กระทู้ตอนที่ 1
http://ppantip.com/topic/30836756
กระทู้ตอนที่ 2
http://ppantip.com/topic/32018464
กระทู้ตอนที่ 3
http://ppantip.com/topic/32059976
กระทู้ตอนที่ 4
http://ppantip.com/topic/32078429
ลมหอบใหญ่พัดผงคลีคละคลุ้งไปทั่วทางน้อยนอกเมือง บุรุษเคราครึ้มผู้หนึ่งนอนจิบสุราจากกระปุกเคลือบใต้แท่นบูชาในศาลเจ้าแชเล้งเอิ้ย บุรุษซ่อมซ่อผู้นี้ดูไปมีวัยไม่น้อยแล้วแต่มิทราบด้วยเหตุใดมิว่าท่านจะมองมุมไหนก็มิอาจว่ามันชราเด็ดขาด ความจริงแล้วศาลเจ้าแห่งนี้ทรุดโทรมยิ่ง แต่ประหลาดนักที่บุรุษผู้นั้นกลับยึดถือราวคล้ายกับเป็นปราสาทราชวังก็มิปาน ขณะที่กำลังเคลิ้มจะหลับพลันบังเกิดเสียงโครมคราม หน้าประตูปรากฏสตรีนางหนึ่ง สวมชุดเปอะเปี้อน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแผลพุพอง ร่ำร้องหน้าแท่นบูชาว่า
“สวรรค์ ข้าพเจ้ากระทำผิดไปแล้ว บิดาไม่ผิดอันใดเหตุไฉน ท่านผู้เฒ่าถึงต้องรับกรรมจาก เดียรัจฉานเฮ้งสี่ตงด้วย” กล่าวพลางกรีดร้องสยายผม นอนฟุบนิ่ง ไม่นานก็ลุกขึ้นร่ำร้องใหม่ ทำลายขว้างปาข้าวของไปทั่วจากนั้นพลันลุกขึ้นหมายจะพังรูปปั้นเทพเจ้ามังกรเขียวที่ตั้งอยู่บนแท่นสักการะ แต่ก้าวพลาดร่วงหล่นลงมาศรีษะฟาดกับมุมโต๊ะ บุรุษผู้นั้นเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นครุ่นคิดขึ้นว่า ที่แท้เป็นสตรีวิกลจริตผู้หนึ่ง ขณะกำลังจะจิบสุราอีก สตรีวิกลจริตพลันลุกขึ้นร่ำร้องว่า “บิดา ผู้บุตรเสียใจอย่างยิ่ง” จากนั้นพลันวิ่งเข้าชนผนังหวังไว้ว่านี่เป็นการจบเรื่องราวทั้งหมดในชีวิต
เมื่อวิกาลกรายมาเยือน สตรีวิกลจริตลืมตาขึ้นช้าๆ เมื่อพบว่าตนเองยังไม่ตายก็ทั้งรู้สึกดีใจและเสียใจพร้อมกัน จากนั้นพลันลุกขึ้นหมายจะรำร้องอาละวาดอีก แต่จนใจที่มือเท้าไม่อาจเคลื่อนไหวได้ ไม่นานก็ได้ยินเสียงหยาบกระด้างเอ่ยถามว่า “ยังเจ็บปวดที่ศรีษะอยู่หรือไม่ ตอนนี้ท่านอย่าเพิ่งได้ขยับ” กล่าวจบบุรุษเคราครึ้มเห็นนางนิ่งไม่ตอบเพียงหลั่งน้ำตาดุจทำนบกั้นแตกเท่านั้น
“โกวเนี้ย มีเรื่องราวใดคับแค้นใจจึงคิดสั้นเช่นนี้” บุรุษเคราครึ้มถาม
นางสะอึกสะอื้นหันมาตอบคำว่า “เรามิใช่โกวเนี้ยอันใดแล้ว เราไม่ควรมีอันใดแล้ว” จากนั้นกรีดร้องสุดเสียง “เราเป็นฮูหยินของเดียรัจฉานผู้นั้น “ จากนั้นร่ำร้องไห้อีกพร้อมพึมพัมพอจับใจความได้ว่า “บิดาผู้บุตรขออภัย”
เหตุการณ์ดำเนินไปร่วมสองวัน บุรุษเคราครึ้มจะคอยใช้สันมือฟาดเบาไปที่ขม่อมนางเบาๆทุกครั้งเมื่อนางตระหนก และคอยพูดพึมพำขณะนางหลับใหล เมื่อนางฟื้นตื่นครั้งหนึ่งก็คล้ายดั่งมีสติสมบูรณ์ขึ้นส่วนหนึ่ง เมื่อนางฟื้นตื่นอีกครั้งบุรุษเคราครึ้มผู้นั้นเดินเข้ามาจากนั้นไถ่ถามว่า
“ฮูหยิน(คำยกย่องภรรยาของผู้อื่น) เกิดเหตุอันใดขึ้น ไฉนจึงคิดสั้นฆ่าตัวตาย”
นางร่ำไห้ส่ายศรีษะไปมา กล่าวว่า “นี่เป็นบาปกรรมของเราเอง สองมือเราแม้มิได้สังหารบิดา แต่ก็เปรียบดั่งฆ่าท่านผู้เฒ่าด้วยตัวเอง” นางถอนหายใจร่ำไห้อยู่นานสองนาน จากนั้นจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดแก่บุรุษเคราครึ้มผู้นั้นฟังแต่ต้น
ที่แท้แล้วสตรีวิกลจริตผู้นี้นางคือจิวยู่อี่ หลังจากที่เฮ้งสี่ตงใช้ยาพิษทำร้ายใบหน้านางแล้วก็จับนางไปขังไว้ยังห้องเก็บฟืน นางสลบไสลไม่ได้สติไปนานเมื่อฟื้นขึ้นมารู้สึกใบหน้าแสบร้อนสุดประมาณจนต้องเกาจนเลือดหลั่งไหล แต่ยิ่งเกากลับพบว่ายิ่งคันชา จนอยู่มาวันหนึ่งบริวารที่ส่งข้าวส่งน้ำกลับเลินเล่อลืมลงกลอนนางจึงหลบหนีออกมา ตอนนั้นภายในบ้านตระกูลจิวกำลังจัดงานศพให้แก่เจ้าของบ้าน นางเห็นดังนั้นไม่คิดกระไรจึงเข้าไปหมายคิดเปิดโปงแผนร้ายของเฮ้งสี่ตงแต่เมื่อเข้าไปถึงก็ได้ร่ำร้องด่าทอ เฮ้งสี่ตงเองก็ยืนอยู่ตรงนั้นแต่มิได้อนาทรร้อนใจแต่อย่างใด เมื่อด่าทอไปได้สักพักผู้คนเห็นเฮ้งสี่ตงไม่ตอบโต้อันใดต่างพากับซุบซิบนินทา แต่เมี่อนางกล่าวว่านางคือจิวตั่วเสียวเจี๊ยะเหตุการณ์กลับพลิกผัน เนื่องจากจิวยู่อี่ที่สวมชุดไว้ทุกข์พลันเดินออกมา สองตานางบวดแดงพลางกล่าวว่า “บิดาเราเสียชีวิตก็...ก็ทำร้ายเราเกินพอแล้ว เหตุใดท่านจึงต้องให้ร้ายเราและ...และเฮ้งซิงแซอีก” จิวยู่อี่ได้แต่ตะลึงตะลาน บริวารบุรุษสตรีภายในบ้านต่างถือไม้กวาดขับไล่และทุบตีนาง แม้แต่แม่นมของนางยังด่าทอออกมา
“สตรีอัปลักษณ์ สตรีโสโครก เราถล่มมารดาเจ้าหากเจ้ากล่าววาจาลบหลู่เล่าเอิ้ยผู้เฒ่าและเฮ้งจงก้วงอีกแล้วล่ะก็มารดาไม่จับเอารองเท้ายัดปากเจ้าก็แปลกไปแล้ว” พลางร่ำร้องพร้อมเอาไม้กวาดทุบตีไล่หลัง
จิวยู่อี่วิ่งหนีโดยไม่จำแนกทิศทาง เมื่อเหน็ดเหนื่อยจึงล้มตัวข้างลำธารสายหนึ่งแลเห็นสตรีอัปลักษณ์ที่สะท้อนบนผิวน้ำก็ตื่นตกใจแทบสิ้นสติ รำพึงเบาว่า “มิน่าเล่าแม้แต่เนียมา(แม่นม)เรายังจดจำเราไม่ออกที่แท้เรากลายเป็นสตรีอัปลักษณ์โสโครกไปแล้วจริงๆ” นางประหวัดหวนนึกถึงจิวซุ่นผู้เป็นบิดาก็โศกเศร้าจากนั้นหวนนึกถงความหวานชื่นที่มีกับเฮ้งสี่ตง นางบัดเดี๋ยวปวดร้าวบัดเดี๋ยวแช่มชื่นแล้วก็ย้อนกลับมาหดหู่จนต้องร่ำร้องไห้ออกมา จนอีกสักประเดี๋ยวเมื่อนึกถึงคารมเรื่องตลกของเฮ้งสี่ตงนางก็เผยอยิ้มออกมาทั้งน้ำตาอีก เป็นสลับกันไปมาจนสิ้นสติไปในที่สุด เมื่อนางตื่นขึ้นก็ออกเดินไปตามทางในเมือง ในใจนึกถึงแต่เรื่องของจิวซุ่นผู้เป็นบิดาและเฮ้งสี่ตงเท่านั้น ชาวบ้านร้านตลาดเห็นนางอัปลักษณ์ที่เข้าไปก่อกวนงานบ้านตระกูลจิวประกอบกับนางสกปรกมอมแมมก็นึกรังเกียจจึงเอาสิ่งของขว้างปจนนางบาดเจ็บและเสียสติมากขึ้น เดินอยู่เช่นนี้สองวันก็ได้มายังศาลบูชาแชเล้ง
แห่งนี้
ชายเคราครึ้มได้ฟังก็นึกเชื่อครึ่งมิเชื่อครึ่ง แต่หวนคิดถึงเรื่องหนหลังที่ตนเองต้องถูกความคับแค้นใจจากการถูกปรักปรำกัดกร่อนจนแทบไม่เหลือความเป็นคน ก็ตกลงปลงใจว่าจะลองสืบสาวและช่วยเหลือนางสักครา จึงกล่าวอย่างขึงขังว่า
“ฮูหยินโปรดพักผ่อน เรื่องอยุติธรรมที่เกิดขึ้นนี้เราจะสืบสาวและคลี่คลายให้แก่ท่าน”
จิวยู่อี่ทั้งนึกวิตกแทนและขบขันในท่าทีเนื่องด้วยตระกูลจิวของนางมีทั้งทรัพย์สมบัติและอำนาจมากหลายกรปรกับเฮ้งสี่ตงเจ้าเล่ห์เพทุบาย บุรุษเคราครึ้มตรงหน้าหากคิดสืบสาวความไยมิใช่เอาตั๊กแตนไปหยุดล้อรถกันเล่า? แม้จะคิดดังนั้นแต่ก็อดต้องลอบสำนึกตื้นตันมิได้ บัดนี้นางคล้ายลอยคออยู่กลางทะเลแม้มีเพียงเศษไม้มาให้นางเกาะอาศัยเพียงชั่วครู่ยามก็เป็นที่สำนึกตื้นตันมากมายแล้ว
นางไม่ได้กล่าวกระไร ไม่แม้แต่กล่าวขอบคุณ แต่ดวงตานางได้กล่าวแทนไปแล้ว และนางก็เชื่อว่าบุรุษตรงหน้าเข้าใจนางดี
ชายชราเคราครึ้มไม่กล่าวกระไรเช่นกัน เพียงจิบสุราจากกระปุกเคลือบและไม่สบตาจิวยู่อี่อีก ไม่นานอากาศที่เย็นลงจากเมฆฝนที่ตั้งเค้าก็พาจิวยู่อี่เข้าสู่ห้วงนิทรา
ผู้หาญกล้านิรนาม ตอนที่ 5
กระทู้ตอนที่ 2 http://ppantip.com/topic/32018464
กระทู้ตอนที่ 3 http://ppantip.com/topic/32059976
กระทู้ตอนที่ 4 http://ppantip.com/topic/32078429
ลมหอบใหญ่พัดผงคลีคละคลุ้งไปทั่วทางน้อยนอกเมือง บุรุษเคราครึ้มผู้หนึ่งนอนจิบสุราจากกระปุกเคลือบใต้แท่นบูชาในศาลเจ้าแชเล้งเอิ้ย บุรุษซ่อมซ่อผู้นี้ดูไปมีวัยไม่น้อยแล้วแต่มิทราบด้วยเหตุใดมิว่าท่านจะมองมุมไหนก็มิอาจว่ามันชราเด็ดขาด ความจริงแล้วศาลเจ้าแห่งนี้ทรุดโทรมยิ่ง แต่ประหลาดนักที่บุรุษผู้นั้นกลับยึดถือราวคล้ายกับเป็นปราสาทราชวังก็มิปาน ขณะที่กำลังเคลิ้มจะหลับพลันบังเกิดเสียงโครมคราม หน้าประตูปรากฏสตรีนางหนึ่ง สวมชุดเปอะเปี้อน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแผลพุพอง ร่ำร้องหน้าแท่นบูชาว่า
“สวรรค์ ข้าพเจ้ากระทำผิดไปแล้ว บิดาไม่ผิดอันใดเหตุไฉน ท่านผู้เฒ่าถึงต้องรับกรรมจาก เดียรัจฉานเฮ้งสี่ตงด้วย” กล่าวพลางกรีดร้องสยายผม นอนฟุบนิ่ง ไม่นานก็ลุกขึ้นร่ำร้องใหม่ ทำลายขว้างปาข้าวของไปทั่วจากนั้นพลันลุกขึ้นหมายจะพังรูปปั้นเทพเจ้ามังกรเขียวที่ตั้งอยู่บนแท่นสักการะ แต่ก้าวพลาดร่วงหล่นลงมาศรีษะฟาดกับมุมโต๊ะ บุรุษผู้นั้นเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นครุ่นคิดขึ้นว่า ที่แท้เป็นสตรีวิกลจริตผู้หนึ่ง ขณะกำลังจะจิบสุราอีก สตรีวิกลจริตพลันลุกขึ้นร่ำร้องว่า “บิดา ผู้บุตรเสียใจอย่างยิ่ง” จากนั้นพลันวิ่งเข้าชนผนังหวังไว้ว่านี่เป็นการจบเรื่องราวทั้งหมดในชีวิต
เมื่อวิกาลกรายมาเยือน สตรีวิกลจริตลืมตาขึ้นช้าๆ เมื่อพบว่าตนเองยังไม่ตายก็ทั้งรู้สึกดีใจและเสียใจพร้อมกัน จากนั้นพลันลุกขึ้นหมายจะรำร้องอาละวาดอีก แต่จนใจที่มือเท้าไม่อาจเคลื่อนไหวได้ ไม่นานก็ได้ยินเสียงหยาบกระด้างเอ่ยถามว่า “ยังเจ็บปวดที่ศรีษะอยู่หรือไม่ ตอนนี้ท่านอย่าเพิ่งได้ขยับ” กล่าวจบบุรุษเคราครึ้มเห็นนางนิ่งไม่ตอบเพียงหลั่งน้ำตาดุจทำนบกั้นแตกเท่านั้น
“โกวเนี้ย มีเรื่องราวใดคับแค้นใจจึงคิดสั้นเช่นนี้” บุรุษเคราครึ้มถาม
นางสะอึกสะอื้นหันมาตอบคำว่า “เรามิใช่โกวเนี้ยอันใดแล้ว เราไม่ควรมีอันใดแล้ว” จากนั้นกรีดร้องสุดเสียง “เราเป็นฮูหยินของเดียรัจฉานผู้นั้น “ จากนั้นร่ำร้องไห้อีกพร้อมพึมพัมพอจับใจความได้ว่า “บิดาผู้บุตรขออภัย”
เหตุการณ์ดำเนินไปร่วมสองวัน บุรุษเคราครึ้มจะคอยใช้สันมือฟาดเบาไปที่ขม่อมนางเบาๆทุกครั้งเมื่อนางตระหนก และคอยพูดพึมพำขณะนางหลับใหล เมื่อนางฟื้นตื่นครั้งหนึ่งก็คล้ายดั่งมีสติสมบูรณ์ขึ้นส่วนหนึ่ง เมื่อนางฟื้นตื่นอีกครั้งบุรุษเคราครึ้มผู้นั้นเดินเข้ามาจากนั้นไถ่ถามว่า
“ฮูหยิน(คำยกย่องภรรยาของผู้อื่น) เกิดเหตุอันใดขึ้น ไฉนจึงคิดสั้นฆ่าตัวตาย”
นางร่ำไห้ส่ายศรีษะไปมา กล่าวว่า “นี่เป็นบาปกรรมของเราเอง สองมือเราแม้มิได้สังหารบิดา แต่ก็เปรียบดั่งฆ่าท่านผู้เฒ่าด้วยตัวเอง” นางถอนหายใจร่ำไห้อยู่นานสองนาน จากนั้นจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดแก่บุรุษเคราครึ้มผู้นั้นฟังแต่ต้น
ที่แท้แล้วสตรีวิกลจริตผู้นี้นางคือจิวยู่อี่ หลังจากที่เฮ้งสี่ตงใช้ยาพิษทำร้ายใบหน้านางแล้วก็จับนางไปขังไว้ยังห้องเก็บฟืน นางสลบไสลไม่ได้สติไปนานเมื่อฟื้นขึ้นมารู้สึกใบหน้าแสบร้อนสุดประมาณจนต้องเกาจนเลือดหลั่งไหล แต่ยิ่งเกากลับพบว่ายิ่งคันชา จนอยู่มาวันหนึ่งบริวารที่ส่งข้าวส่งน้ำกลับเลินเล่อลืมลงกลอนนางจึงหลบหนีออกมา ตอนนั้นภายในบ้านตระกูลจิวกำลังจัดงานศพให้แก่เจ้าของบ้าน นางเห็นดังนั้นไม่คิดกระไรจึงเข้าไปหมายคิดเปิดโปงแผนร้ายของเฮ้งสี่ตงแต่เมื่อเข้าไปถึงก็ได้ร่ำร้องด่าทอ เฮ้งสี่ตงเองก็ยืนอยู่ตรงนั้นแต่มิได้อนาทรร้อนใจแต่อย่างใด เมื่อด่าทอไปได้สักพักผู้คนเห็นเฮ้งสี่ตงไม่ตอบโต้อันใดต่างพากับซุบซิบนินทา แต่เมี่อนางกล่าวว่านางคือจิวตั่วเสียวเจี๊ยะเหตุการณ์กลับพลิกผัน เนื่องจากจิวยู่อี่ที่สวมชุดไว้ทุกข์พลันเดินออกมา สองตานางบวดแดงพลางกล่าวว่า “บิดาเราเสียชีวิตก็...ก็ทำร้ายเราเกินพอแล้ว เหตุใดท่านจึงต้องให้ร้ายเราและ...และเฮ้งซิงแซอีก” จิวยู่อี่ได้แต่ตะลึงตะลาน บริวารบุรุษสตรีภายในบ้านต่างถือไม้กวาดขับไล่และทุบตีนาง แม้แต่แม่นมของนางยังด่าทอออกมา
“สตรีอัปลักษณ์ สตรีโสโครก เราถล่มมารดาเจ้าหากเจ้ากล่าววาจาลบหลู่เล่าเอิ้ยผู้เฒ่าและเฮ้งจงก้วงอีกแล้วล่ะก็มารดาไม่จับเอารองเท้ายัดปากเจ้าก็แปลกไปแล้ว” พลางร่ำร้องพร้อมเอาไม้กวาดทุบตีไล่หลัง
จิวยู่อี่วิ่งหนีโดยไม่จำแนกทิศทาง เมื่อเหน็ดเหนื่อยจึงล้มตัวข้างลำธารสายหนึ่งแลเห็นสตรีอัปลักษณ์ที่สะท้อนบนผิวน้ำก็ตื่นตกใจแทบสิ้นสติ รำพึงเบาว่า “มิน่าเล่าแม้แต่เนียมา(แม่นม)เรายังจดจำเราไม่ออกที่แท้เรากลายเป็นสตรีอัปลักษณ์โสโครกไปแล้วจริงๆ” นางประหวัดหวนนึกถึงจิวซุ่นผู้เป็นบิดาก็โศกเศร้าจากนั้นหวนนึกถงความหวานชื่นที่มีกับเฮ้งสี่ตง นางบัดเดี๋ยวปวดร้าวบัดเดี๋ยวแช่มชื่นแล้วก็ย้อนกลับมาหดหู่จนต้องร่ำร้องไห้ออกมา จนอีกสักประเดี๋ยวเมื่อนึกถึงคารมเรื่องตลกของเฮ้งสี่ตงนางก็เผยอยิ้มออกมาทั้งน้ำตาอีก เป็นสลับกันไปมาจนสิ้นสติไปในที่สุด เมื่อนางตื่นขึ้นก็ออกเดินไปตามทางในเมือง ในใจนึกถึงแต่เรื่องของจิวซุ่นผู้เป็นบิดาและเฮ้งสี่ตงเท่านั้น ชาวบ้านร้านตลาดเห็นนางอัปลักษณ์ที่เข้าไปก่อกวนงานบ้านตระกูลจิวประกอบกับนางสกปรกมอมแมมก็นึกรังเกียจจึงเอาสิ่งของขว้างปจนนางบาดเจ็บและเสียสติมากขึ้น เดินอยู่เช่นนี้สองวันก็ได้มายังศาลบูชาแชเล้งแห่งนี้
ชายเคราครึ้มได้ฟังก็นึกเชื่อครึ่งมิเชื่อครึ่ง แต่หวนคิดถึงเรื่องหนหลังที่ตนเองต้องถูกความคับแค้นใจจากการถูกปรักปรำกัดกร่อนจนแทบไม่เหลือความเป็นคน ก็ตกลงปลงใจว่าจะลองสืบสาวและช่วยเหลือนางสักครา จึงกล่าวอย่างขึงขังว่า
“ฮูหยินโปรดพักผ่อน เรื่องอยุติธรรมที่เกิดขึ้นนี้เราจะสืบสาวและคลี่คลายให้แก่ท่าน”
จิวยู่อี่ทั้งนึกวิตกแทนและขบขันในท่าทีเนื่องด้วยตระกูลจิวของนางมีทั้งทรัพย์สมบัติและอำนาจมากหลายกรปรกับเฮ้งสี่ตงเจ้าเล่ห์เพทุบาย บุรุษเคราครึ้มตรงหน้าหากคิดสืบสาวความไยมิใช่เอาตั๊กแตนไปหยุดล้อรถกันเล่า? แม้จะคิดดังนั้นแต่ก็อดต้องลอบสำนึกตื้นตันมิได้ บัดนี้นางคล้ายลอยคออยู่กลางทะเลแม้มีเพียงเศษไม้มาให้นางเกาะอาศัยเพียงชั่วครู่ยามก็เป็นที่สำนึกตื้นตันมากมายแล้ว
นางไม่ได้กล่าวกระไร ไม่แม้แต่กล่าวขอบคุณ แต่ดวงตานางได้กล่าวแทนไปแล้ว และนางก็เชื่อว่าบุรุษตรงหน้าเข้าใจนางดี
ชายชราเคราครึ้มไม่กล่าวกระไรเช่นกัน เพียงจิบสุราจากกระปุกเคลือบและไม่สบตาจิวยู่อี่อีก ไม่นานอากาศที่เย็นลงจากเมฆฝนที่ตั้งเค้าก็พาจิวยู่อี่เข้าสู่ห้วงนิทรา