่ผู้เดียวเท่านั้น จักทำอย่างไรดีหนอ
ทรงคำนึงดังนี้แล้ว แม้เป็นผู้มีความโศกมีกำลัง ก็ทรงตั้งพระสติให้มั่น เสด็จลุกขึ้นด้วยทรงสำคัญว่า เราจักต้องรู้ให้แน่ก่อน จึงวางพระหัตถ์เบื้องขวาตรงพระหทัยวัตถุแห่งพระนางเจ้า ก็ทรงทราบว่า ยังมีความอบอุ่นเป็นไปอยู่ จึงทรงนำน้ำมาด้วยพระเต้า
แม้มิได้ทรงถูกต้องพระกายตลอด ๗ เดือน แต่ไม่อาจจะทรงกำหนดความที่พระองค์เป็นบรรพชิต เพราะความโศกมีกำลัง มีพระนัยนาเต็มไปด้วยพระอัสสุชล ช้อนพระเศียรของพระนางเจ้าขึ้นวางไว้บนพระเพลา พรมด้วยน้ำ ลูบพระพักตร์และที่ตรงพระหทัย ประทับนั่งอยู่. ฝ่ายพระนางมัทรี พอสักครู่หนึ่งก็กลับได้พระสติ เข้าตั้งไว้เฉพาะซึ่งหิริและโอตตัปปะ ลุกขึ้นกราบพระมหาสัตว์ ทูลถามว่า ข้าแต่พระสวามีเวสสันดร ลูกทั้งสองของพระองค์ไปไหน. พระมหาสัตว์ตรัสตอบว่า แน่ะพระเทวี ฉันให้เพื่อเป็นทาสแห่งพราหมณ์คนหนึ่งไปแล้ว. "
อ่าน ๆ อยู่แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา คนสองคนที่มีความรักให้กัน แต่ต้องมาลำบากเพื่อคนอื่น ๆ ตั้งแต่สมัยสุเมธดาบส
กว่าเราจะมีคำว่าพุทโธ กว่าจะมีคำว่าศีลห้า กว่าจะมีคำว่าอริยสัจ ๔ กว่าจะมีคำว่านิพพาน สองชีวิตที่ต้องตรากตรำทุกทรมานชาติแล้วชาติเล่า ทำเพื่อให้เกิดพระพุทธศาสนาขึ้นมาบนโลก
... วันนี้ นักษาอุโบสถศีลได้หนึ่งเดือนกว่า ๆ แล้ว เป็นวันพระ ขอถวายศีลนี้เป็นพุทธบูชา ให้พระพุทธเจ้าและพระนางพิมพา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้...ขอให้บุญที่เราทำ มากน้อยก็ตาม ที่ได้สะสมไว้ พร่องบ้าง ดีบ้าง
.... ทำให้เราเต็มได้ถึงที่สุด และดึงเค้าได้กลับมา
ให้เราสองคนได้พ้นจากความทุกข์ด้วยกัน
************
มหาเวสสันดรชาดก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=28.0&i=1045&p=1
ความลำบากของพระเวสสันดรและพระนางมัทรี .. กว่าจะมีพระพุทธศาสนา
... สงสารทั้งสองพระองค์ ... กว่าจะมีพระพุทธศาสนาให้เรา ๆ มาถือศีลได้บ้าง ไม่ได้บ้างกัน
อ่านเรื่องพระนางมัทรีกับพระเวสสันดร สงสารท่าน
ตอนที่พระเวสสันดรบริจาคลูกให้พราหมณ์ พระนางมัทรีพอกลับมาบ้านไม่เจอลูกก็ร้องไห้ ร้อง ๆๆ ตามหา
หาจนสลบ พระเวสสันดรนึกว่าตาย
พระเวสสันดรทั้งสงสาร ทั้งเสียใจ แต่ทั้ง ๆ ที่ท่านบวชอยู่ตั้งเจ็ดเดือน พอเห็นพระนางล้มลงก็ร้องไห้ลงไปอุ้มพระนางขึ้นมาไว้บนตัก
(ภาพนี้เหมือนในไฟนัลแฟนตาซี 8 ตอนจบเลย เพียงแต่สถานการณ์คนละอย่าง สลับชายหญิง)
ทำไมคนสองคน ถึงต้องมาลำบากเพราะคนอื่นขนาดนี้
"พระนางมัทรีเสด็จเที่ยวร่ำไรรำพันไปตามภูผา และป่าไม้ในเวิ้งเขาวงกตแล้ว เสด็จกลับมาสู่อาศรมอีก ทรงกันแสง ณ สำนักพระภัสดาว่า ข้าแต่สมมติเทพ หม่อมฉันไม่พบคนที่นำลูกทั้งสองไป ลูกทั้งสองคงสิ้นชนมชีพแล้ว ฝูงกาฝูงนกย่อมไม่มีอยู่ ลูกทั้งสองของหม่อมฉันคงสิ้นชีพเสียแล้ว เป็นแน่.
เมื่อพระนางมัทรีผู้ทรงโฉม ผู้เป็นพระราชบุตรีพระเจ้ามัททราชผู้มียศเสด็จเที่ยวไป ณ ภูเขาและถ้ำทั้งหลาย ทรงประคองพระพาหากันแสงว่า ข้าแต่สมมติเทพ หม่อมฉันไม่เห็นคนที่นำลูกทั้งสองของเราไป ลูกทั้งสองคงสิ้นชนมชีพแล้ว ด้วยประการฉะนี้ แล้วก็ล้มลง ณ ภูมิภาคแทบพระยุคลบาทแห่งพระเวสสันดรนั้น นั่นเอง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สามิกสสนติ โรทติ ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระนางมัทรีนั้นเสด็จเที่ยวคร่ำครวญไปตามเนินผา และป่าไม้ในเวิ้งเขาวงกตนั้น แล้วเสด็จมาอาศัยพระภัสดาอีก. ประทับยืน ณ ที่ใกล้พระภัสดา ทรงกันแสง คือทรงครวญคร่ำรำพันว่า น โข โน เป็นต้น. เพื่อต้องการพระโอรสและพระธิดา. บทว่า อิติ มทฺที วราโรหา ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระนางมัทรีผู้ทรงพระรูปอันอุดม ชื่อว่าผู้ทรงโฉมนั้นเสด็จเที่ยวไป ณ โคนไม้เป็นต้น. ไม่เห็นพระโอรสพระธิดา ประคองพระพาหาคร่ำครวญว่า ลูกทั้งสองจักตายเสียแน่แล้ว. ดังนี้ แล้วล้มลง ณ ภูมิภาคแทบพระยุคลบาทแห่งพระเวสสันดรนั้นเอง เสมือนต้นกล้วยสีทองถูกตัด ฉะนั้น.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เจ้า(พระเวสสันดร)พระองค์สั่นด้วยทรงสำคัญ(เข้าใจ)ว่า พระนางมัทรีสิ้นพระชนม์เสียแล้ว ทรงรำพึงว่า มัทรีมาสิ้นพระชนม์ในที่ต่างด้าว อันไม่ใช่ฐานะ หากว่าเธอทำกาลกิริยาในเชตุดรราชธานี การบริหารก็จักเป็นการใหญ่ รัฐทั้งสองก็สะเทือนถึงกัน ก็ตัวเราอยู่ในอรัญญประเทศแต่ผู้เดียวเท่านั้น จักทำอย่างไรดีหนอ
ทรงคำนึงดังนี้แล้ว แม้เป็นผู้มีความโศกมีกำลัง ก็ทรงตั้งพระสติให้มั่น เสด็จลุกขึ้นด้วยทรงสำคัญว่า เราจักต้องรู้ให้แน่ก่อน จึงวางพระหัตถ์เบื้องขวาตรงพระหทัยวัตถุแห่งพระนางเจ้า ก็ทรงทราบว่า ยังมีความอบอุ่นเป็นไปอยู่ จึงทรงนำน้ำมาด้วยพระเต้า แม้มิได้ทรงถูกต้องพระกายตลอด ๗ เดือน แต่ไม่อาจจะทรงกำหนดความที่พระองค์เป็นบรรพชิต เพราะความโศกมีกำลัง มีพระนัยนาเต็มไปด้วยพระอัสสุชล ช้อนพระเศียรของพระนางเจ้าขึ้นวางไว้บนพระเพลา พรมด้วยน้ำ ลูบพระพักตร์และที่ตรงพระหทัย ประทับนั่งอยู่. ฝ่ายพระนางมัทรี พอสักครู่หนึ่งก็กลับได้พระสติ เข้าตั้งไว้เฉพาะซึ่งหิริและโอตตัปปะ ลุกขึ้นกราบพระมหาสัตว์ ทูลถามว่า ข้าแต่พระสวามีเวสสันดร ลูกทั้งสองของพระองค์ไปไหน. พระมหาสัตว์ตรัสตอบว่า แน่ะพระเทวี ฉันให้เพื่อเป็นทาสแห่งพราหมณ์คนหนึ่งไปแล้ว. "
อ่าน ๆ อยู่แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา คนสองคนที่มีความรักให้กัน แต่ต้องมาลำบากเพื่อคนอื่น ๆ ตั้งแต่สมัยสุเมธดาบส
กว่าเราจะมีคำว่าพุทโธ กว่าจะมีคำว่าศีลห้า กว่าจะมีคำว่าอริยสัจ ๔ กว่าจะมีคำว่านิพพาน สองชีวิตที่ต้องตรากตรำทุกทรมานชาติแล้วชาติเล่า ทำเพื่อให้เกิดพระพุทธศาสนาขึ้นมาบนโลก
... วันนี้ นักษาอุโบสถศีลได้หนึ่งเดือนกว่า ๆ แล้ว เป็นวันพระ ขอถวายศีลนี้เป็นพุทธบูชา ให้พระพุทธเจ้าและพระนางพิมพา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
************
มหาเวสสันดรชาดก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=28.0&i=1045&p=1