กระทู้ตอนที่ 1
http://ppantip.com/topic/30836756
กระทู้ตอนที่ 2
http://ppantip.com/topic/32018464
กระทู้ตอนที่ 3
http://ppantip.com/topic/32059976
กระทู้ตอนที่ 4
http://ppantip.com/topic/32078429
กระทู้ตอนที่ 5
http://ppantip.com/topic/32116021
ฝนเทลงมาแล้ว บางทีที่ฝนตกนี้อาจเพียงต้องการชำระความเศร้าทั้งมวลแก่แผ่นดินก็ได้ บัดนี้เป็นเวลาใกล้ยามทิ่ว (1.00-2.59 น.) จิวยู่อี่ตื่นขึ้น ก่อนลืมตาเพียงขอให้ทุกอย่างเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่ง ที่พอตื่นขึ้นก็พบเตียงที่สะอาดนุ่มนิ่มพร้อมบุรุษน่าตีข้างกาย แต่เมื่อตื่นขึ้นมาเพียงพบความมืดที่โรยตัวอยู่ข้างกาย บุรุษเคราครึ้มนั่งเอาหลังพิงเสาต้นหนึ่งส่งเสียงกรนดังลั่น นางลุกขึ้นเดินเปะปะเพื่อจุดไฟเพื่อหมายจะหาน้ำดื่มแก้กระหาย ทันใดนั้นนางได้ยินเสียงทึบที่เบื้องหน้าแลวัตถุหนึ่งถูกโยนเข้ามาในศาลเจ้า เมื่อจิวยู่อี่เห็นก็กรีดร้องสุดเสียงเพราะเนื่องจากเป็นศรีษะของบ่าวบุรุษที่ยกข้าวให้นางทุกมื้อเมื่อตอนถูกคุมขังนั่นเอง ไม่ทันกระพริบตามีดสั้นเล่มหนึ่งถูกขว้างมาที่ไหล่ซ้าย แทบจะพร้อมกันบุรุษเคราครึ้มไม่ทราบปรากฏตัวอย่างไรใช้สองนิ้วคีบมีดสั้นเล่มนั้นไว้ ขณะที่จิวยู่อี่กำลังจะกรีดร้องบุรุษเคราครึ้มพลันจี้ดรรชนีออกไปยังท้ายทอย ใต้รักแร้ และข้อพับของนางจำนวนสามแห่ง นางไม่ทันทำกระไรก็ล้มลง สองตาเบิกโพลงในใจนึกสงสัยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องเพราะเมื่อนางล้มลงบุรุษเคราครึ้มก็หายไปแล้ว
จิวยู่อี่เพียงกระพริบตาก็ปรากฏบุคคลลึกลับสวมใส่ชุดดำจำนวนสี่คนที่เบื้องหน้าทั้งหมดรูปร่างเท่ากัน แต่งกายเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน ไม่ช้าบุคคลลึกลับคนแรกกล่าวว่า
“โชคดีที่นางยังมีลมหายใจอยู่”
“เราบอกเจ้าแล้วเล่ายี่ว่าอย่าปามีดใส่นาง หากนางเป็นไรไปเฮ้งสี่ตงคงมิเอาเราไว้แน่”
“ไม่ต้องกล่าวกระไรตอนนี้เราคาดว่าขวัญนางคงกระเจิงไปตั้งแต่เราโยนหัวบ่าวไพร่เข้ามาแล้ว” กล่าวจบบุคคลลึกลับเดินเข้าไปและจะอุ้มนางพาดบ่า ทันใดมันรู้สึกถึงลมหอบหนึ่งพัดมาปะทะที่หน้าอกจากนั้นล้มตึงกระอักโลหิตเสียชีวิตไป ฝ่ายกลุ่มคนลึกลับนั้นเมื่อเห็นสมาชิกจู่ๆก็ล้มตัวลง จึงงงงันวูบหนึ่ง เมื่อได้สติจึงทราบว่าพบพานยอดคนแล้ว จึงพยักหน้าแก่กันจากนั้นพากันใช้ออกด้วยอาวุธลับทั้งหมดที่มีจากนั้นวิชาตัวเบาเหินแตกกระจายไปคนละทิศทาง คนแรกกระโดดออกไปราวหกเจ็ดวา เมื่อกำลังจะทิ้งตัวลงพื้นเพื่อหยิบยืมกำลัง จู่ๆเท้าก็พลันไม่มีแรงให้หยิบยืม เมื่อเหลียวมองก็เห็นเข่าของตนบิดไปในลักษณะพิกล จากนั้นความเจ็บปวดที่มิเคยลิ้มรสก็ประดังเข้ามา
คนที่สองมีวิชาตัวเบาไม่ดีนักแต่เมื่อก้าวไปสองก้าวก็หันกลับมาหมายแบกศพเพื้อนพ้องไปด้วย แต่ก็พบว่าข้อพับเข่าถูกก้อนหินเล็กๆดีดใส่และฝังลงไปสร้างความเจ็บปวดจนต้องร้องลั่น ฝ่ายคนที่สามนั้นมีตัวเบาล้ำเลิศเพียงก้าวเท้าออกก็ใช้ออกด้วยท่าตั๊กแตนขาวเหินฟ้าชิงล้ำหน้าออกไปหลายสิบวาแต่ทันใด เบื้องหน้ามันพบบุรุษเคราครึ้มผู้หนึ่งยืนจิบสุราจากกระปุกเคลือบอยู่ ความจริงแล้วด้วยความรวดเร็วระดับนี้ย่อมเห็นภาพต่างๆได้เพียงแค่ผ่านเลยไป แต่ด้วยเหตุใดมิทราบได้มันกลับเลเห็นบุรุษนั้นเนิ่นนานเสมือนทุกสิ่งหยุดอยู่ตรงนั้น เมื่อฉุกใจคิดความเจ็บปวดก็ประดังเข้ามาเป็นระลอกเนื่องจากขาคู่นั้นของมันหักไปแล้ว ขาที่มอบความประเปรียวว่องไว ขาที่มันมั่นใจว่าในวงนักเลงยากจะมีใครติดตามทัน มันพบว่าที่แล้วมาความมั่นใจของมันเป็นเพียงวาจาผีสางหลอกลวงตัวเองทั้งนั้น
จิวยู่อี่แลเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด บัดนี้นางทราบแล้วว่าบุรุษเคราครึ้มผู้นี้มิใช่ชายซอมซ่อยากจนอีก ไม่ทันกระพริบบุรุษผู้นั้นก็เหินตัวลงดุจปักษาใหญ่พร้อมหิ้วร่างทั้งสามลงเหวี่ยงไปหน้าแท่นบูชา และด้วยความเร็วที่สุดคาดคิดผ้าคลุมหน้าของทั้งสามหลุดออกไปอยู่ในมือบุรุษเคราครึ้มทั้งหมด ดังนั้นจึงแลเห็นเค้าหน้าของทั้งสาม ทั้งหมดมีหน้าตาคล้ายกันเพียงแต่มีวัยแตกต่างกันบ้าง คนแรกที่ใช้วิชาตัวเบาตั๊กแตนขาวเหินฟ้ามีผมสีดอกเลาคาดได้ว่าน่าจะเป็นเล่าตั่ว คนที่สองมีไฝเม็ดใหญ่ที่แก้มซ้าย อีกคนมีรอยแผลเป็นพาดตั้งแต่แก้มซ้ายผ้านจมูกดุไปเป็นบุคลิกที่เหี้ยมหาญยิ่ง จากนั้นบุรุษเคราครึ้มเดินไปที่ศพของมือสังหารคนแรกลอบถอดทอนใจหลายครั้งจากนั้นกล่าวพึมพัม จิวยู่อี่พอจับใจความได้เพียงว่า “บาปกรรม บาปกรรม เป็นพลังฝีมือที่ชั่วร้ายเกินไปจริงๆ” จากนั้นหันหลังกับสาดประกายตาดุจสายฟ้าไปยังมือสังหารทั้งสามแล้วกล่าวด้วยเสียวกราดเกรี้ยวว่า
“พวกเจ้าทั้งสาม หากใครต้องการมีชีวิตอยู่จงบอกแก่เราโดยดีว่าเป้นผู้ใดส่งเจ้ามา ยิ่งเร็วยิ่งประเสริฐ เราเล่า
มิชอบรออันใดเนิ่นนาน”
“ผายลม มารดาเจ้า อยากฆ่าก็ฆ่ามิต้องกล่าวมากความ พวกบิดาสี่พิฆาตกวนตงมิเคยรับการข่มขู่จากผู้ใด”มือสังหารที่คิดว่าเป็นเล่าตั่วเอ่ย
“ผายลมบิดาเจ้า ในโลกนี้ไม่เคยมีใครข่มขู่พวกบิดาได้ วันนี้ถ้าเล่าตั่วมิใช่เกรงว่าซ้อจื้อจะถูกเฮ้งสี่ตงย่ำยี มีหรือจะยอมกระทำ”ชายคนที่มีไฝบนใบหน้าตะคอกด้วยวาจาขึงขังเมื่อกล่าวจบแลเห็นหน้าเล่าตั่วก็พบว่าผิดท่า เพียงแต่ขบคิดไม่เข้าใจว่าตนเองกล่าวเรื่องใดผิดไป
“เล่าซา ท่านกล่าวาจาให้น้อยลงเถิด ท่านมิเห็นหรือว่าตอนนี้เล่าตั่วกำลังต่อรองกับศัตรูอยู่ เพียงท่านเอ่ยปากก็เปิดเผยแล้วว่าเราเป็นเพียงสุนัขที่รับการข่มขู่จากเดียรัจฉานเฮ้งสี่ตงเท่านั้น หากเป็นเช่นนี้เราจะแบกเอายี่ห้อสี่พิฆาตกวนตงไปไว้ที่ใด”บุรุษที่มีเค้าเหี้ยมหาญกล่าวตำหนิ แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใดเล่าตั่วกลับมีสีหน้าบูดบึ้งยิ่งขึ้น
“เช่นนี้เราก็เปลี่ยนเป็น สี่ค้ำฟ้ากวนตง สี่หอเหล็กกวนตง สี่ยมทูตกวนตงจะเป็นไร เล่าสี่ท่านไฉนต้องกังวลไป” มือสัหารที่เป็นเล่าซาอย่างไรก็ต้องทุ่มเถียงให้ได้แม้ว่าจะรู้อยุ่เต็มประดาว่าตนเองเป็นฝ่ายผิด จากนั้นเหมือนคิดอะไรได้จึงสะอึกสะอื้นกล่าวว่า “แต่....แต่ ตอนนี้เราไม่มีสี่คนกันแล้ว จะเป็นสี่พิฆาต สี่ยมทูตอะไรอีก เจ้าลูกเต่าเราจะถล่มบรรพบุรุษเจ้าสิบแปดรุ่น ต่อให้เราตายเป็นผีก็จะไม่ละเว้นเจ้าเซ่นสังเวยให้เล่ายี่ของเรา” กล่าวจบพลันฟุบหน้าลงกับพื้นร้องไห้สะอึกสะอื้นไป
“เราจะขอย้ำอีกครั้งหนึ่ง หากพวกเจ้ายังเล่นลิ้นอยู่เราประกันได้ว่า แม้พวกเจ้าจะมีสิบลิ้นก็ไม่เพียงพอต่อเรา” บุรุษเคราครึ้มถามด้วยความเคียดขึ้ง
“ผายลมเจ้าลูกสุนัข บิดาสี่พิฆาตกวนตงไยกลัวต่อคำข่มขู่ของเด็กน้อยเจ้าหากจะฆ่าก็ฆ่าเถิด” มือสังหารผู้เป็นเล่าสี่ตอบ
เมื่อได้ยินดังนั้นเล่าซาหยุดสะอึกสะอื้น อุทานดังอา หันไปกล่าวกับเล่าตั่วว่า “ตั่วกอเช่นนี้ย่ำแย่แล้ว”
“เรื่องอันใด?”
“หากมันกราบกรานพวกเราแล้วเรียกบิดา เราสามมิกลายเป็นสุนัขไปแล้วรึ?”
เล่าตั่วขุ่นแค้นจนหน้าเขียวมันทราบดีว่าตีตี๋ของมันคนนี้มีตรรกะประหลาดพิกล แต่วันนี้เมื่ออยู่ในเงื้อมมือมัจุราชไฉนยังมีกระจิตกระใจล้อเล่น มันกลับกระอักกระอ่วนยิ่ง ไม่ทันกล่าวกระไรเล่าซาก็รีบปาดน้ำตาแล้วชิงกล่าวว่า
“เล่าสี่เจ้าอย่างหลงกล เราไม่หลงกลหลอกเด็กของเจ้าหรอกคิดฆ่าฟันก็ไม่เห็นน่ากลัวอันใด แต่เราสามจะไม่ลดตัวเป็นสุนัขให้เจ้าเรียกหา เจ้าลูกเง็กเซียน บิดาเจ้าเป็นชายงามกล้าหาญอันดับหนึ่งของแผ่นดิน ฮาฮา” จะอย่างไรในความคิดเล่าซาคำเหล่านี้เป็นคำที่ต้องการเอารัดเอาเปรียบและกลบเกลี่อนความผิดพลาดของเล่าสี่ที่มันคิดนั่นเอง
“เล่าซาเจ้าว่าเช่นนี้ไยมิใช่บ่งบอกว่าบิดามันเลิศเลอหรือ บิดามันเป็นเป็นสุนัขโสโครกเท่านั้นมิใช่เป็นอย่างเด็กน้อยเจ้าว่า”
“มิใช่ๆ ผิดแล้วเล่าสี่ เจ้ากล่าวผิดแล้วหากเจ้าเหมารวมดังนี้พวกเราไยมิกลายเป็นสุนัขไป เราเอี๊ยบเล่าซาไม่ยินดีเป็นสุนัขบิดามันเด็ดขาด” มือสังหารผู้เป็นเล่าซาว่า ยิ่งกล่าวว่าจาทั้งสองยิ่งทะเลาะกันจนหน้าขุ่นเขียวโดยมิมีผู้ใดยอมกัน ฝ่ายผู้เป็นเล่าตั่วเงียบงันมิกล่าววาจาได้แต่มองไปยังสองตีตี๋ที่ทะเลาะกันของมัน
ฝ่ายบุรุษเคราครึ้มอดทนฟังสักพักเห็นสองพี่น้องมิมีทีท่าว่าจะเลิกทะเลาะกันจึงเอ่ยวาจาด้วยเสียงอันดังก้องว่า “หยุดปากให้แก่เรา หากเจ้าสองพี่น้องไม่หยุดปากโสโครกอีก เราจะเลาะฟันเล่าตั่วพวกเจ้าออกมาทอดเป็นลูกเต๋าไพ่เก้าเสีย”
แต่สองพี่น้องไม่มีทีท่าว่าจะหยุดทุ่มเถียงกันแต่อย่างใด เล่าตั่วเห็นดังนั้นก็รู้สึกอดสูยิ่งจึงทะลึ่งตัวหมายเอาศรีษะชนกำแพงเพื่อหลีกหนีความอัปยศครั้งนี้ บุรุษเคราครึ้มเหมือนจะสังเกตุเห็นเมื่อศรีษะของผู้เป็นเล่าตั่วห่างจากกำแพงไม่กี่หุนก็ชิงใช้วิชาคว้าจับออกอย่างแยบคายพร้อมทั้งสกัดจุดของมันไว้โดยมิให้มือสังหารที่เหลือเห็น
ฝ่ายมือสังหารอีกสองคนที่เหลือเห็นดังนั้นก็หยุดทุ่มเถียงกันเรื่องบุรุษเคราครึ้ม หันมาทางเล่าตั่วที่นอนอยู่ จากนั้นคนเป็นเล่าสี่ชิงกล่าวว่า
“เล่าซา เป็นเพราะท่านทำให้เล่าตั่วตาย หากเจ้ามิเอาแต่ทุ่มเถียงกับเราเล่าตัวคงไม่คิดสั้นอย่างนี้”
“เป็นเพราะเจ้าต่างหาก หากเจ้าไม่คอยขัดเรามีหรือเราจะทุ่มเถียงกัน”
บุรุษเคราครึ้มเห็นว่าทั้งสองไม่มีทีท่าว่าจะหยุดทุ่มเถียงในที่สุดก็อดรนทนไม่ได้จึงใช้ออกด้วยท่าดรรชนีสกัดจุดของทั้งสอง ฝ่ายเล่าตั่วที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต้องตระหนกกับระดับฝีมือของบุรุษเคราครึ้ม เนื่องเพราะเมื่อใช้ดรรชนีออกจนกระทบร่างสองพี่น้อง บุรุษเคราครึ้มอยู่ห่างออกไปมิต่ำกว่าสองวา เมื่อทั้งสองสงบลงบุรุษเคราครึ้มจึงคลายจุดแก่เล่าตั่วแล้วถามว่า
“สี่พิฆาตกวนตงคงนับท่านเป็นเล่าตั่วใช่หรือไม่?”
“เป็นเรา”
“ท่านกระทำดังนี้ ด้วยเหตุอันใด?” บุรุษเคราครึ้มยังคงถามคำถามที่ทื่อด้านยิ่ง
“เจ้าฆ่าเราเสียเถิด เราประกันว่าเจ้าจะมิได้รับคำตอบแน่”
“สบายใจเถิด เรามิฆ่าท่านแน่นอน หากเราจะฆ่าเราจะเริ่มที่พี่น้องของท่านก่อน แล้วเราประกันได้เมื่อเราเอ่ยฆ่าคืนนี้พี่น้องเจ้าทั้งสองต้องมิมีโอกาสได้เห็นแสงตะวันพรุ่งนี้อีกเด็ดขาด”
“เจ้าจะฆ่าก็ฆ่าเถิด มิต้องกล่าวให้เปลืองน้ำลายไป เราสี่พิฆาตกวนตงแม้เป็นชาวมิจฉาชีพแต่เรามิยอมให้เจ้าดูแคลนว่าเราเป็นคนขลาดเขลากลัวตายหรอก” เล่าตั่วกระชากเสียงตอบ
บุรุษเคราครึ้มเห็นมันยอมตายไม่ยอมสยบจึงนึกชื่นชมธาตุทรนงในตัวมันจึงครุ่นคิดว่า “เช่นนี้เราควรไว้ชีวิตมันสักคราหรือไม่?” จากนั้นมันปั้นหน้าเคร่งเครียดกล่าวว่า
“เราจะนับแค่สามเท่านั้น หนึ่ง สอง .........สาม” จากนั้นบุรุษเคราครึ้มพลันใช้ออกด้วยดรรชนีสุดพิสดาร เพราะเพียงแค่กระพริบตาเล่าซาและเล่าสี่ก็ลืมตาโพลงแน่นิ่งไป
“ประเสริฐๆ ฆ่าฟันได้ประเสริฐ เจ้าเอาดรรชนีนั้นทิ่มแทงสังหารเราด้วยอีกคนเถิด วันนี้เราพลาดท่าตายใต้เงื้อมมือท่านเราก็มิเสียใจหรอก”
“ดี” บุรุษเคราครึ้มคำรามลั่น จากนั้นทุกสรรพสิ่งที่เล่าตั่วรู้สึกพลันมืดดับไป
ผู้หาญกล้านิรนาม ตอนที่ 6
กระทู้ตอนที่ 2 http://ppantip.com/topic/32018464
กระทู้ตอนที่ 3 http://ppantip.com/topic/32059976
กระทู้ตอนที่ 4 http://ppantip.com/topic/32078429
กระทู้ตอนที่ 5 http://ppantip.com/topic/32116021
ฝนเทลงมาแล้ว บางทีที่ฝนตกนี้อาจเพียงต้องการชำระความเศร้าทั้งมวลแก่แผ่นดินก็ได้ บัดนี้เป็นเวลาใกล้ยามทิ่ว (1.00-2.59 น.) จิวยู่อี่ตื่นขึ้น ก่อนลืมตาเพียงขอให้ทุกอย่างเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่ง ที่พอตื่นขึ้นก็พบเตียงที่สะอาดนุ่มนิ่มพร้อมบุรุษน่าตีข้างกาย แต่เมื่อตื่นขึ้นมาเพียงพบความมืดที่โรยตัวอยู่ข้างกาย บุรุษเคราครึ้มนั่งเอาหลังพิงเสาต้นหนึ่งส่งเสียงกรนดังลั่น นางลุกขึ้นเดินเปะปะเพื่อจุดไฟเพื่อหมายจะหาน้ำดื่มแก้กระหาย ทันใดนั้นนางได้ยินเสียงทึบที่เบื้องหน้าแลวัตถุหนึ่งถูกโยนเข้ามาในศาลเจ้า เมื่อจิวยู่อี่เห็นก็กรีดร้องสุดเสียงเพราะเนื่องจากเป็นศรีษะของบ่าวบุรุษที่ยกข้าวให้นางทุกมื้อเมื่อตอนถูกคุมขังนั่นเอง ไม่ทันกระพริบตามีดสั้นเล่มหนึ่งถูกขว้างมาที่ไหล่ซ้าย แทบจะพร้อมกันบุรุษเคราครึ้มไม่ทราบปรากฏตัวอย่างไรใช้สองนิ้วคีบมีดสั้นเล่มนั้นไว้ ขณะที่จิวยู่อี่กำลังจะกรีดร้องบุรุษเคราครึ้มพลันจี้ดรรชนีออกไปยังท้ายทอย ใต้รักแร้ และข้อพับของนางจำนวนสามแห่ง นางไม่ทันทำกระไรก็ล้มลง สองตาเบิกโพลงในใจนึกสงสัยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องเพราะเมื่อนางล้มลงบุรุษเคราครึ้มก็หายไปแล้ว
จิวยู่อี่เพียงกระพริบตาก็ปรากฏบุคคลลึกลับสวมใส่ชุดดำจำนวนสี่คนที่เบื้องหน้าทั้งหมดรูปร่างเท่ากัน แต่งกายเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน ไม่ช้าบุคคลลึกลับคนแรกกล่าวว่า
“โชคดีที่นางยังมีลมหายใจอยู่”
“เราบอกเจ้าแล้วเล่ายี่ว่าอย่าปามีดใส่นาง หากนางเป็นไรไปเฮ้งสี่ตงคงมิเอาเราไว้แน่”
“ไม่ต้องกล่าวกระไรตอนนี้เราคาดว่าขวัญนางคงกระเจิงไปตั้งแต่เราโยนหัวบ่าวไพร่เข้ามาแล้ว” กล่าวจบบุคคลลึกลับเดินเข้าไปและจะอุ้มนางพาดบ่า ทันใดมันรู้สึกถึงลมหอบหนึ่งพัดมาปะทะที่หน้าอกจากนั้นล้มตึงกระอักโลหิตเสียชีวิตไป ฝ่ายกลุ่มคนลึกลับนั้นเมื่อเห็นสมาชิกจู่ๆก็ล้มตัวลง จึงงงงันวูบหนึ่ง เมื่อได้สติจึงทราบว่าพบพานยอดคนแล้ว จึงพยักหน้าแก่กันจากนั้นพากันใช้ออกด้วยอาวุธลับทั้งหมดที่มีจากนั้นวิชาตัวเบาเหินแตกกระจายไปคนละทิศทาง คนแรกกระโดดออกไปราวหกเจ็ดวา เมื่อกำลังจะทิ้งตัวลงพื้นเพื่อหยิบยืมกำลัง จู่ๆเท้าก็พลันไม่มีแรงให้หยิบยืม เมื่อเหลียวมองก็เห็นเข่าของตนบิดไปในลักษณะพิกล จากนั้นความเจ็บปวดที่มิเคยลิ้มรสก็ประดังเข้ามา
คนที่สองมีวิชาตัวเบาไม่ดีนักแต่เมื่อก้าวไปสองก้าวก็หันกลับมาหมายแบกศพเพื้อนพ้องไปด้วย แต่ก็พบว่าข้อพับเข่าถูกก้อนหินเล็กๆดีดใส่และฝังลงไปสร้างความเจ็บปวดจนต้องร้องลั่น ฝ่ายคนที่สามนั้นมีตัวเบาล้ำเลิศเพียงก้าวเท้าออกก็ใช้ออกด้วยท่าตั๊กแตนขาวเหินฟ้าชิงล้ำหน้าออกไปหลายสิบวาแต่ทันใด เบื้องหน้ามันพบบุรุษเคราครึ้มผู้หนึ่งยืนจิบสุราจากกระปุกเคลือบอยู่ ความจริงแล้วด้วยความรวดเร็วระดับนี้ย่อมเห็นภาพต่างๆได้เพียงแค่ผ่านเลยไป แต่ด้วยเหตุใดมิทราบได้มันกลับเลเห็นบุรุษนั้นเนิ่นนานเสมือนทุกสิ่งหยุดอยู่ตรงนั้น เมื่อฉุกใจคิดความเจ็บปวดก็ประดังเข้ามาเป็นระลอกเนื่องจากขาคู่นั้นของมันหักไปแล้ว ขาที่มอบความประเปรียวว่องไว ขาที่มันมั่นใจว่าในวงนักเลงยากจะมีใครติดตามทัน มันพบว่าที่แล้วมาความมั่นใจของมันเป็นเพียงวาจาผีสางหลอกลวงตัวเองทั้งนั้น
จิวยู่อี่แลเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด บัดนี้นางทราบแล้วว่าบุรุษเคราครึ้มผู้นี้มิใช่ชายซอมซ่อยากจนอีก ไม่ทันกระพริบบุรุษผู้นั้นก็เหินตัวลงดุจปักษาใหญ่พร้อมหิ้วร่างทั้งสามลงเหวี่ยงไปหน้าแท่นบูชา และด้วยความเร็วที่สุดคาดคิดผ้าคลุมหน้าของทั้งสามหลุดออกไปอยู่ในมือบุรุษเคราครึ้มทั้งหมด ดังนั้นจึงแลเห็นเค้าหน้าของทั้งสาม ทั้งหมดมีหน้าตาคล้ายกันเพียงแต่มีวัยแตกต่างกันบ้าง คนแรกที่ใช้วิชาตัวเบาตั๊กแตนขาวเหินฟ้ามีผมสีดอกเลาคาดได้ว่าน่าจะเป็นเล่าตั่ว คนที่สองมีไฝเม็ดใหญ่ที่แก้มซ้าย อีกคนมีรอยแผลเป็นพาดตั้งแต่แก้มซ้ายผ้านจมูกดุไปเป็นบุคลิกที่เหี้ยมหาญยิ่ง จากนั้นบุรุษเคราครึ้มเดินไปที่ศพของมือสังหารคนแรกลอบถอดทอนใจหลายครั้งจากนั้นกล่าวพึมพัม จิวยู่อี่พอจับใจความได้เพียงว่า “บาปกรรม บาปกรรม เป็นพลังฝีมือที่ชั่วร้ายเกินไปจริงๆ” จากนั้นหันหลังกับสาดประกายตาดุจสายฟ้าไปยังมือสังหารทั้งสามแล้วกล่าวด้วยเสียวกราดเกรี้ยวว่า
“พวกเจ้าทั้งสาม หากใครต้องการมีชีวิตอยู่จงบอกแก่เราโดยดีว่าเป้นผู้ใดส่งเจ้ามา ยิ่งเร็วยิ่งประเสริฐ เราเล่ามิชอบรออันใดเนิ่นนาน”
“ผายลม มารดาเจ้า อยากฆ่าก็ฆ่ามิต้องกล่าวมากความ พวกบิดาสี่พิฆาตกวนตงมิเคยรับการข่มขู่จากผู้ใด”มือสังหารที่คิดว่าเป็นเล่าตั่วเอ่ย
“ผายลมบิดาเจ้า ในโลกนี้ไม่เคยมีใครข่มขู่พวกบิดาได้ วันนี้ถ้าเล่าตั่วมิใช่เกรงว่าซ้อจื้อจะถูกเฮ้งสี่ตงย่ำยี มีหรือจะยอมกระทำ”ชายคนที่มีไฝบนใบหน้าตะคอกด้วยวาจาขึงขังเมื่อกล่าวจบแลเห็นหน้าเล่าตั่วก็พบว่าผิดท่า เพียงแต่ขบคิดไม่เข้าใจว่าตนเองกล่าวเรื่องใดผิดไป
“เล่าซา ท่านกล่าวาจาให้น้อยลงเถิด ท่านมิเห็นหรือว่าตอนนี้เล่าตั่วกำลังต่อรองกับศัตรูอยู่ เพียงท่านเอ่ยปากก็เปิดเผยแล้วว่าเราเป็นเพียงสุนัขที่รับการข่มขู่จากเดียรัจฉานเฮ้งสี่ตงเท่านั้น หากเป็นเช่นนี้เราจะแบกเอายี่ห้อสี่พิฆาตกวนตงไปไว้ที่ใด”บุรุษที่มีเค้าเหี้ยมหาญกล่าวตำหนิ แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใดเล่าตั่วกลับมีสีหน้าบูดบึ้งยิ่งขึ้น
“เช่นนี้เราก็เปลี่ยนเป็น สี่ค้ำฟ้ากวนตง สี่หอเหล็กกวนตง สี่ยมทูตกวนตงจะเป็นไร เล่าสี่ท่านไฉนต้องกังวลไป” มือสัหารที่เป็นเล่าซาอย่างไรก็ต้องทุ่มเถียงให้ได้แม้ว่าจะรู้อยุ่เต็มประดาว่าตนเองเป็นฝ่ายผิด จากนั้นเหมือนคิดอะไรได้จึงสะอึกสะอื้นกล่าวว่า “แต่....แต่ ตอนนี้เราไม่มีสี่คนกันแล้ว จะเป็นสี่พิฆาต สี่ยมทูตอะไรอีก เจ้าลูกเต่าเราจะถล่มบรรพบุรุษเจ้าสิบแปดรุ่น ต่อให้เราตายเป็นผีก็จะไม่ละเว้นเจ้าเซ่นสังเวยให้เล่ายี่ของเรา” กล่าวจบพลันฟุบหน้าลงกับพื้นร้องไห้สะอึกสะอื้นไป
“เราจะขอย้ำอีกครั้งหนึ่ง หากพวกเจ้ายังเล่นลิ้นอยู่เราประกันได้ว่า แม้พวกเจ้าจะมีสิบลิ้นก็ไม่เพียงพอต่อเรา” บุรุษเคราครึ้มถามด้วยความเคียดขึ้ง
“ผายลมเจ้าลูกสุนัข บิดาสี่พิฆาตกวนตงไยกลัวต่อคำข่มขู่ของเด็กน้อยเจ้าหากจะฆ่าก็ฆ่าเถิด” มือสังหารผู้เป็นเล่าสี่ตอบ
เมื่อได้ยินดังนั้นเล่าซาหยุดสะอึกสะอื้น อุทานดังอา หันไปกล่าวกับเล่าตั่วว่า “ตั่วกอเช่นนี้ย่ำแย่แล้ว”
“เรื่องอันใด?”
“หากมันกราบกรานพวกเราแล้วเรียกบิดา เราสามมิกลายเป็นสุนัขไปแล้วรึ?”
เล่าตั่วขุ่นแค้นจนหน้าเขียวมันทราบดีว่าตีตี๋ของมันคนนี้มีตรรกะประหลาดพิกล แต่วันนี้เมื่ออยู่ในเงื้อมมือมัจุราชไฉนยังมีกระจิตกระใจล้อเล่น มันกลับกระอักกระอ่วนยิ่ง ไม่ทันกล่าวกระไรเล่าซาก็รีบปาดน้ำตาแล้วชิงกล่าวว่า
“เล่าสี่เจ้าอย่างหลงกล เราไม่หลงกลหลอกเด็กของเจ้าหรอกคิดฆ่าฟันก็ไม่เห็นน่ากลัวอันใด แต่เราสามจะไม่ลดตัวเป็นสุนัขให้เจ้าเรียกหา เจ้าลูกเง็กเซียน บิดาเจ้าเป็นชายงามกล้าหาญอันดับหนึ่งของแผ่นดิน ฮาฮา” จะอย่างไรในความคิดเล่าซาคำเหล่านี้เป็นคำที่ต้องการเอารัดเอาเปรียบและกลบเกลี่อนความผิดพลาดของเล่าสี่ที่มันคิดนั่นเอง
“เล่าซาเจ้าว่าเช่นนี้ไยมิใช่บ่งบอกว่าบิดามันเลิศเลอหรือ บิดามันเป็นเป็นสุนัขโสโครกเท่านั้นมิใช่เป็นอย่างเด็กน้อยเจ้าว่า”
“มิใช่ๆ ผิดแล้วเล่าสี่ เจ้ากล่าวผิดแล้วหากเจ้าเหมารวมดังนี้พวกเราไยมิกลายเป็นสุนัขไป เราเอี๊ยบเล่าซาไม่ยินดีเป็นสุนัขบิดามันเด็ดขาด” มือสังหารผู้เป็นเล่าซาว่า ยิ่งกล่าวว่าจาทั้งสองยิ่งทะเลาะกันจนหน้าขุ่นเขียวโดยมิมีผู้ใดยอมกัน ฝ่ายผู้เป็นเล่าตั่วเงียบงันมิกล่าววาจาได้แต่มองไปยังสองตีตี๋ที่ทะเลาะกันของมัน
ฝ่ายบุรุษเคราครึ้มอดทนฟังสักพักเห็นสองพี่น้องมิมีทีท่าว่าจะเลิกทะเลาะกันจึงเอ่ยวาจาด้วยเสียงอันดังก้องว่า “หยุดปากให้แก่เรา หากเจ้าสองพี่น้องไม่หยุดปากโสโครกอีก เราจะเลาะฟันเล่าตั่วพวกเจ้าออกมาทอดเป็นลูกเต๋าไพ่เก้าเสีย”
แต่สองพี่น้องไม่มีทีท่าว่าจะหยุดทุ่มเถียงกันแต่อย่างใด เล่าตั่วเห็นดังนั้นก็รู้สึกอดสูยิ่งจึงทะลึ่งตัวหมายเอาศรีษะชนกำแพงเพื่อหลีกหนีความอัปยศครั้งนี้ บุรุษเคราครึ้มเหมือนจะสังเกตุเห็นเมื่อศรีษะของผู้เป็นเล่าตั่วห่างจากกำแพงไม่กี่หุนก็ชิงใช้วิชาคว้าจับออกอย่างแยบคายพร้อมทั้งสกัดจุดของมันไว้โดยมิให้มือสังหารที่เหลือเห็น
ฝ่ายมือสังหารอีกสองคนที่เหลือเห็นดังนั้นก็หยุดทุ่มเถียงกันเรื่องบุรุษเคราครึ้ม หันมาทางเล่าตั่วที่นอนอยู่ จากนั้นคนเป็นเล่าสี่ชิงกล่าวว่า
“เล่าซา เป็นเพราะท่านทำให้เล่าตั่วตาย หากเจ้ามิเอาแต่ทุ่มเถียงกับเราเล่าตัวคงไม่คิดสั้นอย่างนี้”
“เป็นเพราะเจ้าต่างหาก หากเจ้าไม่คอยขัดเรามีหรือเราจะทุ่มเถียงกัน”
บุรุษเคราครึ้มเห็นว่าทั้งสองไม่มีทีท่าว่าจะหยุดทุ่มเถียงในที่สุดก็อดรนทนไม่ได้จึงใช้ออกด้วยท่าดรรชนีสกัดจุดของทั้งสอง ฝ่ายเล่าตั่วที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต้องตระหนกกับระดับฝีมือของบุรุษเคราครึ้ม เนื่องเพราะเมื่อใช้ดรรชนีออกจนกระทบร่างสองพี่น้อง บุรุษเคราครึ้มอยู่ห่างออกไปมิต่ำกว่าสองวา เมื่อทั้งสองสงบลงบุรุษเคราครึ้มจึงคลายจุดแก่เล่าตั่วแล้วถามว่า
“สี่พิฆาตกวนตงคงนับท่านเป็นเล่าตั่วใช่หรือไม่?”
“เป็นเรา”
“ท่านกระทำดังนี้ ด้วยเหตุอันใด?” บุรุษเคราครึ้มยังคงถามคำถามที่ทื่อด้านยิ่ง
“เจ้าฆ่าเราเสียเถิด เราประกันว่าเจ้าจะมิได้รับคำตอบแน่”
“สบายใจเถิด เรามิฆ่าท่านแน่นอน หากเราจะฆ่าเราจะเริ่มที่พี่น้องของท่านก่อน แล้วเราประกันได้เมื่อเราเอ่ยฆ่าคืนนี้พี่น้องเจ้าทั้งสองต้องมิมีโอกาสได้เห็นแสงตะวันพรุ่งนี้อีกเด็ดขาด”
“เจ้าจะฆ่าก็ฆ่าเถิด มิต้องกล่าวให้เปลืองน้ำลายไป เราสี่พิฆาตกวนตงแม้เป็นชาวมิจฉาชีพแต่เรามิยอมให้เจ้าดูแคลนว่าเราเป็นคนขลาดเขลากลัวตายหรอก” เล่าตั่วกระชากเสียงตอบ
บุรุษเคราครึ้มเห็นมันยอมตายไม่ยอมสยบจึงนึกชื่นชมธาตุทรนงในตัวมันจึงครุ่นคิดว่า “เช่นนี้เราควรไว้ชีวิตมันสักคราหรือไม่?” จากนั้นมันปั้นหน้าเคร่งเครียดกล่าวว่า
“เราจะนับแค่สามเท่านั้น หนึ่ง สอง .........สาม” จากนั้นบุรุษเคราครึ้มพลันใช้ออกด้วยดรรชนีสุดพิสดาร เพราะเพียงแค่กระพริบตาเล่าซาและเล่าสี่ก็ลืมตาโพลงแน่นิ่งไป
“ประเสริฐๆ ฆ่าฟันได้ประเสริฐ เจ้าเอาดรรชนีนั้นทิ่มแทงสังหารเราด้วยอีกคนเถิด วันนี้เราพลาดท่าตายใต้เงื้อมมือท่านเราก็มิเสียใจหรอก”
“ดี” บุรุษเคราครึ้มคำรามลั่น จากนั้นทุกสรรพสิ่งที่เล่าตั่วรู้สึกพลันมืดดับไป