ตอนนี้อยากจะแนะนำให้รู้จักกับ Dry-Age Meat ซึ่งถือว่าเป็นตอนหนึ่งของเนื้อฝรั่งละกันนะคะ แต่เนื้อฝรั่งมันมีหลายชาติมาก ซึ่งก็คงจะยากที่จะพูดให้จบกันภายในตอนเดียว เพราะไม่ว่าจะทั้งเนื้อ USA, AUS, Europe หรือจะทางของอเมริกาใต้อย่าง Argentina
Dry-Age Meat ที่เบนจะพูดถึงนี้มันเหมือนเป็น เนื้อที่ on top good quality อีกทีหนึ่ง เบนถือว่าเป็นเนื้อที่พิเศษมากๆ ถ้าเบนเจอแล้วจะต้องตื้นเต้นดีใจ ถ้าพูดให้เห็นภาพคือวิ่งกรี๊ดๆเข้าไปกอดตู้ เพราะมันค่อยข้างเป็นเนื้อที่หายาก โอเคก่อนอื่นคงต้องบอกก่อนว่า Dry Age Meat คืออะไร เพราะเป็นของหายาก หลายคนอาจจะยังไม่รู้จัก Dry-Age Meat นั้นคือ เนื้อก้อน(ซึ่งเค้าจะใช้แต่ก่อนส่วนดีดีเท่านั้น อย่างเช่น T-bone, Rip-eye, Sirloin, Fillet) แล้วนำไปตากแห้งในห้องควบคุมอุณภูมิ (on top ที่เนื้อทุกตัวจะต้องมีการ age(บ่ม) หลังจากที่วัวถูกฆ่าแล้ว) โดยที่ห้องนี้บางทีเค้าจะใส่ก้อนเกลือจำนวนมากเข้าไปด้วย เพื่อให้เกลือดูดความชื้นออกจากเนื้อและไอเค็มของเกลือเข้ามาติดที่เนื้อ
ซึ่งการ Dry Age นั้นก็จะแบ่งเป็นระยะวันอีกประมาณ 30 วัน 40 วัน 50 วัน 60 วัน อย่างต่ำที่สุดคือ 18 วัน (recommend 30-45 days) ซึ่งยิ่งจำนวนวันมากเนื้อก็จะยิ่งมีรสชาติที่เข้มข้น เพราะน้ำเนื้อระเหยออกไปมาก ทำให้รสชาติเนื้อนั้น intense มากขึ้นเรื่อยๆ และราคาก็แพงขึ้นตามอันดับ
ด้านซ้ายคือเนื้อ Dry-Age ด้านขวาคือเนื้อธรรมดา
เนื้อที่ผ่านกรรมวิธี Dry Age นั้นจะมีน้ำหนักลดลงจากเนื้อธรรมดาประมาณ 20-40% เพราะน้ำระเหยออกไป รวมถึงเค้าจะต้องตัดเนื้อด้านนอกที่แห้งๆทิ้งออกไปด้วย เพราะกินไม่ได้ ทำให้ถ้าคิดตามน้ำหนักแล้ว เนื้อ Dry Age จะมีราคาค่อยข้างสูงมาก
ในการรับประทาน Dry-Age Meat ก็เห็นว่า steak น่าจะเป็นอะไรที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ส่วนการ cook ที่เหมาะสมนั้นไม่ควรจะสุกกว่า Medium ทางที่ดีควรเป็น Medium rare หรือ rare ไปเลย เพราะน้ำภายในเนื้อมันมีน้อยอยู่แล้ว ยิ่งทำให้เนื้อสุกเท่าไหร น้ำเนื้อยิ่งหายไปเท่านั้น และการที่น้ำเนื้อระเหยออกไปก็จะทำให้เนื้อนั้นหยาบแข็งและกระด้าง ถึงรสชาติจะดี แต่ texture เนื้อไม่ผ่าน เปลืองเงินปล่าวๆ ไปกินเนื้อราคาถูกๆดีกว่า
ที่ๆสามารถหาทานเนื้อ Dry-Age ได้นั้นถ้าใครไป NYC ก็จะมีร้านดังๆหลายร้าน ที่เยอรมันก็พอจะหาทานได้ หรือ Australia ก็จะมีร้าน Rockpool ที่ดัง(คน Aus เค้าจะกินเนื้อกันแบบสุกมาก ถ้าชอบความสุกแบบไหน เวลาสั่งต้องลดลงไปหนึ่งระดับ เพราะว่าตอนที่เบนไปทานเค้าทำ medium rare ออกมาแทบจะเป็น medium well เสียอารมณ์สุดๆขอบอก) ส่วนที่เมืองไทยยังไม่มีที่ไหนที่มีแบบเต็มรูปแบบที่เบนพอจะแนะนำได้ว่าควรไป แต่ถ้าเจอเมือไหรแล้วจะเอามาแชร์ใน IG : fovefood หรือ facebook :
www.facebook.com/fovefoodtour แน่นอนค่ะ
ครั้งต่อไปถ้าใครอยากให้เบนเขียนถึงเรื่องอะไร จะเขียนไว้ด้านล่างก็ได้นะคะ ถ้าเบนพอจะมีความรู้ที่จะเขียนได้ เบนจะมาเขียนเล่าให้ฟังใหม่ค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
ข้อวความนี้ส่งตรงถึง Meat Lover ภาย 3.1 : เนื้อญี่ปุ่น เนื้อฝรั่ง เนื้อไทย ……….. โดย เบญญาภา Fove Food
Dry-Age Meat ที่เบนจะพูดถึงนี้มันเหมือนเป็น เนื้อที่ on top good quality อีกทีหนึ่ง เบนถือว่าเป็นเนื้อที่พิเศษมากๆ ถ้าเบนเจอแล้วจะต้องตื้นเต้นดีใจ ถ้าพูดให้เห็นภาพคือวิ่งกรี๊ดๆเข้าไปกอดตู้ เพราะมันค่อยข้างเป็นเนื้อที่หายาก โอเคก่อนอื่นคงต้องบอกก่อนว่า Dry Age Meat คืออะไร เพราะเป็นของหายาก หลายคนอาจจะยังไม่รู้จัก Dry-Age Meat นั้นคือ เนื้อก้อน(ซึ่งเค้าจะใช้แต่ก่อนส่วนดีดีเท่านั้น อย่างเช่น T-bone, Rip-eye, Sirloin, Fillet) แล้วนำไปตากแห้งในห้องควบคุมอุณภูมิ (on top ที่เนื้อทุกตัวจะต้องมีการ age(บ่ม) หลังจากที่วัวถูกฆ่าแล้ว) โดยที่ห้องนี้บางทีเค้าจะใส่ก้อนเกลือจำนวนมากเข้าไปด้วย เพื่อให้เกลือดูดความชื้นออกจากเนื้อและไอเค็มของเกลือเข้ามาติดที่เนื้อ
ซึ่งการ Dry Age นั้นก็จะแบ่งเป็นระยะวันอีกประมาณ 30 วัน 40 วัน 50 วัน 60 วัน อย่างต่ำที่สุดคือ 18 วัน (recommend 30-45 days) ซึ่งยิ่งจำนวนวันมากเนื้อก็จะยิ่งมีรสชาติที่เข้มข้น เพราะน้ำเนื้อระเหยออกไปมาก ทำให้รสชาติเนื้อนั้น intense มากขึ้นเรื่อยๆ และราคาก็แพงขึ้นตามอันดับ
ด้านซ้ายคือเนื้อ Dry-Age ด้านขวาคือเนื้อธรรมดา
เนื้อที่ผ่านกรรมวิธี Dry Age นั้นจะมีน้ำหนักลดลงจากเนื้อธรรมดาประมาณ 20-40% เพราะน้ำระเหยออกไป รวมถึงเค้าจะต้องตัดเนื้อด้านนอกที่แห้งๆทิ้งออกไปด้วย เพราะกินไม่ได้ ทำให้ถ้าคิดตามน้ำหนักแล้ว เนื้อ Dry Age จะมีราคาค่อยข้างสูงมาก
ในการรับประทาน Dry-Age Meat ก็เห็นว่า steak น่าจะเป็นอะไรที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ส่วนการ cook ที่เหมาะสมนั้นไม่ควรจะสุกกว่า Medium ทางที่ดีควรเป็น Medium rare หรือ rare ไปเลย เพราะน้ำภายในเนื้อมันมีน้อยอยู่แล้ว ยิ่งทำให้เนื้อสุกเท่าไหร น้ำเนื้อยิ่งหายไปเท่านั้น และการที่น้ำเนื้อระเหยออกไปก็จะทำให้เนื้อนั้นหยาบแข็งและกระด้าง ถึงรสชาติจะดี แต่ texture เนื้อไม่ผ่าน เปลืองเงินปล่าวๆ ไปกินเนื้อราคาถูกๆดีกว่า
ที่ๆสามารถหาทานเนื้อ Dry-Age ได้นั้นถ้าใครไป NYC ก็จะมีร้านดังๆหลายร้าน ที่เยอรมันก็พอจะหาทานได้ หรือ Australia ก็จะมีร้าน Rockpool ที่ดัง(คน Aus เค้าจะกินเนื้อกันแบบสุกมาก ถ้าชอบความสุกแบบไหน เวลาสั่งต้องลดลงไปหนึ่งระดับ เพราะว่าตอนที่เบนไปทานเค้าทำ medium rare ออกมาแทบจะเป็น medium well เสียอารมณ์สุดๆขอบอก) ส่วนที่เมืองไทยยังไม่มีที่ไหนที่มีแบบเต็มรูปแบบที่เบนพอจะแนะนำได้ว่าควรไป แต่ถ้าเจอเมือไหรแล้วจะเอามาแชร์ใน IG : fovefood หรือ facebook : www.facebook.com/fovefoodtour แน่นอนค่ะ
ครั้งต่อไปถ้าใครอยากให้เบนเขียนถึงเรื่องอะไร จะเขียนไว้ด้านล่างก็ได้นะคะ ถ้าเบนพอจะมีความรู้ที่จะเขียนได้ เบนจะมาเขียนเล่าให้ฟังใหม่ค่ะ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ