คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
ลองเทียบดูกับส่วนนี้นะครับ
------------------------------------------------
อรรถกถา มหาเวสสันตรชาดก
ว่าด้วย พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญทานบารมี
หน้าต่างที่ ๘ / ๑๐.
มัทรีบรรพ
........แม้พระนางมัทรีกราบทูลถึงอย่างนี้ พระมหาสัตว์ก็มิได้ตรัสอะไรๆ พระนางมัทรีอันความโศกในเพราะพระโอรสถูกต้องแล้ว ทรงพิจารณาพระโอรสทั้งสอง เสด็จเที่ยวไปยังสถานที่นั้นๆ ด้วยความเร็วดุจลมถึง ๓ วาระ ได้ยินว่า สถานที่พระนางเจ้าเสด็จเที่ยวไปตลอดราตรีหนึ่ง ประมาณระยะทางราว ๑๕ โยชน์. ลำดับนั้น ราตรีสว่างอรุณขึ้น พระนางเจ้าเสด็จมาประทับยืนคร่ำครวญอยู่ ณ ที่ใกล้พระมหาสัตว์อีก.
พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
พระนางมัทรีเสด็จเที่ยวร่ำไรรำพันไปตามภูผา และป่าไม้ในเวิ้งเขาวงกตแล้ว เสด็จกลับมาสู่อาศรมอีก ทรงกันแสง ณ สำนักพระภัสดาว่า ข้าแต่สมมติเทพ หม่อมฉันไม่พบคนที่นำลูกทั้งสองไป ลูกทั้งสองคงสิ้นชนมชีพแล้ว ฝูงกาฝูงนกย่อมไม่มีอยู่ ลูกทั้งสองของหม่อมฉันคงสิ้นชีพเสียแล้ว เป็นแน่. เมื่อพระนางมัทรีผู้ทรงโฉม ผู้เป็นพระราชบุตรีพระเจ้ามัททราชผู้มียศเสด็จเที่ยวไป ณ ภูเขาและถ้ำทั้งหลาย ทรงประคองพระพาหากันแสงว่า ข้าแต่สมมติเทพ หม่อมฉันไม่เห็นคนที่นำลูกทั้งสองของเราไป ลูกทั้งสองคงสิ้นชนมชีพแล้ว ด้วยประการฉะนี้ แล้วก็ล้มลง ณ ภูมิภาคแทบพระยุคลบาทแห่งพระเวสสันดรนั้น นั่นเอง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สามิกสสนติ โรทติ ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระนางมัทรีนั้นเสด็จเที่ยวคร่ำครวญไปตามเนินผา และป่าไม้ในเวิ้งเขาวงกตนั้น แล้วเสด็จมาอาศัยพระภัสดาอีก. ประทับยืน ณ ที่ใกล้พระภัสดา ทรงกันแสง คือทรงครวญคร่ำรำพันว่า น โข โน เป็นต้น. เพื่อต้องการพระโอรสและพระธิดา. บทว่า อิติ มทฺที วราโรหา ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระนางมัทรีผู้ทรงพระรูปอันอุดม ชื่อว่าผู้ทรงโฉมนั้นเสด็จเที่ยวไป ณ โคนไม้เป็นต้น. ไม่เห็นพระโอรสพระธิดา ประคองพระพาหาคร่ำครวญว่า ลูกทั้งสองจักตายเสียแน่แล้ว. ดังนี้ แล้วล้มลง ณ ภูมิภาคแทบพระยุคลบาทแห่งพระเวสสันดรนั้นเอง เสมือนต้นกล้วยสีทองถูกตัด ฉะนั้น.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เจ้าพระองค์สั่นด้วยทรงสำคัญว่า พระนางมัทรีสิ้นพระชนม์เสียแล้ว ทรงรำพึงว่า มัทรีมาสิ้นพระชนม์ในที่ต่างด้าว อันไม่ใช่ฐานะ หากว่าเธอทำกาลกิริยาในเชตุดรราชธานี การบริหารก็จักเป็นการใหญ่ รัฐทั้งสองก็สะเทือนถึงกัน ก็ตัวเราอยู่ในอรัญญประเทศแต่ผู้เดียวเท่านั้น จักทำอย่างไรดีหนอ ทรงคำนึงดังนี้แล้ว แม้เป็นผู้มีความโศกมีกำลัง ก็ทรงตั้งพระสติให้มั่น เสด็จลุกขึ้นด้วยทรงสำคัญว่า เราจักต้องรู้ให้แน่ก่อน จึงวางพระหัตถ์เบื้องขวาตรงพระหทัยวัตถุแห่งพระนางเจ้า ก็ทรงทราบว่า ยังมีความอบอุ่นเป็นไปอยู่ จึงทรงนำน้ำมาด้วยพระเต้า แม้มิได้ทรงถูกต้องพระกายตลอด ๗ เดือน แต่ไม่อาจจะทรงกำหนดความที่พระองค์เป็นบรรพชิต เพราะความโศกมีกำลัง มีพระนัยนาเต็มไปด้วยพระอัสสุชล ช้อนพระเศียรของพระนางเจ้าขึ้นวางไว้บนพระเพลา พรมด้วยน้ำ ลูบพระพักตร์และที่ตรงพระหทัย ประทับนั่งอยู่. ฝ่ายพระนางมัทรี พอสักครู่หนึ่งก็กลับได้พระสติ เข้าตั้งไว้เฉพาะซึ่งหิริและโอตตัปปะ ลุกขึ้นกราบพระมหาสัตว์ ทูลถามว่า ข้าแต่พระสวามีเวสสันดร ลูกทั้งสองของพระองค์ไปไหน. พระมหาสัตว์ตรัสตอบว่า แน่ะพระเทวี ฉันให้เพื่อเป็นทาสแห่งพราหมณ์คนหนึ่งไปแล้ว.
พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
วันนี้ พระเวสสันดรทรงประพรมพระนางมัทรีราชบุตรผู้ล้มลงด้วยน้ำ ทรงทราบว่า พระนางเจ้าค่อยสำราญ ทีนั้น จึงตรัสคำนี้กะพระนาง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตมชช ปตตํ ความว่า ผู้ล้มลงใกล้พระองค์ อธิบายว่า ผู้ล้มลงถึงวิสัญญีภาพแทบพระยุคลบาท. บทว่า เอตมพรวิ ความว่า ได้ตรัสคำนี้ คือคำว่า ฉันให้เพื่อเป็นทาสแห่งพราหมณ์คนหนึ่งไปแล้ว.
แต่นั้น เมื่อพระนางมัทรีทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์ประทานลูกทั้งสองแก่พราหมณ์แล้ว ไม่รับสั่งให้หม่อมฉันผู้คร่ำครวญเที่ยวอยู่ตลอดราตรี ทราบความ เพราะเหตุไร พระมหาสัตว์จึงตรัสว่า
แน่ะมัทรี ฉันไม่ปรารถนาจะบอกเธอแต่แรกให้เป็นทุกข์ว่า พราหมณ์แก่เป็นยาจกเข็ญใจมาสู่อาศรม บุตรบุตรีฉันให้แก่พราหมณ์นั้นแล้ว แน่ะมัทรี เธออย่ากลัวเลย จงยินดีเถิด เธอจงเห็นแก่ฉัน อย่าเห็นแก่บุตรบุตรี อย่าคร่ำครวญนักเลย เราทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ ไม่มีโรคก็จักได้พบบุตรบุตรี และสัตว์ของเลี้ยง ธัญญาหารทั้งทรัพย์อย่างอื่นในเรือน สัตบุรุษเห็นยาจกมาก็บริจาคทาน.
ดูก่อนมัทรี เธอจงอนุโมทนาปิยบุตรทาน อันเป็นอุดมทานของฉัน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาทิเยเนว ได้แก่ แต่แรก มีคำอธิบายว่า ถ้าฉันบอกความเรื่องนี้แก่เธอแต่แรก เมื่อเธอได้ฟังดังนั้น ก็จะไม่อาจกลั้นความโศกไว้ได้ หทัยพึงแตก เพราะฉะนั้น ฉันจึงไม่ปรารถนาจะบอกแก่เธอ แต่แรกให้เป็นทุกข์ นะมัทรี. บทว่า ฆรมาคโต ความว่า มายังสถานที่อยู่ของพวกเรานี้. บทว่า อโรคา จ ภวามหเส ความว่า พระเวสสันดรมหาสัตว์ตรัสว่า ทั้งนี้ทั้งนั้น เราทั้งสองเป็นผู้ไม่มีโรค ยังมีชีวิตอยู่ จักพบลูกทั้งสองที่พราหมณ์นำไปเป็นแน่. บทว่า ยญฺจ อญฺญฆเร ธนํ ได้แก่ สวิญญาณกทรัพย์และอวิญญาณกทรัพย์อย่างอื่นในเรือน. บทว่า ทชฺชา สปปุริโส ทานํ ความว่า สัตบุรุษเมื่อปรารถนาประโยชน์สูงสุด พึงผ่าอุระควักเนื้อหัวใจให้เป็นทาน.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=28.0&i=1045&p=8
------------------------------------------------
อรรถกถา มหาเวสสันตรชาดก
ว่าด้วย พระเวสสันดรทรงบำเพ็ญทานบารมี
หน้าต่างที่ ๘ / ๑๐.
มัทรีบรรพ
........แม้พระนางมัทรีกราบทูลถึงอย่างนี้ พระมหาสัตว์ก็มิได้ตรัสอะไรๆ พระนางมัทรีอันความโศกในเพราะพระโอรสถูกต้องแล้ว ทรงพิจารณาพระโอรสทั้งสอง เสด็จเที่ยวไปยังสถานที่นั้นๆ ด้วยความเร็วดุจลมถึง ๓ วาระ ได้ยินว่า สถานที่พระนางเจ้าเสด็จเที่ยวไปตลอดราตรีหนึ่ง ประมาณระยะทางราว ๑๕ โยชน์. ลำดับนั้น ราตรีสว่างอรุณขึ้น พระนางเจ้าเสด็จมาประทับยืนคร่ำครวญอยู่ ณ ที่ใกล้พระมหาสัตว์อีก.
พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
พระนางมัทรีเสด็จเที่ยวร่ำไรรำพันไปตามภูผา และป่าไม้ในเวิ้งเขาวงกตแล้ว เสด็จกลับมาสู่อาศรมอีก ทรงกันแสง ณ สำนักพระภัสดาว่า ข้าแต่สมมติเทพ หม่อมฉันไม่พบคนที่นำลูกทั้งสองไป ลูกทั้งสองคงสิ้นชนมชีพแล้ว ฝูงกาฝูงนกย่อมไม่มีอยู่ ลูกทั้งสองของหม่อมฉันคงสิ้นชีพเสียแล้ว เป็นแน่. เมื่อพระนางมัทรีผู้ทรงโฉม ผู้เป็นพระราชบุตรีพระเจ้ามัททราชผู้มียศเสด็จเที่ยวไป ณ ภูเขาและถ้ำทั้งหลาย ทรงประคองพระพาหากันแสงว่า ข้าแต่สมมติเทพ หม่อมฉันไม่เห็นคนที่นำลูกทั้งสองของเราไป ลูกทั้งสองคงสิ้นชนมชีพแล้ว ด้วยประการฉะนี้ แล้วก็ล้มลง ณ ภูมิภาคแทบพระยุคลบาทแห่งพระเวสสันดรนั้น นั่นเอง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สามิกสสนติ โรทติ ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระนางมัทรีนั้นเสด็จเที่ยวคร่ำครวญไปตามเนินผา และป่าไม้ในเวิ้งเขาวงกตนั้น แล้วเสด็จมาอาศัยพระภัสดาอีก. ประทับยืน ณ ที่ใกล้พระภัสดา ทรงกันแสง คือทรงครวญคร่ำรำพันว่า น โข โน เป็นต้น. เพื่อต้องการพระโอรสและพระธิดา. บทว่า อิติ มทฺที วราโรหา ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระนางมัทรีผู้ทรงพระรูปอันอุดม ชื่อว่าผู้ทรงโฉมนั้นเสด็จเที่ยวไป ณ โคนไม้เป็นต้น. ไม่เห็นพระโอรสพระธิดา ประคองพระพาหาคร่ำครวญว่า ลูกทั้งสองจักตายเสียแน่แล้ว. ดังนี้ แล้วล้มลง ณ ภูมิภาคแทบพระยุคลบาทแห่งพระเวสสันดรนั้นเอง เสมือนต้นกล้วยสีทองถูกตัด ฉะนั้น.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เจ้าพระองค์สั่นด้วยทรงสำคัญว่า พระนางมัทรีสิ้นพระชนม์เสียแล้ว ทรงรำพึงว่า มัทรีมาสิ้นพระชนม์ในที่ต่างด้าว อันไม่ใช่ฐานะ หากว่าเธอทำกาลกิริยาในเชตุดรราชธานี การบริหารก็จักเป็นการใหญ่ รัฐทั้งสองก็สะเทือนถึงกัน ก็ตัวเราอยู่ในอรัญญประเทศแต่ผู้เดียวเท่านั้น จักทำอย่างไรดีหนอ ทรงคำนึงดังนี้แล้ว แม้เป็นผู้มีความโศกมีกำลัง ก็ทรงตั้งพระสติให้มั่น เสด็จลุกขึ้นด้วยทรงสำคัญว่า เราจักต้องรู้ให้แน่ก่อน จึงวางพระหัตถ์เบื้องขวาตรงพระหทัยวัตถุแห่งพระนางเจ้า ก็ทรงทราบว่า ยังมีความอบอุ่นเป็นไปอยู่ จึงทรงนำน้ำมาด้วยพระเต้า แม้มิได้ทรงถูกต้องพระกายตลอด ๗ เดือน แต่ไม่อาจจะทรงกำหนดความที่พระองค์เป็นบรรพชิต เพราะความโศกมีกำลัง มีพระนัยนาเต็มไปด้วยพระอัสสุชล ช้อนพระเศียรของพระนางเจ้าขึ้นวางไว้บนพระเพลา พรมด้วยน้ำ ลูบพระพักตร์และที่ตรงพระหทัย ประทับนั่งอยู่. ฝ่ายพระนางมัทรี พอสักครู่หนึ่งก็กลับได้พระสติ เข้าตั้งไว้เฉพาะซึ่งหิริและโอตตัปปะ ลุกขึ้นกราบพระมหาสัตว์ ทูลถามว่า ข้าแต่พระสวามีเวสสันดร ลูกทั้งสองของพระองค์ไปไหน. พระมหาสัตว์ตรัสตอบว่า แน่ะพระเทวี ฉันให้เพื่อเป็นทาสแห่งพราหมณ์คนหนึ่งไปแล้ว.
พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
วันนี้ พระเวสสันดรทรงประพรมพระนางมัทรีราชบุตรผู้ล้มลงด้วยน้ำ ทรงทราบว่า พระนางเจ้าค่อยสำราญ ทีนั้น จึงตรัสคำนี้กะพระนาง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตมชช ปตตํ ความว่า ผู้ล้มลงใกล้พระองค์ อธิบายว่า ผู้ล้มลงถึงวิสัญญีภาพแทบพระยุคลบาท. บทว่า เอตมพรวิ ความว่า ได้ตรัสคำนี้ คือคำว่า ฉันให้เพื่อเป็นทาสแห่งพราหมณ์คนหนึ่งไปแล้ว.
แต่นั้น เมื่อพระนางมัทรีทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์ประทานลูกทั้งสองแก่พราหมณ์แล้ว ไม่รับสั่งให้หม่อมฉันผู้คร่ำครวญเที่ยวอยู่ตลอดราตรี ทราบความ เพราะเหตุไร พระมหาสัตว์จึงตรัสว่า
แน่ะมัทรี ฉันไม่ปรารถนาจะบอกเธอแต่แรกให้เป็นทุกข์ว่า พราหมณ์แก่เป็นยาจกเข็ญใจมาสู่อาศรม บุตรบุตรีฉันให้แก่พราหมณ์นั้นแล้ว แน่ะมัทรี เธออย่ากลัวเลย จงยินดีเถิด เธอจงเห็นแก่ฉัน อย่าเห็นแก่บุตรบุตรี อย่าคร่ำครวญนักเลย เราทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ ไม่มีโรคก็จักได้พบบุตรบุตรี และสัตว์ของเลี้ยง ธัญญาหารทั้งทรัพย์อย่างอื่นในเรือน สัตบุรุษเห็นยาจกมาก็บริจาคทาน.
ดูก่อนมัทรี เธอจงอนุโมทนาปิยบุตรทาน อันเป็นอุดมทานของฉัน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาทิเยเนว ได้แก่ แต่แรก มีคำอธิบายว่า ถ้าฉันบอกความเรื่องนี้แก่เธอแต่แรก เมื่อเธอได้ฟังดังนั้น ก็จะไม่อาจกลั้นความโศกไว้ได้ หทัยพึงแตก เพราะฉะนั้น ฉันจึงไม่ปรารถนาจะบอกแก่เธอ แต่แรกให้เป็นทุกข์ นะมัทรี. บทว่า ฆรมาคโต ความว่า มายังสถานที่อยู่ของพวกเรานี้. บทว่า อโรคา จ ภวามหเส ความว่า พระเวสสันดรมหาสัตว์ตรัสว่า ทั้งนี้ทั้งนั้น เราทั้งสองเป็นผู้ไม่มีโรค ยังมีชีวิตอยู่ จักพบลูกทั้งสองที่พราหมณ์นำไปเป็นแน่. บทว่า ยญฺจ อญฺญฆเร ธนํ ได้แก่ สวิญญาณกทรัพย์และอวิญญาณกทรัพย์อย่างอื่นในเรือน. บทว่า ทชฺชา สปปุริโส ทานํ ความว่า สัตบุรุษเมื่อปรารถนาประโยชน์สูงสุด พึงผ่าอุระควักเนื้อหัวใจให้เป็นทาน.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=28.0&i=1045&p=8
แสดงความคิดเห็น
ถอดคำประพันธ์ ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก กันฑ์มัทรีให้หน่อยครับ