คุณสุภาพ : ได้อ่านหนังสือที่หลวงตาเขียนถึงพระอาจารย์มั่นก็ดี หลวงตาเขียนเล่าเรื่องชีวิตของหลวงตาเองก็ดี
ไม่เข้าใจกันอยู่มากว่า พระกรรมฐาน
ทำไมต้องทรมานสังขาร ทำไมต้องอดอาหาร ทำไมต้องทรมานตัวเอง
หลวงตาอธิบายว่าเป็นกลอุบาย กลอุบายอย่างไรขอรับ
หลวงตา: อ๋อ
คำว่ากลอุบาย หมายถึงว่า
เป็นอุบายวิธีการแก้กิเลส คือกิเลสนั่นน่ะ
ตัวของมันเองจริง ๆ เป็นนามธรรม ไม่ได้เป็นตัวเป็นตนเป็นร่างกายอย่างนี้
ร่างกายนี้เป็นเครื่องมือของกิเลส คนมีกิเลสมากอยู่ภายในจิตใจ มันก็ต้องเอาเหล่านี้เป็นเครื่องมือ
เมื่อมันมีเครื่องมือที่ดี ทันสมัย มันก็ทำลายเราได้อย่างทันควัน ว่างั้นเถอะ
คุณสุภาพ: ถ้าเราไม่ทรมานร่างกาย
หลวงตา: คำว่าร่างกายนี้หมายความว่าอย่างไร
คุณสุภาพ : เช่น ต้องไปเข้าอยู่ในป่า ต้องไปลำบากกันดาร ต้องไปอดอาหารหลาย ๆ มื้อ ต้องไปนั่งสมาธินาน ๆ ถือว่าเป็นการทรมาน
คำถามของพุทธศาสนิกชนก็คือว่า ทำไมพระกรรมฐานต้องทรมานอย่างนั้นก่อน ถึงจะชนะกิเลสขอรับ
หลวงตา : การทรมานอย่างนี้ไม่จัดว่าท่านฆ่ากิเลสด้วยวิธีการนี้นะ แต่เป็นอุบายวิธีการอันหนึ่ง
ที่จะช่วยส่งเสริมความเพียร คือสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรของท่านให้ดีเด่นขึ้นมา จากการทรมานตัวเองแบบนี้
เพื่อไม่ให้ร่างกายของเรามีกำลังมาก แล้วจะไม่เป็นเครื่องมือเสริมกิเลสมาทำลายเราได้หนักมากขึ้นไป
ต้องลด เช่น อย่างอดอาหารอย่างนี้ ร่างกายของคนเราธรรมดา เอ้า!พูดให้มันเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ส่วนมากผู้ปฏิบัติก็มีร่างกายที่มีราคะตัณหานี้เป็นตัวสำคัญมากที่สุดในวงปฏิบัติ ใครไม่ได้ขึ้นต่อกรกับกิเลสเสียก่อน
จะไม่ทราบว่ากิเลสตัวใดเป็นกิเลสสำคัญมากในสามแดนโลกธาตุนี้ ที่ทำลายสัตว์อยู่เวลานี้ ที่อันตรายมากที่สุดและสัตวโลกชอบที่สุด
คือราคะตัณหา ตัวนี้รุนแรงมาก
ทีนี้เวลาเราปฏิบัติ
เมื่อร่างกายของเรามีกำลังมากอยู่นี้ อันนี้เป็นเครื่องเสริมกิเลสได้เป็นอย่างดี เป็นเครื่องมือของกิเลสได้เป็นอย่างดี
ตั้งสติสตังนี้ไม่ทัน ๆ ล้มผล็อย ๆ ล้มผล็อยเลย เพราะอำนาจแห่งกิเลสมันอาศัยร่างกายที่มีกำลังนี้ มีกำลังรุนแรงมาก
ทีนี้เวลาเราอดอาหาร ร่างกายนี้มันผ่อนตัวของมันลงไป แต่ความเพียรของเรานี้ไม่ถอยนะ สติสตังคือความพากความเพียรที่จะชำระกิเลส
มีสติมีปัญญาเป็นสำคัญที่จะรักษาจิตใจตลอดเวลา สติสตังเหล่านี้ก็ค่อยตั้งขึ้นได้ ๆ
ร่างกายของเราอ่อนลง กิเลสมันก็อ่อนตัวของมันลงไป
สติสตังตั้งขึ้นได้ ชำระกิเลสได้เป็นลำดับลำดาขึ้นไปโดยลำดับ
เพราะอำนาจแห่งการฝึกทรมานอย่างนี้ อย่างเช่นพระพุทธเจ้าท่านว่า ให้อดนอน ผ่อนอาหาร ธุดงค์ ๑๓ ข้อนั้น
คือวิธีการที่จะชำระกิเลสทั้งนั้น การอดอาหารนี่ก็เป็นวิธีการหนึ่ง เป็นการสนับสนุนช่วยการแก้กิเลสได้อย่างง่ายดายยิ่งกว่าอย่างอื่นใด
เพราะฉะนั้นท่านถึงได้ทำอย่างนี้
------------------
เนื้อหาบางส่วนจาก
http://www.luangta.com/thamma_forum/forum_detail.php?cgiForumID=611
พระกรรมฐานทำไมต้องทรมานสังขาร ทำไมต้องอดอาหาร ทำไมต้องทรมานตัวเอง
ไม่เข้าใจกันอยู่มากว่า พระกรรมฐานทำไมต้องทรมานสังขาร ทำไมต้องอดอาหาร ทำไมต้องทรมานตัวเอง
หลวงตาอธิบายว่าเป็นกลอุบาย กลอุบายอย่างไรขอรับ
หลวงตา: อ๋อ คำว่ากลอุบาย หมายถึงว่าเป็นอุบายวิธีการแก้กิเลส คือกิเลสนั่นน่ะ
ตัวของมันเองจริง ๆ เป็นนามธรรม ไม่ได้เป็นตัวเป็นตนเป็นร่างกายอย่างนี้
ร่างกายนี้เป็นเครื่องมือของกิเลส คนมีกิเลสมากอยู่ภายในจิตใจ มันก็ต้องเอาเหล่านี้เป็นเครื่องมือ
เมื่อมันมีเครื่องมือที่ดี ทันสมัย มันก็ทำลายเราได้อย่างทันควัน ว่างั้นเถอะ
คุณสุภาพ: ถ้าเราไม่ทรมานร่างกาย
หลวงตา: คำว่าร่างกายนี้หมายความว่าอย่างไร
คุณสุภาพ : เช่น ต้องไปเข้าอยู่ในป่า ต้องไปลำบากกันดาร ต้องไปอดอาหารหลาย ๆ มื้อ ต้องไปนั่งสมาธินาน ๆ ถือว่าเป็นการทรมาน
คำถามของพุทธศาสนิกชนก็คือว่า ทำไมพระกรรมฐานต้องทรมานอย่างนั้นก่อน ถึงจะชนะกิเลสขอรับ
หลวงตา : การทรมานอย่างนี้ไม่จัดว่าท่านฆ่ากิเลสด้วยวิธีการนี้นะ แต่เป็นอุบายวิธีการอันหนึ่ง
ที่จะช่วยส่งเสริมความเพียร คือสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรของท่านให้ดีเด่นขึ้นมา จากการทรมานตัวเองแบบนี้
เพื่อไม่ให้ร่างกายของเรามีกำลังมาก แล้วจะไม่เป็นเครื่องมือเสริมกิเลสมาทำลายเราได้หนักมากขึ้นไป
ต้องลด เช่น อย่างอดอาหารอย่างนี้ ร่างกายของคนเราธรรมดา เอ้า!พูดให้มันเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ส่วนมากผู้ปฏิบัติก็มีร่างกายที่มีราคะตัณหานี้เป็นตัวสำคัญมากที่สุดในวงปฏิบัติ ใครไม่ได้ขึ้นต่อกรกับกิเลสเสียก่อน
จะไม่ทราบว่ากิเลสตัวใดเป็นกิเลสสำคัญมากในสามแดนโลกธาตุนี้ ที่ทำลายสัตว์อยู่เวลานี้ ที่อันตรายมากที่สุดและสัตวโลกชอบที่สุด
คือราคะตัณหา ตัวนี้รุนแรงมาก
ทีนี้เวลาเราปฏิบัติ เมื่อร่างกายของเรามีกำลังมากอยู่นี้ อันนี้เป็นเครื่องเสริมกิเลสได้เป็นอย่างดี เป็นเครื่องมือของกิเลสได้เป็นอย่างดี
ตั้งสติสตังนี้ไม่ทัน ๆ ล้มผล็อย ๆ ล้มผล็อยเลย เพราะอำนาจแห่งกิเลสมันอาศัยร่างกายที่มีกำลังนี้ มีกำลังรุนแรงมาก
ทีนี้เวลาเราอดอาหาร ร่างกายนี้มันผ่อนตัวของมันลงไป แต่ความเพียรของเรานี้ไม่ถอยนะ สติสตังคือความพากความเพียรที่จะชำระกิเลส
มีสติมีปัญญาเป็นสำคัญที่จะรักษาจิตใจตลอดเวลา สติสตังเหล่านี้ก็ค่อยตั้งขึ้นได้ ๆ
ร่างกายของเราอ่อนลง กิเลสมันก็อ่อนตัวของมันลงไป สติสตังตั้งขึ้นได้ ชำระกิเลสได้เป็นลำดับลำดาขึ้นไปโดยลำดับ
เพราะอำนาจแห่งการฝึกทรมานอย่างนี้ อย่างเช่นพระพุทธเจ้าท่านว่า ให้อดนอน ผ่อนอาหาร ธุดงค์ ๑๓ ข้อนั้น
คือวิธีการที่จะชำระกิเลสทั้งนั้น การอดอาหารนี่ก็เป็นวิธีการหนึ่ง เป็นการสนับสนุนช่วยการแก้กิเลสได้อย่างง่ายดายยิ่งกว่าอย่างอื่นใด
เพราะฉะนั้นท่านถึงได้ทำอย่างนี้
------------------
เนื้อหาบางส่วนจาก
http://www.luangta.com/thamma_forum/forum_detail.php?cgiForumID=611