ผู้หาญกล้านิรนาม ตอนที่ 6

กระทู้สนทนา
กระทู้ตอนที่ 1 http://ppantip.com/topic/30836756       
      กระทู้ตอนที่ 2  http://ppantip.com/topic/32018464
      กระทู้ตอนที่ 3 http://ppantip.com/topic/32059976
      กระทู้ตอนที่ 4 http://ppantip.com/topic/32078429
      กระทู้ตอนที่ 5 http://ppantip.com/topic/32116021

       ฝนเทลงมาแล้ว บางทีที่ฝนตกนี้อาจเพียงต้องการชำระความเศร้าทั้งมวลแก่แผ่นดินก็ได้  บัดนี้เป็นเวลาใกล้ยามทิ่ว (1.00-2.59 น.) จิวยู่อี่ตื่นขึ้น   ก่อนลืมตาเพียงขอให้ทุกอย่างเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่ง  ที่พอตื่นขึ้นก็พบเตียงที่สะอาดนุ่มนิ่มพร้อมบุรุษน่าตีข้างกาย  แต่เมื่อตื่นขึ้นมาเพียงพบความมืดที่โรยตัวอยู่ข้างกาย  บุรุษเคราครึ้มนั่งเอาหลังพิงเสาต้นหนึ่งส่งเสียงกรนดังลั่น  นางลุกขึ้นเดินเปะปะเพื่อจุดไฟเพื่อหมายจะหาน้ำดื่มแก้กระหาย  ทันใดนั้นนางได้ยินเสียงทึบที่เบื้องหน้าแลวัตถุหนึ่งถูกโยนเข้ามาในศาลเจ้า  เมื่อจิวยู่อี่เห็นก็กรีดร้องสุดเสียงเพราะเนื่องจากเป็นศรีษะของบ่าวบุรุษที่ยกข้าวให้นางทุกมื้อเมื่อตอนถูกคุมขังนั่นเอง  ไม่ทันกระพริบตามีดสั้นเล่มหนึ่งถูกขว้างมาที่ไหล่ซ้าย  แทบจะพร้อมกันบุรุษเคราครึ้มไม่ทราบปรากฏตัวอย่างไรใช้สองนิ้วคีบมีดสั้นเล่มนั้นไว้  ขณะที่จิวยู่อี่กำลังจะกรีดร้องบุรุษเคราครึ้มพลันจี้ดรรชนีออกไปยังท้ายทอย  ใต้รักแร้ และข้อพับของนางจำนวนสามแห่ง  นางไม่ทันทำกระไรก็ล้มลง  สองตาเบิกโพลงในใจนึกสงสัยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  เนื่องเพราะเมื่อนางล้มลงบุรุษเคราครึ้มก็หายไปแล้ว

      จิวยู่อี่เพียงกระพริบตาก็ปรากฏบุคคลลึกลับสวมใส่ชุดดำจำนวนสี่คนที่เบื้องหน้าทั้งหมดรูปร่างเท่ากัน  แต่งกายเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน   ไม่ช้าบุคคลลึกลับคนแรกกล่าวว่า

      “โชคดีที่นางยังมีลมหายใจอยู่”

      “เราบอกเจ้าแล้วเล่ายี่ว่าอย่าปามีดใส่นาง  หากนางเป็นไรไปเฮ้งสี่ตงคงมิเอาเราไว้แน่”  

      “ไม่ต้องกล่าวกระไรตอนนี้เราคาดว่าขวัญนางคงกระเจิงไปตั้งแต่เราโยนหัวบ่าวไพร่เข้ามาแล้ว”  กล่าวจบบุคคลลึกลับเดินเข้าไปและจะอุ้มนางพาดบ่า  ทันใดมันรู้สึกถึงลมหอบหนึ่งพัดมาปะทะที่หน้าอกจากนั้นล้มตึงกระอักโลหิตเสียชีวิตไป  ฝ่ายกลุ่มคนลึกลับนั้นเมื่อเห็นสมาชิกจู่ๆก็ล้มตัวลง  จึงงงงันวูบหนึ่ง เมื่อได้สติจึงทราบว่าพบพานยอดคนแล้ว  จึงพยักหน้าแก่กันจากนั้นพากันใช้ออกด้วยอาวุธลับทั้งหมดที่มีจากนั้นวิชาตัวเบาเหินแตกกระจายไปคนละทิศทาง  คนแรกกระโดดออกไปราวหกเจ็ดวา เมื่อกำลังจะทิ้งตัวลงพื้นเพื่อหยิบยืมกำลัง จู่ๆเท้าก็พลันไม่มีแรงให้หยิบยืม  เมื่อเหลียวมองก็เห็นเข่าของตนบิดไปในลักษณะพิกล  จากนั้นความเจ็บปวดที่มิเคยลิ้มรสก็ประดังเข้ามา  

      คนที่สองมีวิชาตัวเบาไม่ดีนักแต่เมื่อก้าวไปสองก้าวก็หันกลับมาหมายแบกศพเพื้อนพ้องไปด้วย  แต่ก็พบว่าข้อพับเข่าถูกก้อนหินเล็กๆดีดใส่และฝังลงไปสร้างความเจ็บปวดจนต้องร้องลั่น  ฝ่ายคนที่สามนั้นมีตัวเบาล้ำเลิศเพียงก้าวเท้าออกก็ใช้ออกด้วยท่าตั๊กแตนขาวเหินฟ้าชิงล้ำหน้าออกไปหลายสิบวาแต่ทันใด  เบื้องหน้ามันพบบุรุษเคราครึ้มผู้หนึ่งยืนจิบสุราจากกระปุกเคลือบอยู่  ความจริงแล้วด้วยความรวดเร็วระดับนี้ย่อมเห็นภาพต่างๆได้เพียงแค่ผ่านเลยไป  แต่ด้วยเหตุใดมิทราบได้มันกลับเลเห็นบุรุษนั้นเนิ่นนานเสมือนทุกสิ่งหยุดอยู่ตรงนั้น  เมื่อฉุกใจคิดความเจ็บปวดก็ประดังเข้ามาเป็นระลอกเนื่องจากขาคู่นั้นของมันหักไปแล้ว  ขาที่มอบความประเปรียวว่องไว  ขาที่มันมั่นใจว่าในวงนักเลงยากจะมีใครติดตามทัน  มันพบว่าที่แล้วมาความมั่นใจของมันเป็นเพียงวาจาผีสางหลอกลวงตัวเองทั้งนั้น  

      จิวยู่อี่แลเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด  บัดนี้นางทราบแล้วว่าบุรุษเคราครึ้มผู้นี้มิใช่ชายซอมซ่อยากจนอีก  ไม่ทันกระพริบบุรุษผู้นั้นก็เหินตัวลงดุจปักษาใหญ่พร้อมหิ้วร่างทั้งสามลงเหวี่ยงไปหน้าแท่นบูชา  และด้วยความเร็วที่สุดคาดคิดผ้าคลุมหน้าของทั้งสามหลุดออกไปอยู่ในมือบุรุษเคราครึ้มทั้งหมด  ดังนั้นจึงแลเห็นเค้าหน้าของทั้งสาม  ทั้งหมดมีหน้าตาคล้ายกันเพียงแต่มีวัยแตกต่างกันบ้าง  คนแรกที่ใช้วิชาตัวเบาตั๊กแตนขาวเหินฟ้ามีผมสีดอกเลาคาดได้ว่าน่าจะเป็นเล่าตั่ว  คนที่สองมีไฝเม็ดใหญ่ที่แก้มซ้าย  อีกคนมีรอยแผลเป็นพาดตั้งแต่แก้มซ้ายผ้านจมูกดุไปเป็นบุคลิกที่เหี้ยมหาญยิ่ง  จากนั้นบุรุษเคราครึ้มเดินไปที่ศพของมือสังหารคนแรกลอบถอดทอนใจหลายครั้งจากนั้นกล่าวพึมพัม  จิวยู่อี่พอจับใจความได้เพียงว่า “บาปกรรม บาปกรรม  เป็นพลังฝีมือที่ชั่วร้ายเกินไปจริงๆ”  จากนั้นหันหลังกับสาดประกายตาดุจสายฟ้าไปยังมือสังหารทั้งสามแล้วกล่าวด้วยเสียวกราดเกรี้ยวว่า

      “พวกเจ้าทั้งสาม  หากใครต้องการมีชีวิตอยู่จงบอกแก่เราโดยดีว่าเป้นผู้ใดส่งเจ้ามา  ยิ่งเร็วยิ่งประเสริฐ เราเล่ายิ้มมิชอบรออันใดเนิ่นนาน”

      “ผายลม มารดาเจ้า  อยากฆ่าก็ฆ่ามิต้องกล่าวมากความ  พวกบิดาสี่พิฆาตกวนตงมิเคยรับการข่มขู่จากผู้ใด”มือสังหารที่คิดว่าเป็นเล่าตั่วเอ่ย

      “ผายลมบิดาเจ้า  ในโลกนี้ไม่เคยมีใครข่มขู่พวกบิดาได้  วันนี้ถ้าเล่าตั่วมิใช่เกรงว่าซ้อจื้อจะถูกเฮ้งสี่ตงย่ำยี  มีหรือจะยอมกระทำ”ชายคนที่มีไฝบนใบหน้าตะคอกด้วยวาจาขึงขังเมื่อกล่าวจบแลเห็นหน้าเล่าตั่วก็พบว่าผิดท่า  เพียงแต่ขบคิดไม่เข้าใจว่าตนเองกล่าวเรื่องใดผิดไป

      “เล่าซา  ท่านกล่าวาจาให้น้อยลงเถิด  ท่านมิเห็นหรือว่าตอนนี้เล่าตั่วกำลังต่อรองกับศัตรูอยู่  เพียงท่านเอ่ยปากก็เปิดเผยแล้วว่าเราเป็นเพียงสุนัขที่รับการข่มขู่จากเดียรัจฉานเฮ้งสี่ตงเท่านั้น  หากเป็นเช่นนี้เราจะแบกเอายี่ห้อสี่พิฆาตกวนตงไปไว้ที่ใด”บุรุษที่มีเค้าเหี้ยมหาญกล่าวตำหนิ  แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใดเล่าตั่วกลับมีสีหน้าบูดบึ้งยิ่งขึ้น

      “เช่นนี้เราก็เปลี่ยนเป็น สี่ค้ำฟ้ากวนตง  สี่หอเหล็กกวนตง  สี่ยมทูตกวนตงจะเป็นไร  เล่าสี่ท่านไฉนต้องกังวลไป”  มือสัหารที่เป็นเล่าซาอย่างไรก็ต้องทุ่มเถียงให้ได้แม้ว่าจะรู้อยุ่เต็มประดาว่าตนเองเป็นฝ่ายผิด  จากนั้นเหมือนคิดอะไรได้จึงสะอึกสะอื้นกล่าวว่า “แต่....แต่  ตอนนี้เราไม่มีสี่คนกันแล้ว จะเป็นสี่พิฆาต  สี่ยมทูตอะไรอีก  เจ้าลูกเต่าเราจะถล่มบรรพบุรุษเจ้าสิบแปดรุ่น  ต่อให้เราตายเป็นผีก็จะไม่ละเว้นเจ้าเซ่นสังเวยให้เล่ายี่ของเรา” กล่าวจบพลันฟุบหน้าลงกับพื้นร้องไห้สะอึกสะอื้นไป

      “เราจะขอย้ำอีกครั้งหนึ่ง  หากพวกเจ้ายังเล่นลิ้นอยู่เราประกันได้ว่า  แม้พวกเจ้าจะมีสิบลิ้นก็ไม่เพียงพอต่อเรา” บุรุษเคราครึ้มถามด้วยความเคียดขึ้ง

      “ผายลมเจ้าลูกสุนัข  บิดาสี่พิฆาตกวนตงไยกลัวต่อคำข่มขู่ของเด็กน้อยเจ้าหากจะฆ่าก็ฆ่าเถิด”  มือสังหารผู้เป็นเล่าสี่ตอบ

      เมื่อได้ยินดังนั้นเล่าซาหยุดสะอึกสะอื้น  อุทานดังอา  หันไปกล่าวกับเล่าตั่วว่า  “ตั่วกอเช่นนี้ย่ำแย่แล้ว”

      “เรื่องอันใด?”

      “หากมันกราบกรานพวกเราแล้วเรียกบิดา  เราสามมิกลายเป็นสุนัขไปแล้วรึ?”

      เล่าตั่วขุ่นแค้นจนหน้าเขียวมันทราบดีว่าตีตี๋ของมันคนนี้มีตรรกะประหลาดพิกล  แต่วันนี้เมื่ออยู่ในเงื้อมมือมัจุราชไฉนยังมีกระจิตกระใจล้อเล่น  มันกลับกระอักกระอ่วนยิ่ง ไม่ทันกล่าวกระไรเล่าซาก็รีบปาดน้ำตาแล้วชิงกล่าวว่า

      “เล่าสี่เจ้าอย่างหลงกล  เราไม่หลงกลหลอกเด็กของเจ้าหรอกคิดฆ่าฟันก็ไม่เห็นน่ากลัวอันใด  แต่เราสามจะไม่ลดตัวเป็นสุนัขให้เจ้าเรียกหา  เจ้าลูกเง็กเซียน  บิดาเจ้าเป็นชายงามกล้าหาญอันดับหนึ่งของแผ่นดิน ฮาฮา”  จะอย่างไรในความคิดเล่าซาคำเหล่านี้เป็นคำที่ต้องการเอารัดเอาเปรียบและกลบเกลี่อนความผิดพลาดของเล่าสี่ที่มันคิดนั่นเอง

    “เล่าซาเจ้าว่าเช่นนี้ไยมิใช่บ่งบอกว่าบิดามันเลิศเลอหรือ  บิดามันเป็นเป็นสุนัขโสโครกเท่านั้นมิใช่เป็นอย่างเด็กน้อยเจ้าว่า”

    “มิใช่ๆ ผิดแล้วเล่าสี่  เจ้ากล่าวผิดแล้วหากเจ้าเหมารวมดังนี้พวกเราไยมิกลายเป็นสุนัขไป  เราเอี๊ยบเล่าซาไม่ยินดีเป็นสุนัขบิดามันเด็ดขาด”  มือสังหารผู้เป็นเล่าซาว่า  ยิ่งกล่าวว่าจาทั้งสองยิ่งทะเลาะกันจนหน้าขุ่นเขียวโดยมิมีผู้ใดยอมกัน  ฝ่ายผู้เป็นเล่าตั่วเงียบงันมิกล่าววาจาได้แต่มองไปยังสองตีตี๋ที่ทะเลาะกันของมัน  
       
       ฝ่ายบุรุษเคราครึ้มอดทนฟังสักพักเห็นสองพี่น้องมิมีทีท่าว่าจะเลิกทะเลาะกันจึงเอ่ยวาจาด้วยเสียงอันดังก้องว่า  “หยุดปากให้แก่เรา  หากเจ้าสองพี่น้องไม่หยุดปากโสโครกอีก เราจะเลาะฟันเล่าตั่วพวกเจ้าออกมาทอดเป็นลูกเต๋าไพ่เก้าเสีย”

       แต่สองพี่น้องไม่มีทีท่าว่าจะหยุดทุ่มเถียงกันแต่อย่างใด  เล่าตั่วเห็นดังนั้นก็รู้สึกอดสูยิ่งจึงทะลึ่งตัวหมายเอาศรีษะชนกำแพงเพื่อหลีกหนีความอัปยศครั้งนี้  บุรุษเคราครึ้มเหมือนจะสังเกตุเห็นเมื่อศรีษะของผู้เป็นเล่าตั่วห่างจากกำแพงไม่กี่หุนก็ชิงใช้วิชาคว้าจับออกอย่างแยบคายพร้อมทั้งสกัดจุดของมันไว้โดยมิให้มือสังหารที่เหลือเห็น

      ฝ่ายมือสังหารอีกสองคนที่เหลือเห็นดังนั้นก็หยุดทุ่มเถียงกันเรื่องบุรุษเคราครึ้ม  หันมาทางเล่าตั่วที่นอนอยู่  จากนั้นคนเป็นเล่าสี่ชิงกล่าวว่า

      “เล่าซา  เป็นเพราะท่านทำให้เล่าตั่วตาย  หากเจ้ามิเอาแต่ทุ่มเถียงกับเราเล่าตัวคงไม่คิดสั้นอย่างนี้”

      “เป็นเพราะเจ้าต่างหาก  หากเจ้าไม่คอยขัดเรามีหรือเราจะทุ่มเถียงกัน”

      บุรุษเคราครึ้มเห็นว่าทั้งสองไม่มีทีท่าว่าจะหยุดทุ่มเถียงในที่สุดก็อดรนทนไม่ได้จึงใช้ออกด้วยท่าดรรชนีสกัดจุดของทั้งสอง  ฝ่ายเล่าตั่วที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต้องตระหนกกับระดับฝีมือของบุรุษเคราครึ้ม  เนื่องเพราะเมื่อใช้ดรรชนีออกจนกระทบร่างสองพี่น้อง  บุรุษเคราครึ้มอยู่ห่างออกไปมิต่ำกว่าสองวา  เมื่อทั้งสองสงบลงบุรุษเคราครึ้มจึงคลายจุดแก่เล่าตั่วแล้วถามว่า

      “สี่พิฆาตกวนตงคงนับท่านเป็นเล่าตั่วใช่หรือไม่?”

      “เป็นเรา”

      “ท่านกระทำดังนี้  ด้วยเหตุอันใด?”  บุรุษเคราครึ้มยังคงถามคำถามที่ทื่อด้านยิ่ง

      “เจ้าฆ่าเราเสียเถิด  เราประกันว่าเจ้าจะมิได้รับคำตอบแน่”

       “สบายใจเถิด  เรามิฆ่าท่านแน่นอน  หากเราจะฆ่าเราจะเริ่มที่พี่น้องของท่านก่อน  แล้วเราประกันได้เมื่อเราเอ่ยฆ่าคืนนี้พี่น้องเจ้าทั้งสองต้องมิมีโอกาสได้เห็นแสงตะวันพรุ่งนี้อีกเด็ดขาด”

      “เจ้าจะฆ่าก็ฆ่าเถิด  มิต้องกล่าวให้เปลืองน้ำลายไป  เราสี่พิฆาตกวนตงแม้เป็นชาวมิจฉาชีพแต่เรามิยอมให้เจ้าดูแคลนว่าเราเป็นคนขลาดเขลากลัวตายหรอก” เล่าตั่วกระชากเสียงตอบ  

       บุรุษเคราครึ้มเห็นมันยอมตายไม่ยอมสยบจึงนึกชื่นชมธาตุทรนงในตัวมันจึงครุ่นคิดว่า  “เช่นนี้เราควรไว้ชีวิตมันสักคราหรือไม่?”  จากนั้นมันปั้นหน้าเคร่งเครียดกล่าวว่า

       “เราจะนับแค่สามเท่านั้น  หนึ่ง  สอง .........สาม”  จากนั้นบุรุษเคราครึ้มพลันใช้ออกด้วยดรรชนีสุดพิสดาร  เพราะเพียงแค่กระพริบตาเล่าซาและเล่าสี่ก็ลืมตาโพลงแน่นิ่งไป

       “ประเสริฐๆ ฆ่าฟันได้ประเสริฐ  เจ้าเอาดรรชนีนั้นทิ่มแทงสังหารเราด้วยอีกคนเถิด  วันนี้เราพลาดท่าตายใต้เงื้อมมือท่านเราก็มิเสียใจหรอก”

       “ดี” บุรุษเคราครึ้มคำรามลั่น  จากนั้นทุกสรรพสิ่งที่เล่าตั่วรู้สึกพลันมืดดับไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่