เราไม่ได้อยู่กับพ่อตั้งแต่มัธยมต้น ตอนนี้เรียนจบแล้ว
ก็ไปหาพ่อปีละสามสี่ครั้ง พ่อเราอยู่ต่างจังหวัด เราไม่ค่อยสนิทกับพ่อหรอก
เพราะเราเป็นลูกสาวคนโตที่แสนจะเข้มแข็ง และออกจะกระโดกกระเดกไม่เรียบร้อยอ่อนหวาน
เหมือนน้องสาวคนกลางที่พ่อจะโอ๋เป็นพิเศษเพราะห่วงเรื่องการใช้ชีวิต
กลัวน้องเราจะตามไม่ทันคนโดนหลอกได้ แต่กับเราพ่อมักจะไม่พูดเรื่องนี้ เจอหน้าก็ไม่กอดจะกอดแต่น้องสาวเรา
อาจเพราะเราโตแล้วด้วยแหละ พ่อก็เลยอาจระวังเรื่องการวางตัวเวลาไปไหนมาไหนกับเรา
คนมักจะเข้าใจผิดคิดว่าเราเป็นเมียเด็กของพ่อทั้งๆที่เราหน้าเหมือนพ่อมากนะ!!
พ่อเราก็วัยกลางคนแต่ท่านหน้าเด็ก และแต่งตัวแบบเฮฟวี่มากๆ ==' นิสัยก็ออกจะเฮฮาแถมวัยรุ่นสุดๆ
ยังไงก็ตามแต่ ช่องว่างระหว่างเรากับพ่อมันก็เป็นมาแบบนี้แต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่เราเด็กๆพ่อเราก็ไม่เคยโอ๋เรา
ท่านดูเหมือนพยายามจะสร้างเราให้เป็นคนเข้มแข็ง
พ่อแม่เราเลิกกันหลายสิบปีแล้ว เราระหกระเหินอยู่กะญาติคนนั้นบ้างคนนี้บ้างจนโตมาก็แทบจะเรียกว่าโตด้วยลำแข้งตัวเอง
แต่เรื่องพวกนี้เราไม่เคยเก็บมันมาเป็นปมของชีวิต เรายังคงรักพ่อกับแม่ เทิดทูญไว้เหนือหัว
แม้จะไม่ได้อยู่รวมกันอย่างครอบครัวคนอื่นแต่ความรักก็ไม่ได้น้อยลงเลย
จนเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาเรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิตเราก็มาถึง
เราขอไม่พูดถึงคดีความว่าพ่อเราติดคุกเพราะอะไรนะ แต่เราจะบอกว่า
ไม่ใช่เรื่องยาเสพติด ค้าอาวุธเถื่อน ฆ่าคนตาย
เป็นคดีที่ละเอียดอ่อนพูดไปก็รังแต่จะสร้างความเดือดร้อนต่อ
ณ ตรงนี้ขอพูดแค่ความรู้สึกของลูกคนนึงว่ามันปวดร้าวแสนสาหัสขนาดไหน
วันที่รู้ข่าวว่าพ่อกำลังจะติดคุกทางบ้านเราวิ่งเต้นติดต่อทนายทำเรื่องประกันตัว
แต่หลักทรัพย์ที่เรามีอยู่ในมือดันติดจำนอง ขาดแค่สองแสน ณ วันนั้นเราก็จะเอาพ่อออกมาได้แล้ว
เราเสียเวลาตั้งแต่เช้ามืดจนดึก ใจคอร้อนลนราวกับไฟเผาอยู่ไม่สุขเลย
แต่ผลสรุปก็คือพ่อเรายังไงก็ต้องฝากขังไว้ก่อนเพราะหลักทรัพท์ค้ำประกันไม่พอ
แถมติดเสาอาทิตย์!! เรากลับบ้านร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร
เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนต้องตะโกนคุยกับพ่อผ่านห้องขังที่ศาล
มันหดหู่ อยากจะแหกกรงออกพาพ่อไปจากตรงนั้น ปวดร้าวที่ต้องบอกกับพ่อว่าเงินไม่พอ
เรื่องประกันต้องรอไปก่อนวันจันทร์ ปากเราสั่น สายตาเราไม่ค่อยดี
ระยะไกลขนาดนั้นขนาดมองเห็นไม่ชัดอยู่แล้วยังไม่กล้าแม้แต่จะสบตาพ่อเลย
พอพ่อรู้ข่าวว่าตัวเองต้องเข้าคุกคืนนี้ ท่านก็พยักหน้าแล้วเดินห่างออกจากจุดที่ยืนคุยกับเราไป
โดยไม่หันกลับมาอีก เราหันหลังน้ำตาไหล ร้องโฮแทบทรุดลงกับพื้น
วันจันทร์เราวิ่งเต้นเรื่องเงิน จนแล้วจนรอดมีปัญหาติดขัดด้านเอกสาร ไปหาพ่อที่เรือนจำบางขวาง
พอถึงรอบเดินเข้าห้องเยี่ยมพ่อเดินออกมา เราแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ พ่อตาแดงก่ำ ผมตัดสั้น หน้าซูบ รอยคล้ำใต้ตาชัดเจน
ใส่ชุดนัดโทษสีหม่นหมองมองดูสกปรก พ่อของเราที่ใส่เสื้อผ้าต้องรีดเรียบเนี๊ยบ สวมถุงเท้าแม้จะอยู่ในบ้าน
จุกจิกเรื่องความสะอาดของบ้านช่อง เจ้าระเบียบสุดๆ กลับต้องมาอยู่ในสภาพนี้ หัวใจเราแทบสลาย ปวบหนึบๆอธิบายไม่ถูก
ญาติๆคนอื่นย้ำนักย้ำหนาว่าอย่าร้องไห้ให้ท่านเห็น กลัวท่านจะท้อใจกว่าเดิม เราพยายามกลืนน้ำตา ถามไถ่ความเป็นอยู่
ขาดเหลือของใช้จะจัดการให้ พ่อก็สั่งการว่านั่นนี่นะ ไม่ต้องห่วงพ่อแต่น้ำเสียงฟังดูไม่มั่นใจเลย
เราจำไม่ได้สักอย่างว่าเราพูดอะไรกับพ่อ หรืออพ่อบอกอะไรเราบ้างในตอนนั้นไม่มีอะไรเข้าหูเราเลย
เราสองคนเงียบมองตากันอยู่ราวๆ5วินาที ที่เราไม่พูดแต่ใช้สายตาบอกถึงความปวดร้าวชัดเจนมากทั้งสองคน
เราทำนบแตก ร้องไห้คร่ำครวญตรงนั้นว่า อยากให้พ่อกลับบ้าน เป็นห่วงพ่อ กินข้าวยังไง
ญาติผู้ต้องขังคนอื่นก็มองเราเพราะเราเสียงดังมาก จนน้องชายเราต้องยื้อโทรศัพท์มาให้เราออกไปข้างนอก
พ่อก็ไม่พูดอะไรสักคำนั่งตาแดงมองเรากับน้องเรา พอหมดเวลา 20นาที เจ้าหน้าที่ก็เรียกให้ออกไป
คำพูดสุดท้ายที่พ่อพูดกับเราเบาๆแต่เราได้ยินชัดเจนมากๆ
"พ่อรักลูกนะ"
พ่อไม่เคยบอกรักลูกคนไหนด้วยคำพูดแบบนี้มาก่อน แล้วพ่อก็ลุกออกไป
เรามองดูแผ่นหลังของพ่อหายลับไปจากประตู ขาเราหนักอึ้ง คิดอะไรไม่ออก
น้องต้องลากเราออกมาจากตรงนั้น นั่งพักอยู่ราวสิบนาที ถึงได้คิดออกว่าต้องสั่งซื้อของใช้ให้พ่อ
เราเฝ้าถามตัวเองว่าทำไมคนที่ต้องเข้าไปไม่เป็นเราแทนนะ เวรกรรมอะไรท่านถึงต้องตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ที่สุดของชีวิต
ทำไมกรรมนั้นมันไม่เป็นของเรา แลกชีวิตกับเรา ให้เราได้ทุกข์ทรมานแทนท่าน
ให้เราติดคุกตลอดชีวิตชดใช้ในความผิดของพ่อแทนได้ไหม??
เราเคยร้องไห้เจ็บปวดผิดหวังเรื่องความรักมาก็ไม่น้อย ถึงขั้นคิดสั้นก็เคยเกือบจะมี
แต่หนนี้ การร้องไห้ ความเจ็บปวด ความทุกข์ใจมันเทียบกันไม่ได้เลย
ราวกับมดกัดกับมีดปักที่หน้าอก จะตายอยู่รอมร่อ ทรมานจนอธิบายไม่ได้ พูดไม่ออก ณ จุดๆนั้น
ภาพของพ่อเมื่อครั้งเก่าในความทรงจำของเราชัดเจน เพียงแต่ภาพท่านในห้องเยี่ยมผู้ต้องขังมันชัดกว่า
ตอนนี้ผ่านมา1อาทิตย์ เราไปเยี่ยมพ่อทุกวัน
เฝ้าย้ำกับพ่อให้เข้มแข็งและอดทน จนกว่าเราจะเอาพ่อออกมาจากที่นั่นได้
บอกกับท่านว่าเราไม่ทิ้งท่าน เราจะมาหาทุกวัน
พ่อเราก็ได้แต่พยักหน้า แต่บางวันก็ทำท่าร้อนรนถามเรื่องการประกันตัวว่าไปถึงไหน
พ่อเพียงบอกกับเราว่า พ่อแค่อยากรู้ว่าศาลจะให้ประกันตัวหรือไม่ ถ้าไม่ให้พ่อจะได้ทำใจไม่ต้องหวังว่าจะได้ออกจากที่นี่
น้ำตาเราไหลเงียบๆ แต่ก็ฝืนยิ้มบอกท่านว่ามันจะไม่เป็นแบบนั้น
โฉนดอีกบ้านหนึงที่ติดจำนองอยู่จะโอนคืนวันอังคารนี้ และเราจะรีบทำเรื่องให้เสร็จภายในวันเดียวเพื่อเอาพ่อออกมาให้ได้
เป็นไงเป็นกัน จะดีจะร้ายเราก็ต้องยอมรับชะตากรรมวันยังค่ำ
ติดวันพระใหญ่ รวมเสาร์อาทิตย์4วัน 4วันแห่งความทรมานใจ
เราไม่กล้ากินข้าว ไม่กล้ากินของดีๆ เพราะเราคิดว่าพ่อเราจะกินแบบไหน
เราไม่กล้าเปิดแอร์เปิดพัดลมในห้องเพราะเราคิดว่าพ่อเราจะร้อนอบอ้าวแค่ไหนข้างในนั้น
ปวดร้าวมากบอกตรงๆ รู้สึกไม่เหมาะสมที่ตัวเองจะได้รับสิ่งดีๆ หรือความสะดวกสบาย ในเมื่อพ่อต้องลำบาก
แค่คิดก็พาลจะร้องไห้อีกรอบ พ่อจะรู้ไหมว่าลูกทุกข์ใจ เจ็บปวดแสนสาหัสไม่ต่างจากพ่อเลย
พ่ออยู่ที่นั่นโดนจำกัดอิสระภาพ แต่ลูกอยู่ที่นี่สุขสบายเหมือนเดิมแต่ใจลูกมันแหลกยับด้วยความเป็นห่วงพ่อ
อยากคุยด้วยอยากพบหน้าแต่ทำไม่ได้ไม่มีทางจนกว่าจะถึงเวลา
เมื่อก่อนที่พ่อบอกให้ไปหา ลูกก็อิดออดๆ กว่าจะยอมมาได้แต่ละครั้ง
พ่ออยากให้ทำอะไรก็ขัดใจทานไปเสียทุกอย่าง
...ถ้ารู้ว่าวันนี้มันจะเป็นแบบนี้ ..ไม่อยากใช้คำนี้เลย
ถ้ารู้ว่าวันนี้มันจะเป็นแบบนี้ลูกจะไม่ทำให้พ่อต้องเสียใจ ผิดหวัง
ลูกรักพ่อยิ่งกว่าใครบนโลกใบนี้
ถ้าหากไม่มีพ่ออีกแล้ว วันต่อๆไปลูกจะเป็นอย่างไร
ลูกจะเข้มแข็งพอจะดูแลน้องๆและหลานตัวเล็กเพียงคนเดียวได้อย่างไร
ตั้งแต่เกิดเรื่องนี้ขึ้น กว่าเราจะขุดตัวเองออกจากความทุกข์ใจเพื่อดำเนินชีวิตประจำวันตามปกติได้มันยากเย็นมาก
บางทีเราก็เบลอๆ ไปที่นั่นที่นี่เสร็จแล้วไม่รู้ตัวว่ากลับมาถึงบ้านได้ยังไงก็มี คือรู้สึกตัวอีกทีกำลังไขประตูบ้าน
"บุญใดที่ลูกเคยได้ทำทั้งชาติก่อนหรือชาตินี้ขอยกให้คุณพ่อทั้งหมด ขอให้เรื่องร้ายกลายเป็นดี ขอให้ทุกข์หนักกลายเป็นเบาลง
ให้พ่อรอดพ้นจากภยันอันตรายที่เข้ามากล้ำกลาย หมดเคราะห์หมดโศกในเร็ววัน"
ความรู้สึกแรกของลูกเมื่อมองเห็นพ่อผ่านกระจกในห้องเยี่ยมผู้ต้องขัง....
ก็ไปหาพ่อปีละสามสี่ครั้ง พ่อเราอยู่ต่างจังหวัด เราไม่ค่อยสนิทกับพ่อหรอก
เพราะเราเป็นลูกสาวคนโตที่แสนจะเข้มแข็ง และออกจะกระโดกกระเดกไม่เรียบร้อยอ่อนหวาน
เหมือนน้องสาวคนกลางที่พ่อจะโอ๋เป็นพิเศษเพราะห่วงเรื่องการใช้ชีวิต
กลัวน้องเราจะตามไม่ทันคนโดนหลอกได้ แต่กับเราพ่อมักจะไม่พูดเรื่องนี้ เจอหน้าก็ไม่กอดจะกอดแต่น้องสาวเรา
อาจเพราะเราโตแล้วด้วยแหละ พ่อก็เลยอาจระวังเรื่องการวางตัวเวลาไปไหนมาไหนกับเรา
คนมักจะเข้าใจผิดคิดว่าเราเป็นเมียเด็กของพ่อทั้งๆที่เราหน้าเหมือนพ่อมากนะ!!
พ่อเราก็วัยกลางคนแต่ท่านหน้าเด็ก และแต่งตัวแบบเฮฟวี่มากๆ ==' นิสัยก็ออกจะเฮฮาแถมวัยรุ่นสุดๆ
ยังไงก็ตามแต่ ช่องว่างระหว่างเรากับพ่อมันก็เป็นมาแบบนี้แต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่เราเด็กๆพ่อเราก็ไม่เคยโอ๋เรา
ท่านดูเหมือนพยายามจะสร้างเราให้เป็นคนเข้มแข็ง
พ่อแม่เราเลิกกันหลายสิบปีแล้ว เราระหกระเหินอยู่กะญาติคนนั้นบ้างคนนี้บ้างจนโตมาก็แทบจะเรียกว่าโตด้วยลำแข้งตัวเอง
แต่เรื่องพวกนี้เราไม่เคยเก็บมันมาเป็นปมของชีวิต เรายังคงรักพ่อกับแม่ เทิดทูญไว้เหนือหัว
แม้จะไม่ได้อยู่รวมกันอย่างครอบครัวคนอื่นแต่ความรักก็ไม่ได้น้อยลงเลย
จนเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาเรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิตเราก็มาถึง
เราขอไม่พูดถึงคดีความว่าพ่อเราติดคุกเพราะอะไรนะ แต่เราจะบอกว่า
ไม่ใช่เรื่องยาเสพติด ค้าอาวุธเถื่อน ฆ่าคนตาย
เป็นคดีที่ละเอียดอ่อนพูดไปก็รังแต่จะสร้างความเดือดร้อนต่อ
ณ ตรงนี้ขอพูดแค่ความรู้สึกของลูกคนนึงว่ามันปวดร้าวแสนสาหัสขนาดไหน
วันที่รู้ข่าวว่าพ่อกำลังจะติดคุกทางบ้านเราวิ่งเต้นติดต่อทนายทำเรื่องประกันตัว
แต่หลักทรัพย์ที่เรามีอยู่ในมือดันติดจำนอง ขาดแค่สองแสน ณ วันนั้นเราก็จะเอาพ่อออกมาได้แล้ว
เราเสียเวลาตั้งแต่เช้ามืดจนดึก ใจคอร้อนลนราวกับไฟเผาอยู่ไม่สุขเลย
แต่ผลสรุปก็คือพ่อเรายังไงก็ต้องฝากขังไว้ก่อนเพราะหลักทรัพท์ค้ำประกันไม่พอ
แถมติดเสาอาทิตย์!! เรากลับบ้านร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร
เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนต้องตะโกนคุยกับพ่อผ่านห้องขังที่ศาล
มันหดหู่ อยากจะแหกกรงออกพาพ่อไปจากตรงนั้น ปวดร้าวที่ต้องบอกกับพ่อว่าเงินไม่พอ
เรื่องประกันต้องรอไปก่อนวันจันทร์ ปากเราสั่น สายตาเราไม่ค่อยดี
ระยะไกลขนาดนั้นขนาดมองเห็นไม่ชัดอยู่แล้วยังไม่กล้าแม้แต่จะสบตาพ่อเลย
พอพ่อรู้ข่าวว่าตัวเองต้องเข้าคุกคืนนี้ ท่านก็พยักหน้าแล้วเดินห่างออกจากจุดที่ยืนคุยกับเราไป
โดยไม่หันกลับมาอีก เราหันหลังน้ำตาไหล ร้องโฮแทบทรุดลงกับพื้น
วันจันทร์เราวิ่งเต้นเรื่องเงิน จนแล้วจนรอดมีปัญหาติดขัดด้านเอกสาร ไปหาพ่อที่เรือนจำบางขวาง
พอถึงรอบเดินเข้าห้องเยี่ยมพ่อเดินออกมา เราแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ พ่อตาแดงก่ำ ผมตัดสั้น หน้าซูบ รอยคล้ำใต้ตาชัดเจน
ใส่ชุดนัดโทษสีหม่นหมองมองดูสกปรก พ่อของเราที่ใส่เสื้อผ้าต้องรีดเรียบเนี๊ยบ สวมถุงเท้าแม้จะอยู่ในบ้าน
จุกจิกเรื่องความสะอาดของบ้านช่อง เจ้าระเบียบสุดๆ กลับต้องมาอยู่ในสภาพนี้ หัวใจเราแทบสลาย ปวบหนึบๆอธิบายไม่ถูก
ญาติๆคนอื่นย้ำนักย้ำหนาว่าอย่าร้องไห้ให้ท่านเห็น กลัวท่านจะท้อใจกว่าเดิม เราพยายามกลืนน้ำตา ถามไถ่ความเป็นอยู่
ขาดเหลือของใช้จะจัดการให้ พ่อก็สั่งการว่านั่นนี่นะ ไม่ต้องห่วงพ่อแต่น้ำเสียงฟังดูไม่มั่นใจเลย
เราจำไม่ได้สักอย่างว่าเราพูดอะไรกับพ่อ หรืออพ่อบอกอะไรเราบ้างในตอนนั้นไม่มีอะไรเข้าหูเราเลย
เราสองคนเงียบมองตากันอยู่ราวๆ5วินาที ที่เราไม่พูดแต่ใช้สายตาบอกถึงความปวดร้าวชัดเจนมากทั้งสองคน
เราทำนบแตก ร้องไห้คร่ำครวญตรงนั้นว่า อยากให้พ่อกลับบ้าน เป็นห่วงพ่อ กินข้าวยังไง
ญาติผู้ต้องขังคนอื่นก็มองเราเพราะเราเสียงดังมาก จนน้องชายเราต้องยื้อโทรศัพท์มาให้เราออกไปข้างนอก
พ่อก็ไม่พูดอะไรสักคำนั่งตาแดงมองเรากับน้องเรา พอหมดเวลา 20นาที เจ้าหน้าที่ก็เรียกให้ออกไป
คำพูดสุดท้ายที่พ่อพูดกับเราเบาๆแต่เราได้ยินชัดเจนมากๆ
"พ่อรักลูกนะ"
พ่อไม่เคยบอกรักลูกคนไหนด้วยคำพูดแบบนี้มาก่อน แล้วพ่อก็ลุกออกไป
เรามองดูแผ่นหลังของพ่อหายลับไปจากประตู ขาเราหนักอึ้ง คิดอะไรไม่ออก
น้องต้องลากเราออกมาจากตรงนั้น นั่งพักอยู่ราวสิบนาที ถึงได้คิดออกว่าต้องสั่งซื้อของใช้ให้พ่อ
เราเฝ้าถามตัวเองว่าทำไมคนที่ต้องเข้าไปไม่เป็นเราแทนนะ เวรกรรมอะไรท่านถึงต้องตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ที่สุดของชีวิต
ทำไมกรรมนั้นมันไม่เป็นของเรา แลกชีวิตกับเรา ให้เราได้ทุกข์ทรมานแทนท่าน
ให้เราติดคุกตลอดชีวิตชดใช้ในความผิดของพ่อแทนได้ไหม??
เราเคยร้องไห้เจ็บปวดผิดหวังเรื่องความรักมาก็ไม่น้อย ถึงขั้นคิดสั้นก็เคยเกือบจะมี
แต่หนนี้ การร้องไห้ ความเจ็บปวด ความทุกข์ใจมันเทียบกันไม่ได้เลย
ราวกับมดกัดกับมีดปักที่หน้าอก จะตายอยู่รอมร่อ ทรมานจนอธิบายไม่ได้ พูดไม่ออก ณ จุดๆนั้น
ภาพของพ่อเมื่อครั้งเก่าในความทรงจำของเราชัดเจน เพียงแต่ภาพท่านในห้องเยี่ยมผู้ต้องขังมันชัดกว่า
ตอนนี้ผ่านมา1อาทิตย์ เราไปเยี่ยมพ่อทุกวัน
เฝ้าย้ำกับพ่อให้เข้มแข็งและอดทน จนกว่าเราจะเอาพ่อออกมาจากที่นั่นได้
บอกกับท่านว่าเราไม่ทิ้งท่าน เราจะมาหาทุกวัน
พ่อเราก็ได้แต่พยักหน้า แต่บางวันก็ทำท่าร้อนรนถามเรื่องการประกันตัวว่าไปถึงไหน
พ่อเพียงบอกกับเราว่า พ่อแค่อยากรู้ว่าศาลจะให้ประกันตัวหรือไม่ ถ้าไม่ให้พ่อจะได้ทำใจไม่ต้องหวังว่าจะได้ออกจากที่นี่
น้ำตาเราไหลเงียบๆ แต่ก็ฝืนยิ้มบอกท่านว่ามันจะไม่เป็นแบบนั้น
โฉนดอีกบ้านหนึงที่ติดจำนองอยู่จะโอนคืนวันอังคารนี้ และเราจะรีบทำเรื่องให้เสร็จภายในวันเดียวเพื่อเอาพ่อออกมาให้ได้
เป็นไงเป็นกัน จะดีจะร้ายเราก็ต้องยอมรับชะตากรรมวันยังค่ำ
ติดวันพระใหญ่ รวมเสาร์อาทิตย์4วัน 4วันแห่งความทรมานใจ
เราไม่กล้ากินข้าว ไม่กล้ากินของดีๆ เพราะเราคิดว่าพ่อเราจะกินแบบไหน
เราไม่กล้าเปิดแอร์เปิดพัดลมในห้องเพราะเราคิดว่าพ่อเราจะร้อนอบอ้าวแค่ไหนข้างในนั้น
ปวดร้าวมากบอกตรงๆ รู้สึกไม่เหมาะสมที่ตัวเองจะได้รับสิ่งดีๆ หรือความสะดวกสบาย ในเมื่อพ่อต้องลำบาก
แค่คิดก็พาลจะร้องไห้อีกรอบ พ่อจะรู้ไหมว่าลูกทุกข์ใจ เจ็บปวดแสนสาหัสไม่ต่างจากพ่อเลย
พ่ออยู่ที่นั่นโดนจำกัดอิสระภาพ แต่ลูกอยู่ที่นี่สุขสบายเหมือนเดิมแต่ใจลูกมันแหลกยับด้วยความเป็นห่วงพ่อ
อยากคุยด้วยอยากพบหน้าแต่ทำไม่ได้ไม่มีทางจนกว่าจะถึงเวลา
เมื่อก่อนที่พ่อบอกให้ไปหา ลูกก็อิดออดๆ กว่าจะยอมมาได้แต่ละครั้ง
พ่ออยากให้ทำอะไรก็ขัดใจทานไปเสียทุกอย่าง
...ถ้ารู้ว่าวันนี้มันจะเป็นแบบนี้ ..ไม่อยากใช้คำนี้เลย
ถ้ารู้ว่าวันนี้มันจะเป็นแบบนี้ลูกจะไม่ทำให้พ่อต้องเสียใจ ผิดหวัง
ลูกรักพ่อยิ่งกว่าใครบนโลกใบนี้
ถ้าหากไม่มีพ่ออีกแล้ว วันต่อๆไปลูกจะเป็นอย่างไร
ลูกจะเข้มแข็งพอจะดูแลน้องๆและหลานตัวเล็กเพียงคนเดียวได้อย่างไร
ตั้งแต่เกิดเรื่องนี้ขึ้น กว่าเราจะขุดตัวเองออกจากความทุกข์ใจเพื่อดำเนินชีวิตประจำวันตามปกติได้มันยากเย็นมาก
บางทีเราก็เบลอๆ ไปที่นั่นที่นี่เสร็จแล้วไม่รู้ตัวว่ากลับมาถึงบ้านได้ยังไงก็มี คือรู้สึกตัวอีกทีกำลังไขประตูบ้าน
"บุญใดที่ลูกเคยได้ทำทั้งชาติก่อนหรือชาตินี้ขอยกให้คุณพ่อทั้งหมด ขอให้เรื่องร้ายกลายเป็นดี ขอให้ทุกข์หนักกลายเป็นเบาลง
ให้พ่อรอดพ้นจากภยันอันตรายที่เข้ามากล้ำกลาย หมดเคราะห์หมดโศกในเร็ววัน"