ใครที่กำลังหาลายแทงร้านสเต็กอร่อย ๆ อยู่ วันนี้จะขอนำเสนอร้านที่น่าสนใจ น่าปักหมุด ไว้อีกร้าน สำหรับร้านสเต็กอร่อย ๆ ในย่านประดิพัทธ์ กับร้าน Medium rare steak & wine เพราะเป็นอีกร้านที่เจ้าของเป็นผู้คลั่งไคล้ในรสชาติของเนื้อ และอาหารสไตล์อเมริกัน-ยุโรป โดยเมนูของที่นี่จะเน้นในเรื่องคุณภาพและความพิถีพิถันในการปรุงเป็นหลัก รสชาติอาหารแต่ละจานหาตัวจับยากและถูกการันตีความพึงพอใจในคุณภาพอาหารโดยเจ้าของร้าน
ร้าน Medium rare steak & wine เป็นร้านไม่ใหญ่มากนัก อยู่ที่ชั้น 2 ของ The Roomie Residence ในซอยประดิพัทธ์ 10 ตรงเข้าซอยไปประมาณ 200 เมตร จะเจอป้ายร้านอยู่ทางขวามมือ หากใครไปเร็วก็จอดในลานจอดของเรสิเด้นท์ ได้เลยครับ แต่ถ้ามาค่ำ ๆ หน่อย ก็จะต้องหาที่จอดเอาเองตามพื้นที่ในซอย แต่มีเด็กคอยโบกและแนะนำที่จอดให้ครับ
ช่วงเวลาเปิดร้าน ณ ปัจจุบัน ร้านเปิดให้บริการตั้งแต่ 17.00 – 00.00 น. (หยุดทุกวันอังคาร) แต่หลังจากเดือน มีนาคม 2559 เป็นต้นไป ร้านจะปิดวันจันทร์แทนนะครับ โดยจะมีเวลาเปิดปิดดังนี้
       - อังคาร - ศุกร์     เปิดช่วงเย็น  17.00 - 00.00 น.
       - เสาร์ - อาทิตย์    เปิด 2 ช่วง  11.30 - 14.30 และ 17.00 - 00.00 น.
เดินขึ้นมาชั้น 2 ก็จะพบกับบรรยากาศสไตล์ Industrial Loft แบบเก๋ ๆ หน่อย ผนังด้านนึงเป็นกระจกมองเห็นวิวที่จอดรถ การตกแต่งภายในก็เรียบง่าย แต่แสงไฟไม่ค่อยเอื้อต่อการถ่ายรูปอวดกันเท่าไหร่ครับ นอกจากโต๊ะอาหารที่มีให้เลือกนั่งประมาณ 7-8 โต๊ะ ก็ยังมีที่นั่งหน้าบาร์อีกนิดหน่อย แต่มีลูกค้าบางกลุ่มก็ยินดียืนมุงกันตรงนี้ถือแก้วไวน์ จ้วงอาหารกันตรงนี้เลย ก็เป็นการกินอีกสไตล์ที่ดูน่าสนุกดีครับ
เมนูอาหารของร้าน Medium rare steak & wine มีให้เลือกไม่มากนัก แต่ก็ครอบคลุมทุกประเภทและเพียงพอต่อความต้องการของทุกท่านแน่นอน ที่มีเมนูไม่มากเพราะทางร้านอยากคุมคุณภาพของอาหารแต่ละจานให้ออกมามีมาตรฐานที่ดีเหมือนกันทุก ๆ จาน ประเภทเมนูที่ทางร้านมี ได้แก่ Starter, Soup, Salad, Steak, Pasta, Dessert และ เครื่องดื่มต่าง ๆ มากมาย



ซึ่งเมนูที่ Medium rare steak & wine จะมีการพัฒนา เพิ่ม ลด ปรับเปลี่ยนเมนูอยู่เรื่อย ๆ เพื่อให้ลูกค้าไม่เบื่อ และได้กินอาหารที่แปลกใหม่ไปตามวัตถุดิบและฤดูกาล โดยเท่าที่ผมได้ลองชิมอาหารผมว่าส่วนใหญ่อร่อยมากครับ แต่ที่โดดเด่นก็เห็นจะเป็นพวกเนื้อ ๆ ครับ ทั้งซี่โครงหมู เนื้อวัว และ เนื้อแกะ เพราะการปรุงไม่มีอะไรมาก ใช้แค่เกลือ พริกไท และ herb เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ไปเน้นที่เรื่องการคัดเลือกเนื้อที่มีคุณภาพมากกว่า ทำให้ได้เมนูที่อร่อย ๆ ในวันนี้ งั้นเราลองมาดูเมนูต่าง ๆ ที่ได้ลองในวันนี้กันดีกว่าครับ



หอยนางรมที่ร้านมี 2 พันธุ์ คือ Fine de Claire(France) และ Barron Point(U.S.A) ซึ่งก็ได้ลองทั้ง 2 ชนิด ต้องบอกก่อนว่า หอยรางรมที่นี่จะเข้าทุกวันพุธ พฤหัสบดี และศุกร์ ใครที่ไม่อยากพลาดเมนูนี้แนะนำว่าให้มาช่วงกลาง-ปลายสัปดาห์ครับ
วันที่ผมไปเป็นวันพุธ เป็นวันที่หอยเพิ่งเข้ามาเลย มันสดมาก กลิ่นหอม และเนื้อแน่นมาก บีบเลม่อนเพิ่มนิด หรือจะใส่ Mignonette sauce หน่อยก็ฟินได้แล้วครับ





เป็นเมนูที่ไม่ใช่แนวอเมริกัน แต่ก็เป็นอาหารยุโรปที่ทางร้านรวบรวมเข้ามาไว้ในเมนูของร้าน ซึ่งเมนูนี้ก็เป็นเมนูอิตาเลี่ยนที่ผมชอบอีกเมนู กินมาหลาย ๆ ที่ก็ประทับใจในทุกที่ เพราะส่วนผสมมันไม่มีอะไรมาก แต่กินแล้วรู้สึกดีอร่อยได้กลิ่นของผักร็อคเก็ต ได้ความนุ่มของเนื้อ และได้ความมันของน้ำราดที่มีพื้นฐานของน้ำมันมะกอก
ซึ่งที่นี่บอกได้เลยว่าอร่อยแบบหาตัวจับยาก ไม่เหมือน Beef Carpaccio ที่ไหนเลย เพราะจะมีกลิ่นหอม และได้ความสดชื่นจากวัตถุดิบลับของทางร้าน อยากรู้ว่าเป็นส่วนผสมอะไรต้องลองไปกินแล้วคุยกับทางเจ้าของร้านดูครับ เผื่อใครสนใจจะเลียนแบบ




เมนูนี้จะเป็นชีส Burata สด บอกตามตรงว่าผมเองก็ยังไม่เคยกินเมนูนี้มาก่อน ซึ่งทางร้านทำให้การกิน Fresh Burata ครั้งแรกของผมนี้ประทับใจมาก ตัวชีสมีกลิ่นที่นวล ๆ รสไม่จัดมาก ข้างในเป็นชีสแบบเยิ้ม ๆ คล้ายครีม กินกับผักย่าง และซอสบัลซามิคสูตรพิเศษของทางร้านความรู้สึกโดยรวมคือมันสดชื่นมาก ถือเป็นการเปิดประสบการณ์การกิน Fresh Burata ที่น่าประทับใจครับ




เมนูนี้เป็นเมนูที่ 2 ที่รู้สึกได้ว่าอาหารของร้านนี้จะมีจุดที่แตกต่างจากร้านอื่น ๆ เล็กน้อยที่ทำให้อาหารดูพรีเมี่ยมและอร่อยดี เพราะว่าเค้าใช้เปลือกล็อบเตอร์ไปเผาแล้วมาปั่นรวมกับน้ำสต๊อก โดยใช้ในปริมาณที่เยอะมาก และเนื้อซุปที่ได้จะกรองแบบไม่ละเอียด เนื้อซุปที่ได้จึงไม่ได้เนียนใสมากนัก แต่จะได้เนื้อสัมผัสของซุปที่ข้น ๆ หยาบ ๆ หน่อย เวลากินซุปรสชาติจึงจะชัดเจนและติดอยู่ที่ลิ้นเรานานกว่าที่อื่น



เมนูนี้ก็อร่อยดี น้ำสลัดไม่ได้เข้มข้นมากนัก แต่เป็นน้ำสลัดที่ให้ความมันเงาของน้ำมันมะกอกได้ดี รสชาติกลาง ๆ ผักสดมาก โรยชีสขูด มาแบบสะใจเลยครับ




เมนูนี้ก็คล้าย ๆ กับหลาย ๆ ร้านที่มีเมนูนี้ แต่ที่นี่จะใช้บัลซามิคที่มีกลิ่นพิเศษหน่อย จะได้ความสดชื่นกว่าปกติ บอกไม่ถูกเหมือนกันคาดว่าน่าจะเป็นกลิ่นผลไม้หรืออะไรที่มากกว่าน้ำมันมะกอกและบัลซามิค เป็นอย่างไรคงต้องไปลองกันดูเองครับ




ของกินเล่นแบบทอดนี้มีทั้งที่เป็นมันฝรั่งจิ๋วหั่นทั้งเปลือกแล้วนำไปทอด(Wedges) จะได้เนื้อสัมผัสที่เนื้อข้างในนุ่ม ๆ และผิวนอกกรอบหน่อย
และอีกแบบจะเป็นแบบสไลด์บางแล้วทอดกรอบ(Crisps) เนื้อสัมผัสคล้ายมันฝรั่งทอดที่เป็นถุง ๆ เลย แต่ทำจากมันฝรั่งสด ๆ ก็เพลินดีนะครับ แกล้มเบียร์ได้สบาย


เมนูนี้เป็นไฮไลท์สำหรับค่ำคืนนี้เลยครับ เพราะทั้งขนาดและความอร่อยของเมนูนี้เป็นที่น่าจดจำมาก ๆ ขนาดของ Tomahawk จานนี้คือ 1.4 กิโลกรัม เอาให้หายอยากกันไป หน้าตาเมนูที่มาเสิร์ฟถือว่าเป็นการตัดแต่งเนื้อซี่โครงที่สวยงามใช้ได้ ไม่มีมันติดมามากจนเกินไป
การปรุงอย่างที่บอก ว่าที่นี่จะไม่ได้ปรุงแต่งหรือหมักอะไรมากนัก เพียงแต่เลือกใช้วัตถุดิบที่ดีและปรุงแบบอเมริกันคลาสสิค คือใช้แค่เนย เกลือ พริกไท และไปไทม์ แค่นั้น เนื้อที่ได้จึงจะเป็นแบบผิวกรอบนิด ๆ เพราะใช้ไฟแรง เนื้อข้างในจะนุ่มชุ่มฉ่ำมาก ออกมาเป็นเนื้อระดับ Medium rare ตามชื่อร้านเลย
รสชาติก็กำลังดี เค็ม ๆ หอม ๆ เรียกว่าเป็นเมนูเนื้อที่ถูกปรุงมาได้ถูกจริตผมมาก สุดยอดจริง ๆ เมนูนี้ราคาสูงหน่อยแต่ถ้าเทียบกับหลาย ๆ ที่ ก็ถือว่าไม่สูงมากนัก ถ้าใครที่พอจะสั่งมากินได้ผมขอแนะนำให้ลองเลยคัรบ




เมนูนี้ปกติที่อื่นก็จะเสิร์ฟมา 2-3 ชิ้นต่อจาน แต่ที่ร้านนี้เสิร์ฟแบบอลังการมาก คือมาทั้งแผงซี่โครง(Full rack) เลย
การปรุงก็เช่นเดียวกับ Tomahawk ครับ เรียบง่ายสไตล์อะเมริกัน แต่อันนี้ผิวจะไม่กรอบนักเพราะชิ้นเล็ก ย่างแป๊ปเดียวก็สุกแล้ว แต่กลิ่นและรสชาตินั้นหอมนุ่มไม่แพ้กันเลย อร่อยมากครับ เป็นอีกเมนูที่ขอแนะนำครับ