ปรารภเหตุที่ ล็อกอิน สะพานหัน อุตส่าห์ เข้ามา "แก้ตัว" ให้กับ คันโตนาซี ในทำนองว่า
(๑) คันโตนาซี อธิบายความแบบ ๒ แง่ (๒ ง่าม ด้วยรึเปล่า?)
(๒) พระพุทธเจ้าก็เคยตอบปัญหาแบบนี้
(๓) คันโตนาซี ไม่ได้กล่าวตู่
ประเด็นที่ร้ายแรงที่สุดก็คือ การที่นายคนนี้ แอบอ้างว่า พระพุทธเจ้า ก็เคยตรัส ในแบบที่ คันโตนาซี กำลังทำอยู่
ดังนั้น ผมจึงเห็นว่า ท่านทั้งหลายพึงกลับมาทำความเข้าใจกันให้ถูกต้องว่า พระพุทธเจ้าทรงตรัสตอบปัญหา อย่างไร ?
เรื่องแรก ที่ท่านทั้งหลายพึงทราบ ก็คือ ธรรมที่เป็นไปโดยส่วนเดียว(เอกังสิกธรรม)
พระพุทธเจ้าย่อมตรัสโดยแง่เดียวเท่านั้น คือเรื่อง ทุกข์ และความดับทุกข์
ส่วนธรรมที่มีหลายแง่มุม(อเนกังสิกธรรม) พระพุทธเจ้าย่อมมิตรัสโดยแง่ใดแง่หนึ่งเพียงประการเดียว
อย่างที่พวกอัญเดียรถีย์เขาเชื่อและทำกันอยู่ หากแต่พระพุทธเจ้าจะตรัสอย่างครบถ้วนตามเหตุปัจจัย
เช่นเรื่องที่เกี่ยวกับ (๑) สัตว์ เมื่อตายแล้ว ย่อมเกิดอีก(สัสสตทิฐิ) หรือ (๒) สัตว์ เมื่อตายแล้ว ย่อมไม่เกิดอีก(อุจเฉททิฐิ) ฯลฯ
กรณีอย่างนั้น พระพุทธเจ้าย่อมไม่ตรัสเพียงแง่ใดแง่หนึ่งเพียงประการเดียวโดดๆ อย่างที่พวกอัญเดียรถีย์กล่าวกัน
หากแต่จะตรัสตามความเป็นจริง ดังนี้ว่า .........
"เราย่อมบัญญัติความบังเกิดขึ้น สำหรับสัตว์ผู้ที่ยังมีอุปาทานอยู่ ไม่ใช่สำหรับสัตว์ผู้ที่ไม่มีอุปาทาน ฯลฯ"
สรุป ก็คือ ในกรณี สัตว์ กับ การเกิด การตาย นี้มิใช่ประเด็นปัญหาที่สามารถตอบเพียงแง่มุมใดแง่มุมหนึ่งว่า
(๑) สัตว์ เมื่อตายแล้ว ย่อมเกิดอีก(สัสสตทิฐิ) หรือ (๒) สัตว์ เมื่อตายแล้ว ย่อมไม่เกิดอีก(อุจเฉททิฐิ)
หากแต่ต้องระบุให้ชัดเจนถึง เชื้อ(อุปาทาน) หรือ ปัจจัยแห่งการเกิด(เช่น ตัณหา) ว่ามีอยู่หรือไม่ ?
หากมีอยู่ เมื่อตายแล้วย่อมเกิดอีก หากไม่มีอยู่ ตายแล้วย่อมไม่เกิดอีก
อย่างนี้เรียกว่า ธรรมที่มีหลายแง่ ซึ่งพระพุทธเจ้าย่อมไม่ตรัสตอบ เพียงแง่ใดแง่หนึ่ง แต่เพียงแง่มุมเดียว !
ทีนี้ ประเด็นปัญหามันเกิดตรงที่ ล็อกอิน สะพานหัน แอบอ้างว่า พระพุทธเจ้าก็เคยตอบปัญหาแบบ(๒แง่)นี้
ที่อ้างว่าเคยตรัส อเนกังสิกธรรม น่ะใช่ แต่ที่ผมถามหาหลักฐานอยู่ก็คือ พระพุทธเจ้าเคยตรัส แบบนี้
ในเรื่องที่เกี่ยวกับ พระอรหันต์ และ ขันธ์ เป็น ๒ แง่ว่า มีก็ใช่ หรือ ไม่มีก็ใช่ อย่างที่ คันโตนาซี กล่าวไว้หรือไม่ ?
มีใคร ที่ยังไม่เข้าใจ ประเด็นของคำถาม อยู่อีกหรือไม่ครับ ?
ในเรื่องที่เกี่ยวกับ พระอรหันต์ และ ขันธ์ ๕ นี้ ผมได้เสนอหลักฐานชั้นพุทธพจน์ จาก พระสูตร
เพื่อยืนยันว่า พระพุทธเจ้าได้ตรัสเรื่องนี้ไว้เพียงแง่เดียว กล่าวคือ
พระอรหันต์ ย่อมเห็นขันธ์ ๕ ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า ....
(๑) ขันธ์ ๕ มิใช่ของท่าน
(๒) ท่านมิใช่ ขันธ์ ๕
(๓) ขันธ์ ๕ มิใช่ตัวตนของท่าน
หรือแม้แต่ คันโตนาซี พยายามจะ แถกแถ ไปในเรื่องของ "กาย" ในทำนองว่า
พระพุทธเจ้า มี กาย และ กาย ก็คือ ขันธ์ ๕ จึงสรุปได้ว่า พระอรหันต์ มี ขันธ์ ๕
แต่ในความเป็นจริงกลับปรากฏอย่างชัดเจน โดยไม่ต้องผ่านการตีความอย่างโง่ๆ จาก คันโตนาซี เลยว่า
แม้แต่ กาย นี้ ซึ่งจะแปลว่าอะไร ก็ตาม พระพุทธเจ้าตรัสว่า มันไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย และ มิใช่ของใครทั้งนั้น
พูดให้ฟังง่ายๆ ก็คือ ไม่ว่าจะเป็น ธาตุ ขันธ์ อายตนะ กายหยาบ หรือ อะไรๆ ที่เข้าใจว่า มีอยู่
พระพุทธเจ้า ย่อมตรัสว่า นั่นไม่ใช่ของเรา หรือ ตัวตนของเรา ทั้งหมดทั้งสิ้น นั่นแหละ !
จบไหม ?
ท้ายที่สุด ก็ต้องกลับมาที่คำถามเดิม ซึ่ง คันโตนาซี ยังแสดงอาการ "หลบเลี่ยง"
ที่จะตอบคำถาม ตรงๆ อย่าง ลูกผู้ชาย ก็คือ การที่ มัน กล่าวว่า ...............
"จะเรียกว่า ขันธ์ ๕ เป็นของพระอรหันต์ ก็ได้ จะบอกว่า ขันธ์ ๕ ไม่เป็นของพระอรหันต์ ก็ได้"
เป็นการกล่าวโดยอาศัยหลักฐานจากที่ใดกัน พระพุทธเจ้า ได้ตรัสถึงเรื่อง ขันธ์ ๕ กับ พระอรหันต์
อย่างที่ คันโตนาซี แอบอ้างกล่าวตู่มานี้ ปรากฏหลักฐาน อยู่ในพระสูตรใด หรือไม่ครับ ?
มี หรือ ไม่มี
ก็จงตอบมาให้ชัดเจนเถิด !
***********************************************************
เรื่องที่ ๒ ที่ท่านทั้งหลาย พึงทราบ ก็คือ มันมีกลุ่มนักตรึก(คิดฟุ้งซ่าน) อยู่พวกหนึ่ง ในสมัยพุทธกาล
ซึ่งแตกต่างไปจาก พวกสุดโต่งที่กล่าวถึงในข้างต้น ที่มักยืนยัน ข้อเท็จจริงแต่เพียงแง่เดียวตามความเชื่อของตน
แต่นักตรึกพวกนี้ เป็นไปในทางตรงข้าม กล่าวคือ ไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงใดๆ ได้เลย
โดยเอาแต่พูดจาแส่ส่ายไปมา เป็นที่นับรู้กันในชื่อว่า "ลัทธิส่าย" ตัวอย่างเช่น
(๑) พวกสัสสตทิฐิ กล่าวว่า ตายแล้ว ย่อมเกิดอีก
(๒) พวกอุจเฉททิฐิ กล่าวว่า ตายแล้ว ย่อมไม่เกิดอีก
(๓) พวกลัทธิส่าย จะกล่าว แส่ส่าย ไปมา ในทำนองว่า .......
(๓.๑) ตายแล้ว ย่อมเกิดอีก ก็ไม่ใช่
(๓.๒) ตายแล้ว ย่อมไม่เกิดอีก ก็ไม่ใช่
ฯลฯ
ความผิดพลาด ของ คันโตนาซี และ สะพานหัน อยู่ตรงไหน ?
(๑) เรื่อง พระอรหันต์ กับ ขันธ์ ๕ เป็นธรรมแง่เดียว พระพุทธเจ้าตรัสเพียงแง่เดียว ปรากฏหลักฐานอย่างชัดเจนว่า
พระอรหันต์ ย่อมเห็นขันธ์ ๕ ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า นั่นมิใช่ของเรา เรามิได้เป็นนั่น นั่นมิใช่ตัวตนของเรา
แต่ สะพานหัน และ คันโตนาซี กลับพยายามแอบอ้างว่า นี้เป็นเรื่องธรรมหลายแง่(แอบอ้างว่า ๒ แง่)
แต่กระนั้น ก็มิอาจแสดงหลักฐานให้เห็นจริงได้ว่า พระพุทธเจ้า ตรัสอย่างนั้นๆ เอาไว้ในพระสูตรใด
นอกไปเสียจาก การแถกแถ และ ตีความ พระบาลีพุทธพจน์ แบบส่งเดช เพื่อให้เข้ากับ มิจฉาทิฐิของตน
(๒) การกล่าวตู่พระพุทธเจ้า คืออะไร ?
คนที่แสดงสิ่งที่ตถาคตมิได้ภาษิตไว้ มิได้ตรัสไว้ ว่า ตถาคตได้ภาษิตไว้ ได้ตรัสไว้ ฯลฯ
ก็ในเมื่อทั้ง สะพานหัน และ คันโตนาซี ยืนยันว่า ที่กล่าวออกมานั้น เป็นพระพุทธดำรัสจริง
ผมก็เพียงแค่ตั้งคำถามที่ ง่ายแสนง่ายว่า พระพุทธเจ้าตรัสแบบนั้น เอาไว้ ณ ที่ใด ?
สะพานหัน เสนอหน้า ไปกล่าวรับรอง คันโตนาซี ว่ามิได้กล่าวตู่
แต่เมื่อผมถามหา หลักฐาน คุณก็เปิดตูดหนีไป ไม่กล้ารับผิดชอบ
ก็ในเมื่อไม่มีปัญญารับผิดชอบ แล้วคุณไปกล่าวรับรองผู้อื่น ทำไมครับ ?
ส่วน คันโตนาซี ปกติ ก็เห็นว่าชอบ เอาพระไตรปิฎก ไล่ฟาดหัวผู้อื่น อยู่เป็นประจำ
แต่พอตนเองถูกทวงถามถึงหลักฐานในชั้นพระไตรปิฎกบ้าง กลับพยายาม หลบเลี่ยง
และ หลีกหนี ที่จะตอบคำถาม อย่างตรงไปตรงมา หรือ กล่าวยอมรับผิดตามความเป็นจริง
คันโตนาซี อย่าทำตัวเป็น คนกระจอก สิครับ !
ถ้ามีหลักฐานอยู่จริง ก็จงยกออกมาแสดง แต่ถ้าไม่มี ก็ต้องยอมรับผิด
และทำการแก้ไข สิ่งที่ผิดพลาดนั้น ให้ถูกต้องตรงธรรม เพื่อประโยชน์สำหรับผู้ที่มาทีหลัง
ทั้งนี้ ผมก็มิได้เร่งรัดอะไรนี่ครับ
เพราะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ผมจะเข้ามาตั้งกระทู้ ในทุกๆ ๗ วัน(โดยประมาณ)
แปลว่า ท่านทั้งหลาย ย่อมมีเวลา ในการอ่าน(กระทู้) ในการคิดพิจารณา(ธรรม) และในการตรวจสอบ(หลักฐาน)
ผิดถูกอย่างไร ท่านทั้งหลาย ย่อมได้รับโอกาสในการพิจารณาอย่างรอบคอบ ตามสมควรอยู่แล้ว
แต่ถึงแม้ ผมจะเปิดโอกาสให้อย่างเต็มที่ ก็ตาม ผมเข้าใจ(เอาเอง)ว่า ตราบจนถึงกระทู้นี้
ผมก็จะยังไม่ได้รับคำตอบ อย่างตรงไปตรงมา จาก บุรุษ(หรือ)เปล่า ผู้นั้น อยู่นั่นเอง !
หรือมิใช่ ?
สวัสดี
อเนกังสิกธรรม กับ ลัทธิส่าย
(๑) คันโตนาซี อธิบายความแบบ ๒ แง่ (๒ ง่าม ด้วยรึเปล่า?)
(๒) พระพุทธเจ้าก็เคยตอบปัญหาแบบนี้
(๓) คันโตนาซี ไม่ได้กล่าวตู่
ประเด็นที่ร้ายแรงที่สุดก็คือ การที่นายคนนี้ แอบอ้างว่า พระพุทธเจ้า ก็เคยตรัส ในแบบที่ คันโตนาซี กำลังทำอยู่
ดังนั้น ผมจึงเห็นว่า ท่านทั้งหลายพึงกลับมาทำความเข้าใจกันให้ถูกต้องว่า พระพุทธเจ้าทรงตรัสตอบปัญหา อย่างไร ?
เรื่องแรก ที่ท่านทั้งหลายพึงทราบ ก็คือ ธรรมที่เป็นไปโดยส่วนเดียว(เอกังสิกธรรม)
พระพุทธเจ้าย่อมตรัสโดยแง่เดียวเท่านั้น คือเรื่อง ทุกข์ และความดับทุกข์
ส่วนธรรมที่มีหลายแง่มุม(อเนกังสิกธรรม) พระพุทธเจ้าย่อมมิตรัสโดยแง่ใดแง่หนึ่งเพียงประการเดียว
อย่างที่พวกอัญเดียรถีย์เขาเชื่อและทำกันอยู่ หากแต่พระพุทธเจ้าจะตรัสอย่างครบถ้วนตามเหตุปัจจัย
เช่นเรื่องที่เกี่ยวกับ (๑) สัตว์ เมื่อตายแล้ว ย่อมเกิดอีก(สัสสตทิฐิ) หรือ (๒) สัตว์ เมื่อตายแล้ว ย่อมไม่เกิดอีก(อุจเฉททิฐิ) ฯลฯ
กรณีอย่างนั้น พระพุทธเจ้าย่อมไม่ตรัสเพียงแง่ใดแง่หนึ่งเพียงประการเดียวโดดๆ อย่างที่พวกอัญเดียรถีย์กล่าวกัน
หากแต่จะตรัสตามความเป็นจริง ดังนี้ว่า .........
"เราย่อมบัญญัติความบังเกิดขึ้น สำหรับสัตว์ผู้ที่ยังมีอุปาทานอยู่ ไม่ใช่สำหรับสัตว์ผู้ที่ไม่มีอุปาทาน ฯลฯ"
สรุป ก็คือ ในกรณี สัตว์ กับ การเกิด การตาย นี้มิใช่ประเด็นปัญหาที่สามารถตอบเพียงแง่มุมใดแง่มุมหนึ่งว่า
(๑) สัตว์ เมื่อตายแล้ว ย่อมเกิดอีก(สัสสตทิฐิ) หรือ (๒) สัตว์ เมื่อตายแล้ว ย่อมไม่เกิดอีก(อุจเฉททิฐิ)
หากแต่ต้องระบุให้ชัดเจนถึง เชื้อ(อุปาทาน) หรือ ปัจจัยแห่งการเกิด(เช่น ตัณหา) ว่ามีอยู่หรือไม่ ?
หากมีอยู่ เมื่อตายแล้วย่อมเกิดอีก หากไม่มีอยู่ ตายแล้วย่อมไม่เกิดอีก
อย่างนี้เรียกว่า ธรรมที่มีหลายแง่ ซึ่งพระพุทธเจ้าย่อมไม่ตรัสตอบ เพียงแง่ใดแง่หนึ่ง แต่เพียงแง่มุมเดียว !
ทีนี้ ประเด็นปัญหามันเกิดตรงที่ ล็อกอิน สะพานหัน แอบอ้างว่า พระพุทธเจ้าก็เคยตอบปัญหาแบบ(๒แง่)นี้
ที่อ้างว่าเคยตรัส อเนกังสิกธรรม น่ะใช่ แต่ที่ผมถามหาหลักฐานอยู่ก็คือ พระพุทธเจ้าเคยตรัส แบบนี้
ในเรื่องที่เกี่ยวกับ พระอรหันต์ และ ขันธ์ เป็น ๒ แง่ว่า มีก็ใช่ หรือ ไม่มีก็ใช่ อย่างที่ คันโตนาซี กล่าวไว้หรือไม่ ?
มีใคร ที่ยังไม่เข้าใจ ประเด็นของคำถาม อยู่อีกหรือไม่ครับ ?
ในเรื่องที่เกี่ยวกับ พระอรหันต์ และ ขันธ์ ๕ นี้ ผมได้เสนอหลักฐานชั้นพุทธพจน์ จาก พระสูตร
เพื่อยืนยันว่า พระพุทธเจ้าได้ตรัสเรื่องนี้ไว้เพียงแง่เดียว กล่าวคือ
พระอรหันต์ ย่อมเห็นขันธ์ ๕ ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า ....
(๑) ขันธ์ ๕ มิใช่ของท่าน
(๒) ท่านมิใช่ ขันธ์ ๕
(๓) ขันธ์ ๕ มิใช่ตัวตนของท่าน
หรือแม้แต่ คันโตนาซี พยายามจะ แถกแถ ไปในเรื่องของ "กาย" ในทำนองว่า
พระพุทธเจ้า มี กาย และ กาย ก็คือ ขันธ์ ๕ จึงสรุปได้ว่า พระอรหันต์ มี ขันธ์ ๕
แต่ในความเป็นจริงกลับปรากฏอย่างชัดเจน โดยไม่ต้องผ่านการตีความอย่างโง่ๆ จาก คันโตนาซี เลยว่า
แม้แต่ กาย นี้ ซึ่งจะแปลว่าอะไร ก็ตาม พระพุทธเจ้าตรัสว่า มันไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย และ มิใช่ของใครทั้งนั้น
พูดให้ฟังง่ายๆ ก็คือ ไม่ว่าจะเป็น ธาตุ ขันธ์ อายตนะ กายหยาบ หรือ อะไรๆ ที่เข้าใจว่า มีอยู่
พระพุทธเจ้า ย่อมตรัสว่า นั่นไม่ใช่ของเรา หรือ ตัวตนของเรา ทั้งหมดทั้งสิ้น นั่นแหละ !
จบไหม ?
ท้ายที่สุด ก็ต้องกลับมาที่คำถามเดิม ซึ่ง คันโตนาซี ยังแสดงอาการ "หลบเลี่ยง"
ที่จะตอบคำถาม ตรงๆ อย่าง ลูกผู้ชาย ก็คือ การที่ มัน กล่าวว่า ...............
"จะเรียกว่า ขันธ์ ๕ เป็นของพระอรหันต์ ก็ได้ จะบอกว่า ขันธ์ ๕ ไม่เป็นของพระอรหันต์ ก็ได้"
เป็นการกล่าวโดยอาศัยหลักฐานจากที่ใดกัน พระพุทธเจ้า ได้ตรัสถึงเรื่อง ขันธ์ ๕ กับ พระอรหันต์
อย่างที่ คันโตนาซี แอบอ้างกล่าวตู่มานี้ ปรากฏหลักฐาน อยู่ในพระสูตรใด หรือไม่ครับ ?
มี หรือ ไม่มี
ก็จงตอบมาให้ชัดเจนเถิด !
***********************************************************
เรื่องที่ ๒ ที่ท่านทั้งหลาย พึงทราบ ก็คือ มันมีกลุ่มนักตรึก(คิดฟุ้งซ่าน) อยู่พวกหนึ่ง ในสมัยพุทธกาล
ซึ่งแตกต่างไปจาก พวกสุดโต่งที่กล่าวถึงในข้างต้น ที่มักยืนยัน ข้อเท็จจริงแต่เพียงแง่เดียวตามความเชื่อของตน
แต่นักตรึกพวกนี้ เป็นไปในทางตรงข้าม กล่าวคือ ไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงใดๆ ได้เลย
โดยเอาแต่พูดจาแส่ส่ายไปมา เป็นที่นับรู้กันในชื่อว่า "ลัทธิส่าย" ตัวอย่างเช่น
(๑) พวกสัสสตทิฐิ กล่าวว่า ตายแล้ว ย่อมเกิดอีก
(๒) พวกอุจเฉททิฐิ กล่าวว่า ตายแล้ว ย่อมไม่เกิดอีก
(๓) พวกลัทธิส่าย จะกล่าว แส่ส่าย ไปมา ในทำนองว่า .......
(๓.๑) ตายแล้ว ย่อมเกิดอีก ก็ไม่ใช่
(๓.๒) ตายแล้ว ย่อมไม่เกิดอีก ก็ไม่ใช่
ฯลฯ
ความผิดพลาด ของ คันโตนาซี และ สะพานหัน อยู่ตรงไหน ?
(๑) เรื่อง พระอรหันต์ กับ ขันธ์ ๕ เป็นธรรมแง่เดียว พระพุทธเจ้าตรัสเพียงแง่เดียว ปรากฏหลักฐานอย่างชัดเจนว่า
พระอรหันต์ ย่อมเห็นขันธ์ ๕ ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงว่า นั่นมิใช่ของเรา เรามิได้เป็นนั่น นั่นมิใช่ตัวตนของเรา
แต่ สะพานหัน และ คันโตนาซี กลับพยายามแอบอ้างว่า นี้เป็นเรื่องธรรมหลายแง่(แอบอ้างว่า ๒ แง่)
แต่กระนั้น ก็มิอาจแสดงหลักฐานให้เห็นจริงได้ว่า พระพุทธเจ้า ตรัสอย่างนั้นๆ เอาไว้ในพระสูตรใด
นอกไปเสียจาก การแถกแถ และ ตีความ พระบาลีพุทธพจน์ แบบส่งเดช เพื่อให้เข้ากับ มิจฉาทิฐิของตน
(๒) การกล่าวตู่พระพุทธเจ้า คืออะไร ?
คนที่แสดงสิ่งที่ตถาคตมิได้ภาษิตไว้ มิได้ตรัสไว้ ว่า ตถาคตได้ภาษิตไว้ ได้ตรัสไว้ ฯลฯ
ก็ในเมื่อทั้ง สะพานหัน และ คันโตนาซี ยืนยันว่า ที่กล่าวออกมานั้น เป็นพระพุทธดำรัสจริง
ผมก็เพียงแค่ตั้งคำถามที่ ง่ายแสนง่ายว่า พระพุทธเจ้าตรัสแบบนั้น เอาไว้ ณ ที่ใด ?
สะพานหัน เสนอหน้า ไปกล่าวรับรอง คันโตนาซี ว่ามิได้กล่าวตู่
แต่เมื่อผมถามหา หลักฐาน คุณก็เปิดตูดหนีไป ไม่กล้ารับผิดชอบ
ก็ในเมื่อไม่มีปัญญารับผิดชอบ แล้วคุณไปกล่าวรับรองผู้อื่น ทำไมครับ ?
ส่วน คันโตนาซี ปกติ ก็เห็นว่าชอบ เอาพระไตรปิฎก ไล่ฟาดหัวผู้อื่น อยู่เป็นประจำ
แต่พอตนเองถูกทวงถามถึงหลักฐานในชั้นพระไตรปิฎกบ้าง กลับพยายาม หลบเลี่ยง
และ หลีกหนี ที่จะตอบคำถาม อย่างตรงไปตรงมา หรือ กล่าวยอมรับผิดตามความเป็นจริง
คันโตนาซี อย่าทำตัวเป็น คนกระจอก สิครับ !
ถ้ามีหลักฐานอยู่จริง ก็จงยกออกมาแสดง แต่ถ้าไม่มี ก็ต้องยอมรับผิด
และทำการแก้ไข สิ่งที่ผิดพลาดนั้น ให้ถูกต้องตรงธรรม เพื่อประโยชน์สำหรับผู้ที่มาทีหลัง
ทั้งนี้ ผมก็มิได้เร่งรัดอะไรนี่ครับ
เพราะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ผมจะเข้ามาตั้งกระทู้ ในทุกๆ ๗ วัน(โดยประมาณ)
แปลว่า ท่านทั้งหลาย ย่อมมีเวลา ในการอ่าน(กระทู้) ในการคิดพิจารณา(ธรรม) และในการตรวจสอบ(หลักฐาน)
ผิดถูกอย่างไร ท่านทั้งหลาย ย่อมได้รับโอกาสในการพิจารณาอย่างรอบคอบ ตามสมควรอยู่แล้ว
แต่ถึงแม้ ผมจะเปิดโอกาสให้อย่างเต็มที่ ก็ตาม ผมเข้าใจ(เอาเอง)ว่า ตราบจนถึงกระทู้นี้
ผมก็จะยังไม่ได้รับคำตอบ อย่างตรงไปตรงมา จาก บุรุษ(หรือ)เปล่า ผู้นั้น อยู่นั่นเอง !
หรือมิใช่ ?
สวัสดี