ผู้หาญกล้านิรนาม ตอนที่ 5

กระทู้สนทนา
กระทู้ตอนที่ 1 http://ppantip.com/topic/30836756       
กระทู้ตอนที่ 2  http://ppantip.com/topic/32018464
กระทู้ตอนที่ 3 http://ppantip.com/topic/32059976
กระทู้ตอนที่ 4 http://ppantip.com/topic/32078429

       ลมหอบใหญ่พัดผงคลีคละคลุ้งไปทั่วทางน้อยนอกเมือง  บุรุษเคราครึ้มผู้หนึ่งนอนจิบสุราจากกระปุกเคลือบใต้แท่นบูชาในศาลเจ้าแชเล้งเอิ้ย บุรุษซ่อมซ่อผู้นี้ดูไปมีวัยไม่น้อยแล้วแต่มิทราบด้วยเหตุใดมิว่าท่านจะมองมุมไหนก็มิอาจว่ามันชราเด็ดขาด ความจริงแล้วศาลเจ้าแห่งนี้ทรุดโทรมยิ่ง แต่ประหลาดนักที่บุรุษผู้นั้นกลับยึดถือราวคล้ายกับเป็นปราสาทราชวังก็มิปาน  ขณะที่กำลังเคลิ้มจะหลับพลันบังเกิดเสียงโครมคราม หน้าประตูปรากฏสตรีนางหนึ่ง สวมชุดเปอะเปี้อน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแผลพุพอง ร่ำร้องหน้าแท่นบูชาว่า

      “สวรรค์  ข้าพเจ้ากระทำผิดไปแล้ว บิดาไม่ผิดอันใดเหตุไฉน ท่านผู้เฒ่าถึงต้องรับกรรมจาก เดียรัจฉานเฮ้งสี่ตงด้วย” กล่าวพลางกรีดร้องสยายผม นอนฟุบนิ่ง  ไม่นานก็ลุกขึ้นร่ำร้องใหม่ ทำลายขว้างปาข้าวของไปทั่วจากนั้นพลันลุกขึ้นหมายจะพังรูปปั้นเทพเจ้ามังกรเขียวที่ตั้งอยู่บนแท่นสักการะ แต่ก้าวพลาดร่วงหล่นลงมาศรีษะฟาดกับมุมโต๊ะ  บุรุษผู้นั้นเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นครุ่นคิดขึ้นว่า ที่แท้เป็นสตรีวิกลจริตผู้หนึ่ง ขณะกำลังจะจิบสุราอีก  สตรีวิกลจริตพลันลุกขึ้นร่ำร้องว่า “บิดา ผู้บุตรเสียใจอย่างยิ่ง” จากนั้นพลันวิ่งเข้าชนผนังหวังไว้ว่านี่เป็นการจบเรื่องราวทั้งหมดในชีวิต

      เมื่อวิกาลกรายมาเยือน สตรีวิกลจริตลืมตาขึ้นช้าๆ  เมื่อพบว่าตนเองยังไม่ตายก็ทั้งรู้สึกดีใจและเสียใจพร้อมกัน จากนั้นพลันลุกขึ้นหมายจะรำร้องอาละวาดอีก  แต่จนใจที่มือเท้าไม่อาจเคลื่อนไหวได้  ไม่นานก็ได้ยินเสียงหยาบกระด้างเอ่ยถามว่า “ยังเจ็บปวดที่ศรีษะอยู่หรือไม่  ตอนนี้ท่านอย่าเพิ่งได้ขยับ”  กล่าวจบบุรุษเคราครึ้มเห็นนางนิ่งไม่ตอบเพียงหลั่งน้ำตาดุจทำนบกั้นแตกเท่านั้น

     “โกวเนี้ย มีเรื่องราวใดคับแค้นใจจึงคิดสั้นเช่นนี้”  บุรุษเคราครึ้มถาม  

     นางสะอึกสะอื้นหันมาตอบคำว่า   “เรามิใช่โกวเนี้ยอันใดแล้ว  เราไม่ควรมีอันใดแล้ว” จากนั้นกรีดร้องสุดเสียง “เราเป็นฮูหยินของเดียรัจฉานผู้นั้น “ จากนั้นร่ำร้องไห้อีกพร้อมพึมพัมพอจับใจความได้ว่า “บิดาผู้บุตรขออภัย”

     เหตุการณ์ดำเนินไปร่วมสองวัน  บุรุษเคราครึ้มจะคอยใช้สันมือฟาดเบาไปที่ขม่อมนางเบาๆทุกครั้งเมื่อนางตระหนก และคอยพูดพึมพำขณะนางหลับใหล เมื่อนางฟื้นตื่นครั้งหนึ่งก็คล้ายดั่งมีสติสมบูรณ์ขึ้นส่วนหนึ่ง   เมื่อนางฟื้นตื่นอีกครั้งบุรุษเคราครึ้มผู้นั้นเดินเข้ามาจากนั้นไถ่ถามว่า

     “ฮูหยิน(คำยกย่องภรรยาของผู้อื่น) เกิดเหตุอันใดขึ้น ไฉนจึงคิดสั้นฆ่าตัวตาย”

     นางร่ำไห้ส่ายศรีษะไปมา กล่าวว่า “นี่เป็นบาปกรรมของเราเอง  สองมือเราแม้มิได้สังหารบิดา แต่ก็เปรียบดั่งฆ่าท่านผู้เฒ่าด้วยตัวเอง”  นางถอนหายใจร่ำไห้อยู่นานสองนาน  จากนั้นจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดแก่บุรุษเคราครึ้มผู้นั้นฟังแต่ต้น

     ที่แท้แล้วสตรีวิกลจริตผู้นี้นางคือจิวยู่อี่  หลังจากที่เฮ้งสี่ตงใช้ยาพิษทำร้ายใบหน้านางแล้วก็จับนางไปขังไว้ยังห้องเก็บฟืน  นางสลบไสลไม่ได้สติไปนานเมื่อฟื้นขึ้นมารู้สึกใบหน้าแสบร้อนสุดประมาณจนต้องเกาจนเลือดหลั่งไหล แต่ยิ่งเกากลับพบว่ายิ่งคันชา จนอยู่มาวันหนึ่งบริวารที่ส่งข้าวส่งน้ำกลับเลินเล่อลืมลงกลอนนางจึงหลบหนีออกมา ตอนนั้นภายในบ้านตระกูลจิวกำลังจัดงานศพให้แก่เจ้าของบ้าน  นางเห็นดังนั้นไม่คิดกระไรจึงเข้าไปหมายคิดเปิดโปงแผนร้ายของเฮ้งสี่ตงแต่เมื่อเข้าไปถึงก็ได้ร่ำร้องด่าทอ เฮ้งสี่ตงเองก็ยืนอยู่ตรงนั้นแต่มิได้อนาทรร้อนใจแต่อย่างใด  เมื่อด่าทอไปได้สักพักผู้คนเห็นเฮ้งสี่ตงไม่ตอบโต้อันใดต่างพากับซุบซิบนินทา  แต่เมี่อนางกล่าวว่านางคือจิวตั่วเสียวเจี๊ยะเหตุการณ์กลับพลิกผัน  เนื่องจากจิวยู่อี่ที่สวมชุดไว้ทุกข์พลันเดินออกมา  สองตานางบวดแดงพลางกล่าวว่า “บิดาเราเสียชีวิตก็...ก็ทำร้ายเราเกินพอแล้ว  เหตุใดท่านจึงต้องให้ร้ายเราและ...และเฮ้งซิงแซอีก”  จิวยู่อี่ได้แต่ตะลึงตะลาน   บริวารบุรุษสตรีภายในบ้านต่างถือไม้กวาดขับไล่และทุบตีนาง  แม้แต่แม่นมของนางยังด่าทอออกมา

    “สตรีอัปลักษณ์  สตรีโสโครก  เราถล่มมารดาเจ้าหากเจ้ากล่าววาจาลบหลู่เล่าเอิ้ยผู้เฒ่าและเฮ้งจงก้วงอีกแล้วล่ะก็มารดาไม่จับเอารองเท้ายัดปากเจ้าก็แปลกไปแล้ว” พลางร่ำร้องพร้อมเอาไม้กวาดทุบตีไล่หลัง

     จิวยู่อี่วิ่งหนีโดยไม่จำแนกทิศทาง  เมื่อเหน็ดเหนื่อยจึงล้มตัวข้างลำธารสายหนึ่งแลเห็นสตรีอัปลักษณ์ที่สะท้อนบนผิวน้ำก็ตื่นตกใจแทบสิ้นสติ  รำพึงเบาว่า “มิน่าเล่าแม้แต่เนียมา(แม่นม)เรายังจดจำเราไม่ออกที่แท้เรากลายเป็นสตรีอัปลักษณ์โสโครกไปแล้วจริงๆ”  นางประหวัดหวนนึกถึงจิวซุ่นผู้เป็นบิดาก็โศกเศร้าจากนั้นหวนนึกถงความหวานชื่นที่มีกับเฮ้งสี่ตง นางบัดเดี๋ยวปวดร้าวบัดเดี๋ยวแช่มชื่นแล้วก็ย้อนกลับมาหดหู่จนต้องร่ำร้องไห้ออกมา จนอีกสักประเดี๋ยวเมื่อนึกถึงคารมเรื่องตลกของเฮ้งสี่ตงนางก็เผยอยิ้มออกมาทั้งน้ำตาอีก  เป็นสลับกันไปมาจนสิ้นสติไปในที่สุด  เมื่อนางตื่นขึ้นก็ออกเดินไปตามทางในเมือง  ในใจนึกถึงแต่เรื่องของจิวซุ่นผู้เป็นบิดาและเฮ้งสี่ตงเท่านั้น  ชาวบ้านร้านตลาดเห็นนางอัปลักษณ์ที่เข้าไปก่อกวนงานบ้านตระกูลจิวประกอบกับนางสกปรกมอมแมมก็นึกรังเกียจจึงเอาสิ่งของขว้างปจนนางบาดเจ็บและเสียสติมากขึ้น  เดินอยู่เช่นนี้สองวันก็ได้มายังศาลบูชาแชเล้งยิ้มแห่งนี้
ชายเคราครึ้มได้ฟังก็นึกเชื่อครึ่งมิเชื่อครึ่ง  แต่หวนคิดถึงเรื่องหนหลังที่ตนเองต้องถูกความคับแค้นใจจากการถูกปรักปรำกัดกร่อนจนแทบไม่เหลือความเป็นคน  ก็ตกลงปลงใจว่าจะลองสืบสาวและช่วยเหลือนางสักครา  จึงกล่าวอย่างขึงขังว่า

      “ฮูหยินโปรดพักผ่อน  เรื่องอยุติธรรมที่เกิดขึ้นนี้เราจะสืบสาวและคลี่คลายให้แก่ท่าน”

       จิวยู่อี่ทั้งนึกวิตกแทนและขบขันในท่าทีเนื่องด้วยตระกูลจิวของนางมีทั้งทรัพย์สมบัติและอำนาจมากหลายกรปรกับเฮ้งสี่ตงเจ้าเล่ห์เพทุบาย  บุรุษเคราครึ้มตรงหน้าหากคิดสืบสาวความไยมิใช่เอาตั๊กแตนไปหยุดล้อรถกันเล่า?  แม้จะคิดดังนั้นแต่ก็อดต้องลอบสำนึกตื้นตันมิได้  บัดนี้นางคล้ายลอยคออยู่กลางทะเลแม้มีเพียงเศษไม้มาให้นางเกาะอาศัยเพียงชั่วครู่ยามก็เป็นที่สำนึกตื้นตันมากมายแล้ว

      นางไม่ได้กล่าวกระไร ไม่แม้แต่กล่าวขอบคุณ แต่ดวงตานางได้กล่าวแทนไปแล้ว และนางก็เชื่อว่าบุรุษตรงหน้าเข้าใจนางดี

      ชายชราเคราครึ้มไม่กล่าวกระไรเช่นกัน  เพียงจิบสุราจากกระปุกเคลือบและไม่สบตาจิวยู่อี่อีก  ไม่นานอากาศที่เย็นลงจากเมฆฝนที่ตั้งเค้าก็พาจิวยู่อี่เข้าสู่ห้วงนิทรา
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่