สืบเนื่องจากกระทู้นี้
http://ppantip.com/topic/32197468 ทำให้มีแรงฮึกเหิมมากขึ้น
๑
เคยอยากลองทำอะไรสักอย่าง แล้วยังไม่ได้ลงมือทำไหม?
เคยฝันอะไรเอาไว้แล้ว ทิ้งความฝันนั้นไปไหม?
เวลาผ่านมาร่วมสิบเดือน ที่อยากทำสิ่งนี้ ในที่สุดก็ได้เริ่มสักที
ชีวิตช่วงนี้ เป็นช่วงที่
โคตรน่าจดจำไปตลอดชีวิต 1 ปีกับการเรียนในสิ่งที่รัก ที่ฝันเอาไว้ ตอนที่ได้ยินคนอื่นพูด ว่าการมาเรียนที่นี่ คุ้มค่ากับการลงทุนมาก เวลาแค่นี้ยังน้อยเกินไปที่จะยังสนุกกับมันอยู่ ในที่สุดก็ได้มาลองแล้ว!
จะยังไม่บอกว่า เรียนอะไร ที่ไหน อย่างไร แต่จะเล่าให้ฟังถึงตอนที่สอบเข้ามาเรียนที่นี่ก่อนนะฮะ
-เริ่มสมัคร-
มี 2 แบบคือซื้อใบสมัครที่นั่นเองเลย กับให้เขาส่งไปรษณีย์มาให้ คาบเจ้าเลือกเลย เดินไปสมัครเอง ตั้งแต่วันแรกที่เขาเปิด กะจะได้เขียนใบสมัครคนแรก เอาฤกษ์เอาชัย ได้เวลาดีสิบโมงถึงสถานที่พอดี เดินไปก็กระหยิ่มยิ้มย่อง
“หึ... เช้าขนาดนี้ วันแรกด้วย ไม่มีใครมาสมัครหรอก กูเนี่ยแหละ!คนแรก” เปิดประตูเข้าไปเจอชะนีหมวยหนึ่งนาง เขียนใบสมัครอยู่ เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ เลยยิ้มกลับไปเบาๆ
แต่ในใจคิดว่า “เป็นใคร! มาเช้าขนาดนี้ทำไม! กูผิดหวังนะเว่ย! แหน่ะๆ ยังจะมายิ้มอีก หอยเอ้ยยย ทำกูเสียฤกษ์หมด นะเมิงง”
ทรุดตัวลงนั่ง กรอกใบสมัครด้วยความเพลีย ระหว่างเขียนก็เหลือบตาไปมอง ...หึ ดีๆ นางเลือกเรียนคนละสาขากับเรา อย่างน้อยก็ไม่ต้องเจอกันแหละวะ...
ส่งใบสมัครเสร็จ ก็รอสอบข้อเขียน กี่เดือนรู้ไหม
5 เดือน (โว้ยยยยย) กูมาสมัครเร็วขนาดนี้เพื่อ.
-สอบข้อเขียน-
ก่อนหน้านี้ลองหาข้อมูลในพันทิพย์ว่าสอบเนี่ยเป็นไงบ้าง เขาบอก “สอบวิชาเดียวคือภาษาอังกฤษ ไม่มีความถนัดทางวิชาชีพใดๆทั้งสิ้น แค่แกรมม่านิดหน่อย ไม่ยากเท่าไหร่ แต่ต้องเตรียมตัวนะ” ก็เลยไปจัดแกรมม่าฉบับเร่งด่วนมาหนึ่งเล่ม อ่านต่อเนื่องหนึ่งเดือนก่อนสอบ
หลังจากรอจนแห้งมาไม่นานเท่าไหร่ (ห้าเดือน) ก็มาถึงวันสอบจริง มีคนถือหนังสืออังกฤษเล่มหนามา ตกใจ “เชี่ย...เรื่องจริงชิอ้ะ ขนาดนี้เลยหรอวะ แล้วกูจะติดไหม คนสอบ
ก็เยอะแยะยุ่บยั่บ รับเท่าริดสีดวงมด ท่าจะหมดหวังซะแล้ว แต่!ไม่! กูต้องไม่ยอมแพ้ หนึ่งในริดสีดวงมด เหล่านั้นต้องเป็นชั้น!!”
เข้าไปนั่งสอบแบ่งเป็นสามช่วง คือ ฟัง อ่าน เขียน พอเจอข้อสอบ ทำไมแม็คจะหลุดจากกระดาษ ข้อสอบดูเยินๆนะ มารู้ทีหลังคือ ที่นี่นานๆจะเปลี่ยนข้อสอบที สรุปที่บากบั่นอ่านไป ข้อสอบไม่ยากอย่างที่คิดจ้า ส่งคนแรกๆของห้องด้วยนะ มั่นใจในศักยภาพมาก พอออกมาก็กลับบ้านสวยๆ ถึงบ้านปั๊บ ความกังวลมาทันที จะผ่านไหม ไม่ผ่านจะไปทำอะไรต่อ (ทึ้งผมจนร่วงสองกระหย่อม)
ดูผลในคอมฯ ผ่าน, จบ เครียดไปทำไม บอกแล้วชั้นเก่ง.
(คิดว่าจะผ่านสัมภาษณ์... เรอะ เหอะๆ ประมาทอีกแล้วนะเมิง)
-สอบสัมภาษณ์-
จากประชากรวัยมันส์ทั่วประเทศที่หลั่งไหลกันสมัครเข้ามา ผ่านมาสอบสัมภาษณ์เพียงเล็กน้อย คาบเจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้น ขีดเส้นใต้ หนึ่ง ในนั้น ใช่แล้ว คาบเจ้าได้(ลำดับ)ที่หนึ่ง หลังจากที่ตอนนั้นหลุดไปให้ชะนีหมวยตอนกรอกใบสมัคร ดีใจมั่กๆอ้ะ แอร้ย
เช้าวันสอบ นั่งรอแถวๆนั้น พร้อมโพยในมือ อีกทั้งพ่อแม่ก็เป่ากระหม่อมมาให้อย่างดี ก่อให้เกิดความมั่นใจเป็นอย่างมาก ได้ยินเสียงคนคุยกันเงยหน้าขึ้นมามอง เจอสตรีต่างภาษาต่างอายุเดินมาเป็นกลุ่ม ก็แอบฟังนางคุยกัน พอนางเดินไปสักพัก มีอีกนางนึงวิ่งมาหอบฮั่กๆ อายุอานามพอๆกับกลุ่มแรกที่ผ่านไป นางหยุดพักที่ตรงหน้าแล้วเหมือนจะมีคำถาม แถวนั้นก็ไม่มีใคร เราในฐานะคนไทย ต้องไม่ทำให้เขาผิดหวัง ชิงตอบแม่มเลย
คาบเจ้า -“ตรงไป เลี้ยวขวาขึ้นบันไดเลยค่ะแหม่ม.”
แหม่ม- “ขอบคุณนะหนู เธอช่างใจดีจีจี.”
นางรีบไปทางดังกล่าว คาบเจ้านั่งมอง ยิ้มเบาๆด้วยความดีใจ ไม่ถึงสิบวิ นางลงมาจากบันได ค้อนคาบเจ้าหนึ่งที แล้วมีพนง.เดินตามหลัง นางไม่ใช่หนึ่งในสตรีกลุ่มนั้น แล้วนางได้มาทำกิจกรรมที่คาบเจ้าแอบได้ยินมาอีกด้วย! ตอนนั้นอายคนเดียว คิดว่า เออ ก็ไม่รู้นี่หว่า (แล้วเจือกไปบอกเขาทำม้ายย ไม่ฟังเขาถามด้วยนะ) ช่างมัน จนมารู้ว่า มีเพื่อนที่เรียนมันอยู่ในเหตุการณ์นี้ด้วย! แล้วมันก็มาเล่าให้ฟังทีหลัง ทำให้อับอายยิ่งนัก!!!
ถึงเวลาสอบสัมภาษณ์สักที เดินเข้าไปอย่างผ่าเผย หย่อนก้นเบาๆลงไปตรงเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้ให้กลางห้อง กล่าวสวัสดีชายวัยกลางคนตรงกลาง ( อ่านเจอมาว่าคนตรงกลางใหญ่สุด เวลาสัมภาษณ์อะไรก็ตามที่คนสัมภาษณ์3,5คน ต้องทักทายคนกลางก่อน) ตามด้วยหญิงวัยกลางคนทั้งสองที่ประกบข้างอยู่
หลังจากพลิกประวัติอยู่สามวิ ก็เงยหน้าขึ้นมาถามว่า
ท่านชาย -“เรียนจบมาด้านนี้โดยตรง ฝึกงานกับสถานประกอบการที่มีชื่อเสียงมาก็นาน ทำไมยังจะมาเสียเวลาเรียนที่นี่อีกล่ะ”
คาบเจ้า- “อยากมีความชำนาญในสายงานนี้ให้มากยิ่งขึ้นค่ะ”
ท่านชาย- “ไม่ไปหางานทำล่ะ ได้เงินเลยนะ นี่ต้องมาเสียตังตั้งเยอะแยะ รู้ใช่ไหมว่าระบบการเรียนที่นี่เป็นยังไง”
คาบเจ้า- “รู้ค่ะ”
ท่านชาย- “ไหนเล่าให้ฟังหน่อยตอนคุณไปฝึกงาน”
คาบเจ้า- “ก่อนอื่นเลยนะคะก็ต้อง ๐!@^%$^*^&....”
ยังเล่าไม่ทันมันส์ ท่านหญิงด้านข้างก็เบรกด้วยคำถามขึ้นมา
ท่านหญิง- “ทำไมเลือกมาเรียนที่นี่แทนที่จะเป็นที่อื่น”
คาบเจ้า- “มั่นใจกับที่นี่ค่ะ ว่าสามารถทำให้เป็นมืออาชีพมากขึ้น”
และคำถามอีกมากมายในเวลาแค่สิบนาที ที่เหมือนจะผ่านไปช้าเหลือเกิน ในที่สุดก็หมดเวลาลง เลยต้องกล่าวลา และความหวังในใจก็ผุดขึ้นมาน้อยๆ ว่าคำถามที่ได้เตี๊ยมมา
ตรงว่ะ สมาธิกูไม่หลุดเลยนะเว่ย หึ ไม่ไกลเกินเอื้อม
สามวันต่อมา ผลออก, ผ่าน เย้! ได้เรียนแว้วว บอกพ่อบอกแม่ ดีใจแทบปิดกรุงเทพเลี้ยง คราวนี้ก็ไปเตรียมตังค์ เตรียมใจที่จะไปวันเรียนปรับพื้นฐานที่จะมีขึ้นในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า จุ้กกรู้ว! ฮูเร่! ตบมหาราชสามชุด ปฏิบัติ!
แหน่ะ อยากรู้ล่ะสิ เรียนอะไร
.
.
.
.
.
.
.
.
อย่าเพิ่งเลื่อนลงไปสุดนะเธ้ออ
๒
มาถึงวันเรียนปรับพื้นฐานที่ไม่มีอะไรเลย ให้ไปนั่งหลับอย่างเดียว แล้วก็มีจ่ายค่าเทอม ตัดชุด วัดรองเท้า ข้ามไปวันปฐมนิเทศเลยละกัน
มานั่งในห้องเรียนไม้เล็กๆ กับผู้ร่วมชะตากรรมอีกสิบกว่าชีวิต มองไปมองมา ไม่คุ้นหน้าเลยวะ เพื่อนกูรึเปล่า ไม่ใช่มาผิดวันนะ... ก็มีการแนะนำตัวกันเล็กน้อย คุยแบบเป็นกันเองกับท่านหญิงที่สัมภาษณ์เราวันนั้น แต่วันนี้นอกจากปฐมนิเทศแล้ว มันคือวันที่ยิ่งใหญ่อีกวันนึงสำหรับคาบเจ้าเลยนะ เพราะวันนี้คือวันที่จะได้รู้กะตลอดหนึ่งปีที่เรียนที่นี่ ซึ่งจะต้องมีเพื่อนที่จะอยู่กับเราไปตลอดอยู่สามคน ตื่นเต้นโว้ย (ขอผู้ๆ สาตุ๊) พอนั่งคุยกันจนหนำแล้ว กล่องฉลากก็ได้วนมาเรื่อยๆจนมาถึงคาบเจ้า เลขที่ออกคือ เบอร์ห้า
เงยหน้าขึ้นมามอง ชะนีข้างๆก็ได้เลขเดียวกัน คิดในใจ อุ้ย หน้าตาดูติ๋มว่ะแก ( ไม่มองตัวเองเลย) นี่คือหนึ่งคนที่จะได้ใช้ชีวิตจากนี้ไปด้วยกันใช่ไหม แล้วอีกคนนี่ใครวะ (ขอผู้ๆ สาตุ๊)
พอได้ใบที่เขียนกะก็ทำให้รู้ว่า อีกคนเนี่ย เป็นผู้ชาย (แอร้ย! อยากเห็นหน้าแล้วอ้ะ) แอบดีใจนิดๆ จนอาจารย์ (ขอเปลี่ยนจากท่านหญิงนะ เพราะตอนนี้เรารู้แล้วว่านางเป็นใคร ) ให้ยกมือว่าใครได้เบอร์เดียวกัน... มาแล้วๆ ถึงเลขห้าแล้ว ชะนีข้างๆช่างมันเหอะ ไหนขอดูหน้าผู้หน่อย
อาจารย์- “อ่ะๆ ไหน แล้วเบอร์ห้าล่ะ”
พรึ่บ! หันไปหาอีกมือนึงที่ชูในอากาศ เจอไอแว่น หน้าตี๋ ตัวตัน!! โอ้ย เซ็งในจริตค่ะ หมดกันละชีวิตกู นี่ให้ใช้ชีวิตกับพวกนี้ใช่ป่ะ เอาจริงอ่อ มันจะรับกูได้ไหมเนี่ย ...เฮ้อ...
ช่างมัน เราก็ทำตัวดีๆแล้วกัน...
มีใครพอเดาออกบ้างไหม ว่าคาบเจ้ากำลังจะเรียนอะไร
.
.
.
จ๊ะ บอกเลยแล้วกันเนอะ “คาบเจ้าเรียนทำอาหาร สาขาครัวไทยที่ OHAP (School of The Oriental Hotel Apprenticeship Programme) หรือโรงเรียนการโรงแรมแห่งโรงแรมโอเรียนเต็ล รุ่นที่ 23 ค่ะ
เราจะลงเฉพาะรูปที่ถ่ายกันเองนะ ถ้ารูปแบบเป็นทางการเข้าไปดูที่นี่ได้จ้า
https://www.facebook.com/ohap.mohg
ต้องดูแต่ครัวไทยนะ 55555
อาทิตย์แรกๆของการเรียนได้เริ่มต้นขึ้นแล้ววว
เลือกเรียนสิ่งที่ชอบ ในเวลาที่ใช่ "จ่ายเงินร่วมแสน เพื่อไปยืนวันละ 9 ชั่วโมง"
๑
เคยอยากลองทำอะไรสักอย่าง แล้วยังไม่ได้ลงมือทำไหม?
เคยฝันอะไรเอาไว้แล้ว ทิ้งความฝันนั้นไปไหม?
เวลาผ่านมาร่วมสิบเดือน ที่อยากทำสิ่งนี้ ในที่สุดก็ได้เริ่มสักที
ชีวิตช่วงนี้ เป็นช่วงที่โคตรน่าจดจำไปตลอดชีวิต 1 ปีกับการเรียนในสิ่งที่รัก ที่ฝันเอาไว้ ตอนที่ได้ยินคนอื่นพูด ว่าการมาเรียนที่นี่ คุ้มค่ากับการลงทุนมาก เวลาแค่นี้ยังน้อยเกินไปที่จะยังสนุกกับมันอยู่ ในที่สุดก็ได้มาลองแล้ว!
จะยังไม่บอกว่า เรียนอะไร ที่ไหน อย่างไร แต่จะเล่าให้ฟังถึงตอนที่สอบเข้ามาเรียนที่นี่ก่อนนะฮะ
-เริ่มสมัคร-
มี 2 แบบคือซื้อใบสมัครที่นั่นเองเลย กับให้เขาส่งไปรษณีย์มาให้ คาบเจ้าเลือกเลย เดินไปสมัครเอง ตั้งแต่วันแรกที่เขาเปิด กะจะได้เขียนใบสมัครคนแรก เอาฤกษ์เอาชัย ได้เวลาดีสิบโมงถึงสถานที่พอดี เดินไปก็กระหยิ่มยิ้มย่อง
“หึ... เช้าขนาดนี้ วันแรกด้วย ไม่มีใครมาสมัครหรอก กูเนี่ยแหละ!คนแรก” เปิดประตูเข้าไปเจอชะนีหมวยหนึ่งนาง เขียนใบสมัครอยู่ เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ เลยยิ้มกลับไปเบาๆ
แต่ในใจคิดว่า “เป็นใคร! มาเช้าขนาดนี้ทำไม! กูผิดหวังนะเว่ย! แหน่ะๆ ยังจะมายิ้มอีก หอยเอ้ยยย ทำกูเสียฤกษ์หมด นะเมิงง”
ทรุดตัวลงนั่ง กรอกใบสมัครด้วยความเพลีย ระหว่างเขียนก็เหลือบตาไปมอง ...หึ ดีๆ นางเลือกเรียนคนละสาขากับเรา อย่างน้อยก็ไม่ต้องเจอกันแหละวะ...
ส่งใบสมัครเสร็จ ก็รอสอบข้อเขียน กี่เดือนรู้ไหม
5 เดือน (โว้ยยยยย) กูมาสมัครเร็วขนาดนี้เพื่อ.
-สอบข้อเขียน-
ก่อนหน้านี้ลองหาข้อมูลในพันทิพย์ว่าสอบเนี่ยเป็นไงบ้าง เขาบอก “สอบวิชาเดียวคือภาษาอังกฤษ ไม่มีความถนัดทางวิชาชีพใดๆทั้งสิ้น แค่แกรมม่านิดหน่อย ไม่ยากเท่าไหร่ แต่ต้องเตรียมตัวนะ” ก็เลยไปจัดแกรมม่าฉบับเร่งด่วนมาหนึ่งเล่ม อ่านต่อเนื่องหนึ่งเดือนก่อนสอบ
หลังจากรอจนแห้งมาไม่นานเท่าไหร่ (ห้าเดือน) ก็มาถึงวันสอบจริง มีคนถือหนังสืออังกฤษเล่มหนามา ตกใจ “เชี่ย...เรื่องจริงชิอ้ะ ขนาดนี้เลยหรอวะ แล้วกูจะติดไหม คนสอบก็เยอะแยะยุ่บยั่บ รับเท่าริดสีดวงมด ท่าจะหมดหวังซะแล้ว แต่!ไม่! กูต้องไม่ยอมแพ้ หนึ่งในริดสีดวงมด เหล่านั้นต้องเป็นชั้น!!”
เข้าไปนั่งสอบแบ่งเป็นสามช่วง คือ ฟัง อ่าน เขียน พอเจอข้อสอบ ทำไมแม็คจะหลุดจากกระดาษ ข้อสอบดูเยินๆนะ มารู้ทีหลังคือ ที่นี่นานๆจะเปลี่ยนข้อสอบที สรุปที่บากบั่นอ่านไป ข้อสอบไม่ยากอย่างที่คิดจ้า ส่งคนแรกๆของห้องด้วยนะ มั่นใจในศักยภาพมาก พอออกมาก็กลับบ้านสวยๆ ถึงบ้านปั๊บ ความกังวลมาทันที จะผ่านไหม ไม่ผ่านจะไปทำอะไรต่อ (ทึ้งผมจนร่วงสองกระหย่อม)
ดูผลในคอมฯ ผ่าน, จบ เครียดไปทำไม บอกแล้วชั้นเก่ง.
(คิดว่าจะผ่านสัมภาษณ์... เรอะ เหอะๆ ประมาทอีกแล้วนะเมิง)
-สอบสัมภาษณ์-
จากประชากรวัยมันส์ทั่วประเทศที่หลั่งไหลกันสมัครเข้ามา ผ่านมาสอบสัมภาษณ์เพียงเล็กน้อย คาบเจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้น ขีดเส้นใต้ หนึ่ง ในนั้น ใช่แล้ว คาบเจ้าได้(ลำดับ)ที่หนึ่ง หลังจากที่ตอนนั้นหลุดไปให้ชะนีหมวยตอนกรอกใบสมัคร ดีใจมั่กๆอ้ะ แอร้ย
เช้าวันสอบ นั่งรอแถวๆนั้น พร้อมโพยในมือ อีกทั้งพ่อแม่ก็เป่ากระหม่อมมาให้อย่างดี ก่อให้เกิดความมั่นใจเป็นอย่างมาก ได้ยินเสียงคนคุยกันเงยหน้าขึ้นมามอง เจอสตรีต่างภาษาต่างอายุเดินมาเป็นกลุ่ม ก็แอบฟังนางคุยกัน พอนางเดินไปสักพัก มีอีกนางนึงวิ่งมาหอบฮั่กๆ อายุอานามพอๆกับกลุ่มแรกที่ผ่านไป นางหยุดพักที่ตรงหน้าแล้วเหมือนจะมีคำถาม แถวนั้นก็ไม่มีใคร เราในฐานะคนไทย ต้องไม่ทำให้เขาผิดหวัง ชิงตอบแม่มเลย
คาบเจ้า -“ตรงไป เลี้ยวขวาขึ้นบันไดเลยค่ะแหม่ม.”
แหม่ม- “ขอบคุณนะหนู เธอช่างใจดีจีจี.”
นางรีบไปทางดังกล่าว คาบเจ้านั่งมอง ยิ้มเบาๆด้วยความดีใจ ไม่ถึงสิบวิ นางลงมาจากบันได ค้อนคาบเจ้าหนึ่งที แล้วมีพนง.เดินตามหลัง นางไม่ใช่หนึ่งในสตรีกลุ่มนั้น แล้วนางได้มาทำกิจกรรมที่คาบเจ้าแอบได้ยินมาอีกด้วย! ตอนนั้นอายคนเดียว คิดว่า เออ ก็ไม่รู้นี่หว่า (แล้วเจือกไปบอกเขาทำม้ายย ไม่ฟังเขาถามด้วยนะ) ช่างมัน จนมารู้ว่า มีเพื่อนที่เรียนมันอยู่ในเหตุการณ์นี้ด้วย! แล้วมันก็มาเล่าให้ฟังทีหลัง ทำให้อับอายยิ่งนัก!!!
ถึงเวลาสอบสัมภาษณ์สักที เดินเข้าไปอย่างผ่าเผย หย่อนก้นเบาๆลงไปตรงเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้ให้กลางห้อง กล่าวสวัสดีชายวัยกลางคนตรงกลาง ( อ่านเจอมาว่าคนตรงกลางใหญ่สุด เวลาสัมภาษณ์อะไรก็ตามที่คนสัมภาษณ์3,5คน ต้องทักทายคนกลางก่อน) ตามด้วยหญิงวัยกลางคนทั้งสองที่ประกบข้างอยู่
หลังจากพลิกประวัติอยู่สามวิ ก็เงยหน้าขึ้นมาถามว่า
ท่านชาย -“เรียนจบมาด้านนี้โดยตรง ฝึกงานกับสถานประกอบการที่มีชื่อเสียงมาก็นาน ทำไมยังจะมาเสียเวลาเรียนที่นี่อีกล่ะ”
คาบเจ้า- “อยากมีความชำนาญในสายงานนี้ให้มากยิ่งขึ้นค่ะ”
ท่านชาย- “ไม่ไปหางานทำล่ะ ได้เงินเลยนะ นี่ต้องมาเสียตังตั้งเยอะแยะ รู้ใช่ไหมว่าระบบการเรียนที่นี่เป็นยังไง”
คาบเจ้า- “รู้ค่ะ”
ท่านชาย- “ไหนเล่าให้ฟังหน่อยตอนคุณไปฝึกงาน”
คาบเจ้า- “ก่อนอื่นเลยนะคะก็ต้อง ๐!@^%$^*^&....”
ยังเล่าไม่ทันมันส์ ท่านหญิงด้านข้างก็เบรกด้วยคำถามขึ้นมา
ท่านหญิง- “ทำไมเลือกมาเรียนที่นี่แทนที่จะเป็นที่อื่น”
คาบเจ้า- “มั่นใจกับที่นี่ค่ะ ว่าสามารถทำให้เป็นมืออาชีพมากขึ้น”
และคำถามอีกมากมายในเวลาแค่สิบนาที ที่เหมือนจะผ่านไปช้าเหลือเกิน ในที่สุดก็หมดเวลาลง เลยต้องกล่าวลา และความหวังในใจก็ผุดขึ้นมาน้อยๆ ว่าคำถามที่ได้เตี๊ยมมา ตรงว่ะ สมาธิกูไม่หลุดเลยนะเว่ย หึ ไม่ไกลเกินเอื้อม
สามวันต่อมา ผลออก, ผ่าน เย้! ได้เรียนแว้วว บอกพ่อบอกแม่ ดีใจแทบปิดกรุงเทพเลี้ยง คราวนี้ก็ไปเตรียมตังค์ เตรียมใจที่จะไปวันเรียนปรับพื้นฐานที่จะมีขึ้นในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า จุ้กกรู้ว! ฮูเร่! ตบมหาราชสามชุด ปฏิบัติ!
แหน่ะ อยากรู้ล่ะสิ เรียนอะไร
.
.
.
.
.
.
.
.
อย่าเพิ่งเลื่อนลงไปสุดนะเธ้ออ
๒
มาถึงวันเรียนปรับพื้นฐานที่ไม่มีอะไรเลย ให้ไปนั่งหลับอย่างเดียว แล้วก็มีจ่ายค่าเทอม ตัดชุด วัดรองเท้า ข้ามไปวันปฐมนิเทศเลยละกัน
มานั่งในห้องเรียนไม้เล็กๆ กับผู้ร่วมชะตากรรมอีกสิบกว่าชีวิต มองไปมองมา ไม่คุ้นหน้าเลยวะ เพื่อนกูรึเปล่า ไม่ใช่มาผิดวันนะ... ก็มีการแนะนำตัวกันเล็กน้อย คุยแบบเป็นกันเองกับท่านหญิงที่สัมภาษณ์เราวันนั้น แต่วันนี้นอกจากปฐมนิเทศแล้ว มันคือวันที่ยิ่งใหญ่อีกวันนึงสำหรับคาบเจ้าเลยนะ เพราะวันนี้คือวันที่จะได้รู้กะตลอดหนึ่งปีที่เรียนที่นี่ ซึ่งจะต้องมีเพื่อนที่จะอยู่กับเราไปตลอดอยู่สามคน ตื่นเต้นโว้ย (ขอผู้ๆ สาตุ๊) พอนั่งคุยกันจนหนำแล้ว กล่องฉลากก็ได้วนมาเรื่อยๆจนมาถึงคาบเจ้า เลขที่ออกคือ เบอร์ห้า
เงยหน้าขึ้นมามอง ชะนีข้างๆก็ได้เลขเดียวกัน คิดในใจ อุ้ย หน้าตาดูติ๋มว่ะแก ( ไม่มองตัวเองเลย) นี่คือหนึ่งคนที่จะได้ใช้ชีวิตจากนี้ไปด้วยกันใช่ไหม แล้วอีกคนนี่ใครวะ (ขอผู้ๆ สาตุ๊)
พอได้ใบที่เขียนกะก็ทำให้รู้ว่า อีกคนเนี่ย เป็นผู้ชาย (แอร้ย! อยากเห็นหน้าแล้วอ้ะ) แอบดีใจนิดๆ จนอาจารย์ (ขอเปลี่ยนจากท่านหญิงนะ เพราะตอนนี้เรารู้แล้วว่านางเป็นใคร ) ให้ยกมือว่าใครได้เบอร์เดียวกัน... มาแล้วๆ ถึงเลขห้าแล้ว ชะนีข้างๆช่างมันเหอะ ไหนขอดูหน้าผู้หน่อย
อาจารย์- “อ่ะๆ ไหน แล้วเบอร์ห้าล่ะ”
พรึ่บ! หันไปหาอีกมือนึงที่ชูในอากาศ เจอไอแว่น หน้าตี๋ ตัวตัน!! โอ้ย เซ็งในจริตค่ะ หมดกันละชีวิตกู นี่ให้ใช้ชีวิตกับพวกนี้ใช่ป่ะ เอาจริงอ่อ มันจะรับกูได้ไหมเนี่ย ...เฮ้อ...
ช่างมัน เราก็ทำตัวดีๆแล้วกัน...
มีใครพอเดาออกบ้างไหม ว่าคาบเจ้ากำลังจะเรียนอะไร
.
.
.
จ๊ะ บอกเลยแล้วกันเนอะ “คาบเจ้าเรียนทำอาหาร สาขาครัวไทยที่ OHAP (School of The Oriental Hotel Apprenticeship Programme) หรือโรงเรียนการโรงแรมแห่งโรงแรมโอเรียนเต็ล รุ่นที่ 23 ค่ะ
เราจะลงเฉพาะรูปที่ถ่ายกันเองนะ ถ้ารูปแบบเป็นทางการเข้าไปดูที่นี่ได้จ้า
https://www.facebook.com/ohap.mohg
ต้องดูแต่ครัวไทยนะ 55555
อาทิตย์แรกๆของการเรียนได้เริ่มต้นขึ้นแล้ววว