...สติสัมโพฌงค์...
...สตินี้มันก็ทันน่ะ คิดขึ้นเรื่องใดมันก็ดับ คิดขึ้นเท่าใดมันก็ดับ
ถ้ามีสติพร้อมกับ...ปรุงขึ้น...ดับ ปรุงขึ้น...ดับ เรียกว่า สติพร้อมกัน
คิดไปก็หลงไปลืมไป แปลว่าไม่มีสติ ถ้ามีสติแล้ว คิดขึ้นร้ายก็ดี
คิดดีก็ดี รู้พร้อมกันนั้นล่ะ สติรู้พร้อมกันดับลงทันทีนั่นล่ะ ฯลฯ
มีสติแล้ว มีปัญญา...เมื่อไม่มีสติมันก็เผลอ เผลอแล้วมันก็หลงไป
ครั้นไม่เผลอแล้วมีสติแนบอยู่ทุกเมื่อแล้ว คิดดีก็ดับลง คิดชั่วก็ดับลง
พอใจก็ดับลง ไม่พอใจก็ดับลง เอาลงทันทีนั่นล่ะ...มีสติแล้วก็ใช้ได้
ใจเบิกบานขึ้น ปัจจุบันมีสติพร้อมกันกับคิด...คิดผิดก็ดี คิดถูกก็ดี
รู้พร้อมกันก็ดับทันที เรียกว่า สติ...สัมมาสติ สติสัมโพฌงค์ ฯลฯ
...อุบายก็อาศัย ความเพียรความหมั่นนั่นล่ะ...ตั้งอยู่นั้นล่ะ ตั้งดูมันอยู่นั้นล่ะ...มันปรุงขึ้นรู้ทันที เป็นสติ...
“..ถ้าเราไม่หมั่นหาอุบายมาอบรมจิตแล้ว ส่วนมากจิตมักจะเกิดความเฉื่อยชา วางเฉย
ดังนั้น อุบายจึงเป็นของสำคัญ ยกขึ้นสู่การพิจารณาชี้แจง ให้จิตอาจหาญ ร่าเริง
เห็นแจ้งในจิตในใจของเรา ถ้าจิตยิ่งเกิดเกียจคร้านเท่าไรเราก็ต้องเพิ่มความพยายามตักเตือน
โดยอุบายให้มากขึ้นให้เท่าเทียมกัน จนเกิดความขยันขันแข็ง เบิกบานผ่องใส
ให้ ตั้งความสัจจ์ความเพียรไว้ อย่าเป็นคนเกียจคร้าน พระพุทธเจ้าสั่งสอนเราให้ตั้งอยู่ในมรรคในผล
ให้พยายามรักษาจิตรักษาใจของเรา อาศัยความองอาจกล้าหาญ ในความพากความเพียรของเรา
อย่าอ่อนแอท้อแท้ เราต้องสู้กับทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าองอาจกล้าหาญจึงจะผ่านอุปสรรคไปได้..”...
...รมณียธรรม ธรรมที่ร่มเย็นจากพระป่า : หลวงปู่แหวน สุจิณโณ...
...สติสัมโพฌงค์...!!!
...สติสัมโพฌงค์...
...สตินี้มันก็ทันน่ะ คิดขึ้นเรื่องใดมันก็ดับ คิดขึ้นเท่าใดมันก็ดับ
ถ้ามีสติพร้อมกับ...ปรุงขึ้น...ดับ ปรุงขึ้น...ดับ เรียกว่า สติพร้อมกัน
คิดไปก็หลงไปลืมไป แปลว่าไม่มีสติ ถ้ามีสติแล้ว คิดขึ้นร้ายก็ดี
คิดดีก็ดี รู้พร้อมกันนั้นล่ะ สติรู้พร้อมกันดับลงทันทีนั่นล่ะ ฯลฯ
มีสติแล้ว มีปัญญา...เมื่อไม่มีสติมันก็เผลอ เผลอแล้วมันก็หลงไป
ครั้นไม่เผลอแล้วมีสติแนบอยู่ทุกเมื่อแล้ว คิดดีก็ดับลง คิดชั่วก็ดับลง
พอใจก็ดับลง ไม่พอใจก็ดับลง เอาลงทันทีนั่นล่ะ...มีสติแล้วก็ใช้ได้
ใจเบิกบานขึ้น ปัจจุบันมีสติพร้อมกันกับคิด...คิดผิดก็ดี คิดถูกก็ดี
รู้พร้อมกันก็ดับทันที เรียกว่า สติ...สัมมาสติ สติสัมโพฌงค์ ฯลฯ
...อุบายก็อาศัย ความเพียรความหมั่นนั่นล่ะ...ตั้งอยู่นั้นล่ะ ตั้งดูมันอยู่นั้นล่ะ...มันปรุงขึ้นรู้ทันที เป็นสติ...
“..ถ้าเราไม่หมั่นหาอุบายมาอบรมจิตแล้ว ส่วนมากจิตมักจะเกิดความเฉื่อยชา วางเฉย
ดังนั้น อุบายจึงเป็นของสำคัญ ยกขึ้นสู่การพิจารณาชี้แจง ให้จิตอาจหาญ ร่าเริง
เห็นแจ้งในจิตในใจของเรา ถ้าจิตยิ่งเกิดเกียจคร้านเท่าไรเราก็ต้องเพิ่มความพยายามตักเตือน
โดยอุบายให้มากขึ้นให้เท่าเทียมกัน จนเกิดความขยันขันแข็ง เบิกบานผ่องใส
ให้ ตั้งความสัจจ์ความเพียรไว้ อย่าเป็นคนเกียจคร้าน พระพุทธเจ้าสั่งสอนเราให้ตั้งอยู่ในมรรคในผล
ให้พยายามรักษาจิตรักษาใจของเรา อาศัยความองอาจกล้าหาญ ในความพากความเพียรของเรา
อย่าอ่อนแอท้อแท้ เราต้องสู้กับทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าองอาจกล้าหาญจึงจะผ่านอุปสรรคไปได้..”...
...รมณียธรรม ธรรมที่ร่มเย็นจากพระป่า : หลวงปู่แหวน สุจิณโณ...