(ต่อจากกระทู้
https://ppantip.com/topic/41743798)
"ต่อจากนั้น พระราชาทรงโปรดให้พระโพธิสัตว์เอาลูกธนูยิงทะลุแผ่นเหล็กหนา ๘ นิ้ว ต่อจากนั้น ทรงให้พระโพธิสัตว์ยิงทะลุกระดานไม้ประดู่หนา ๔ นิ้ว แล้วทรงให้พระโพธิสัตว์ยิงทะลุแผ่นกระดานไม้มะเดื่อหนาคืบหนึ่ง ส่วนเจ้าศากยะทั้งหลายก็ตรัสให้พระโพธิสัตว์ยิงเกวียนบรรทุกทราย เกวียนบรรทุกฟาง เกวียนบรรทุกไม้เลียบ แล้วทรงยิงลูกธนูไปในน้ำอุสภะหนึ่ง บนบกได้ประมาณ ๘ อุสภะ นี่ไม่น่าอัศจรรย์เท่ากับการดับกิเลส แต่ว่าก่อนที่จะถึงกาลที่จะดับกิเลสได้ ก็จะเห็นได้ว่าพระกำลังของพระองค์ ความสามารถของพระองค์เป็นเลิศกว่าบุคคลอื่น
ครั้งนั้น เจ้าศากยะทั้งหลายตรัสกับพระโพธิสัตว์ว่า ควรยิงขนทรายที่หมายไว้ที่ผลมะอึก พระโพธิสัตว์ตรัสว่า ถ้าอย่างนั้นพวกท่านจงผูกผลมะอึกไกลประมาณโยชน์หนึ่ง แล้วให้ผูกขนทรายที่หมายไว้ที่ผลมะอึกไกลประมาณโยชน์หนึ่ง ทรงยิงธนูไป ลูกธนูนั้นไปผ่าขนทรายไกลประมาณโยชน์หนึ่ง แล้วเข้าไปสู่แผ่นดิน ไม่ใช่เพียงเท่านั้น วันนั้นพระมหาบุรุษทรงแสดงศิลปะที่ใช้กันอยู่ในโลกทุกอย่าง (ความละเอียดมีในพระไตรปิฏกและอรรถกถา)
ครั้งนั้น เจ้าศากยะทั้งหลายประดับธิดาของตน ส่งไปถวายพระโพธิสัตว์ สตรี ๔ หมื่นนาง ได้เป็นพระสนม ส่วนพระเทวีมารดาพระราหุลได้เป็นพระอัครมเหสี พระมหาบุรุษทรงแวดล้อมด้วยสตรีวัยรุ่นเหมือนเทวกุมารอันเทพธิดาวัยรุ่นแวดล้อมทรงประกอบด้วยดนตรีที่ไร้บุรุษบำเรออยู่ เสวยมหาสมบัติ ประทับอยู่ ณ ปราสาท ๓ หลังนั้น เปลี่ยนไปตามฤดู วันคืนล่วงไปจากทรงเป็นพระกุมาร จนทรงอภิเษก ก่อนที่จะทรงได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อใกล้เวลาตรัสรู้ของพระโพธิสัตว์ ขณะพระองค์เสด็จประพาสพระอุทยาน เทพบุตรองค์หนึ่งทรงแสดงตนเป็นคนชรา ฟันหัก ผมหงอก ตัวค้อมลง สั่นเทา พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตร แล้วทรงสังเวชพระหฤทัยว่า น่าตำหนิชาติการเกิดจริงหนอ ที่คนเกิดมาแล้วต้องแก่ พระองค์เสด็จกลับจากที่นั้น แล้วเสด็จขึ้นปราสาท
ความแก่มีปรากฏตลอดเวลา แต่ใครบ้างที่เห็นความแก่แล้ว จะเห็นโทษของความเกิดว่าที่แก่นั้นก็เพราะเกิด ถ้าไม่เกิดก็ไม่ต้องแก่ คนที่เกิดแล้วที่จะไม่แก่นั้นไม่มี ยิ่งมีวัยสูงมากจนถึงกับฟันหัก ตัวค้อมลง สั่นเทา ก็ยิ่งเห็นโทษภัยมาก ด้วยเหตุนี้ พระโพธิสัตว์ทรงสังเวชพระหฤทัย แลพระปัญญาที่ได้ทรงสะสมมา ก็ทำให้ทรงเห็นโทษของการเกิด ซึ่งทุกคนในขณะนี้ก็เห็นความแก่ แต่ว่าจะเห็นโทษของความเกิดหรือไม่ ถ้าปัญญาไม่พอ เห็นแล้วก็ผ่านไป แต่ถ้ามีปัญญาก็สามารถที่จะเห็นความน่าสังเวชสลดใจว่า ความแก่นั้นมาจากความเกิด วันรุ่งขึ้นพระโพธิสัตว์เสด็จประพาสพระอุทยานอีก ทรงเห็นเทพซึ่งแสดงตนเป็นคนเจ็บ ทรงสังเวชพระหฤทัย เสด็จกลับขึ้นปราสาท
คนเจ็บเป็นคนที่น่าสงสาร มีความทุกข์ซึ่งก่อนเจ็บนั้นไม่มีทุกข์อย่างนั้น ไม่ว่าจะเจ็บส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย จะเห็นได้ว่าเป็นทุกข์อย่างยิ่ง จะไม่มีความเป็นปกติสุข ไม่ว่าในเรื่องของการจะลุก จะนั่ง จะยืน จะเดิน หรือแม้แต่จะนอน ความสนุกสนานเพลิดเพลินต่างๆ ความสะดวกสบายต่างๆ ก็ไม่มี แล้วยังจะต้องมีความเจ็บปวดของร่างกายด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ต้องมาจากการเกิดนั่นเอง
วันรุ่งขึ้น พระโพธิสัตว์เสด็จประพาสพระอุทยาน ทรงเห็นเทพซึ่งแสดงตนเป็นคนตาย ทรงสังเวชพระหฤทัย แล้วเสด็จกลับขึ้นปราสาท แม้วันรุ่งขึ้น พระโพธิสัตว์ก็เสด็จประพาสพระอุทยาน ทรงเห็นเทพซึ่งแสดงตนเป็นนักบวช พระบารมีที่ได้ทรงบำเพ็ญมา ทำให้พระโพธิสัตว์ทรงพอพระทัยในการบวช ซึ่งใกล้ที่จะบรรลุถึงการตรัสรู้อริยสัจจธรรม
สมัยนั้น พระเจ้าสุทโธทนะมหาราชทรงสดับข่าวว่า พระมารดาของพระราหุล ประสูติโอรส ก็ทรงส่งข่าวให้พระโพธิสัตว์ทรงทราบ พระโพธิสัตว์ทรงทราบแล้วตรัส ว่า "ห่วงเกิดแล้ว เครื่องผูกเกิดแล้ว" พระราชาทรงสดับคำนั้น จึงตรัสว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปหลานเราพึงชื่อว่า "ราหุลกุมาร" แม้พระโพธิสัตว์ก็ขึ้นทรงรถนั้น เสด็จเข้าสู่พระนครพร้อมด้วยข้าราชบริพารหมู่ใหญ่ สมัยนั้นนางกษัตริย์พระนามว่า กีสาโคตมี ทรงเห็นพระรูปศิริของพระโพธิสัตว์ กำลังเสด็จเข้าสู่พระนคร ทรงเกิดปิติโสมนัสขึ้น ทรงเปล่งอุทานนี้ว่า
บุรุษนี้เป็นบุตรของมารดาผู้ใด มารดาผู้นั้นก็เย็นใจแน่
เป็นบุตรของบิดาผู้ใด บิดาผู้นั้นก็เย็นใจแน่
เป็นสามีของนารีผู้ใด นารีผู้นั้นก็เย็นใจแน่
คือไม่นำความทุกข์ ความเดือดร้อนมาให้ใครทั้งนั้น
พระโพธิสัตว์ทรงสดับอุทานนั้นแล้วทรงดำริว่า สตรีผู้นี้ให้เราได้ยินถ้อยคำที่น่าฟังอย่างดี ด้วยว่าเราก็กำลังเที่ยวแสวงหานิพพาน วันนี้นี่แหละ ควรที่เราละทิ้งฆราวาสวิสัย แล้วออกบวช แสวงหานิพพาน ทรงเปลื้องแก้วมุกดาหารที่มีค่านับแสนออกจากพระศอ ประทานแก่เจ้าหญิงกีสาโคตมี ด้วยหมายพระทัยว่า แก้วมุกดาหารนี้จงเป็นสักการะส่วนบูชาอาจารย์สำหรับเจ้าหญิงพระองค์นี้
ฝ่ายพระโพธิสัตว์เสด็จขึ้นปราสาทที่น่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง ถึงแม้จะเป็นปราสาทที่น่ารื่นรมย์ แต่ความรู้สึกของคนที่เริ่มหน่ายความน่ารื่นรมย์ต่างๆ ก็จะเห็นว่าไม่น่ารื่นรมย์จริง เพราะแต่ก่อนนั้นเมื่อยังเพียบพร้อมด้วยกิเลสย่อมเห็นสิ่งต่างๆ เป็นสิ่งที่น่ารื่นรมย์ แต่เมื่อปัญญาเริ่มเจริญขึ้นย่อมเห็นว่าสิ่งที่เคยรื่นรมย์นั้น แท้ที่จริงแล้วหาเป็นสิ่งที่น่ารื่นรมย์ไม่ พระโพธิสัตว์บรรทมเหนือพระที่บรรทม ในทันใดนั้นเอง เหล่าสตรีรุ่นๆ ทั้งหลาย ผู้มีดวงหน้างามเหมือนดวงจันทร์เต็มดวง ฉลาดในการฟ้อนรำขับร้องและบรรเลง มีรูปโฉมงามเช่นเทพธิดา ถือดนตรีที่มีเสียงไพเราะพากันมาห้อมล้อมพระมหาบุรุษนั้นให้ทรงรื่นรมย์ ประกอบการฟ้อนการขับร้องและการบรรเลง แต่พระโพธิสัตว์ไม่ทรงยินดีในการฟ้อน การขับร้องเป็นต้น เพราะทรงมีจิตหน่ายในกิเลสทั้งหลาย บรรทมหลับไปครู่หนึ่ง
แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ ๒
(ต่อจากกระทู้ https://ppantip.com/topic/41743798)
"ต่อจากนั้น พระราชาทรงโปรดให้พระโพธิสัตว์เอาลูกธนูยิงทะลุแผ่นเหล็กหนา ๘ นิ้ว ต่อจากนั้น ทรงให้พระโพธิสัตว์ยิงทะลุกระดานไม้ประดู่หนา ๔ นิ้ว แล้วทรงให้พระโพธิสัตว์ยิงทะลุแผ่นกระดานไม้มะเดื่อหนาคืบหนึ่ง ส่วนเจ้าศากยะทั้งหลายก็ตรัสให้พระโพธิสัตว์ยิงเกวียนบรรทุกทราย เกวียนบรรทุกฟาง เกวียนบรรทุกไม้เลียบ แล้วทรงยิงลูกธนูไปในน้ำอุสภะหนึ่ง บนบกได้ประมาณ ๘ อุสภะ นี่ไม่น่าอัศจรรย์เท่ากับการดับกิเลส แต่ว่าก่อนที่จะถึงกาลที่จะดับกิเลสได้ ก็จะเห็นได้ว่าพระกำลังของพระองค์ ความสามารถของพระองค์เป็นเลิศกว่าบุคคลอื่น
ครั้งนั้น เจ้าศากยะทั้งหลายตรัสกับพระโพธิสัตว์ว่า ควรยิงขนทรายที่หมายไว้ที่ผลมะอึก พระโพธิสัตว์ตรัสว่า ถ้าอย่างนั้นพวกท่านจงผูกผลมะอึกไกลประมาณโยชน์หนึ่ง แล้วให้ผูกขนทรายที่หมายไว้ที่ผลมะอึกไกลประมาณโยชน์หนึ่ง ทรงยิงธนูไป ลูกธนูนั้นไปผ่าขนทรายไกลประมาณโยชน์หนึ่ง แล้วเข้าไปสู่แผ่นดิน ไม่ใช่เพียงเท่านั้น วันนั้นพระมหาบุรุษทรงแสดงศิลปะที่ใช้กันอยู่ในโลกทุกอย่าง (ความละเอียดมีในพระไตรปิฏกและอรรถกถา)
ครั้งนั้น เจ้าศากยะทั้งหลายประดับธิดาของตน ส่งไปถวายพระโพธิสัตว์ สตรี ๔ หมื่นนาง ได้เป็นพระสนม ส่วนพระเทวีมารดาพระราหุลได้เป็นพระอัครมเหสี พระมหาบุรุษทรงแวดล้อมด้วยสตรีวัยรุ่นเหมือนเทวกุมารอันเทพธิดาวัยรุ่นแวดล้อมทรงประกอบด้วยดนตรีที่ไร้บุรุษบำเรออยู่ เสวยมหาสมบัติ ประทับอยู่ ณ ปราสาท ๓ หลังนั้น เปลี่ยนไปตามฤดู วันคืนล่วงไปจากทรงเป็นพระกุมาร จนทรงอภิเษก ก่อนที่จะทรงได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อใกล้เวลาตรัสรู้ของพระโพธิสัตว์ ขณะพระองค์เสด็จประพาสพระอุทยาน เทพบุตรองค์หนึ่งทรงแสดงตนเป็นคนชรา ฟันหัก ผมหงอก ตัวค้อมลง สั่นเทา พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตร แล้วทรงสังเวชพระหฤทัยว่า น่าตำหนิชาติการเกิดจริงหนอ ที่คนเกิดมาแล้วต้องแก่ พระองค์เสด็จกลับจากที่นั้น แล้วเสด็จขึ้นปราสาท
ความแก่มีปรากฏตลอดเวลา แต่ใครบ้างที่เห็นความแก่แล้ว จะเห็นโทษของความเกิดว่าที่แก่นั้นก็เพราะเกิด ถ้าไม่เกิดก็ไม่ต้องแก่ คนที่เกิดแล้วที่จะไม่แก่นั้นไม่มี ยิ่งมีวัยสูงมากจนถึงกับฟันหัก ตัวค้อมลง สั่นเทา ก็ยิ่งเห็นโทษภัยมาก ด้วยเหตุนี้ พระโพธิสัตว์ทรงสังเวชพระหฤทัย แลพระปัญญาที่ได้ทรงสะสมมา ก็ทำให้ทรงเห็นโทษของการเกิด ซึ่งทุกคนในขณะนี้ก็เห็นความแก่ แต่ว่าจะเห็นโทษของความเกิดหรือไม่ ถ้าปัญญาไม่พอ เห็นแล้วก็ผ่านไป แต่ถ้ามีปัญญาก็สามารถที่จะเห็นความน่าสังเวชสลดใจว่า ความแก่นั้นมาจากความเกิด วันรุ่งขึ้นพระโพธิสัตว์เสด็จประพาสพระอุทยานอีก ทรงเห็นเทพซึ่งแสดงตนเป็นคนเจ็บ ทรงสังเวชพระหฤทัย เสด็จกลับขึ้นปราสาท
คนเจ็บเป็นคนที่น่าสงสาร มีความทุกข์ซึ่งก่อนเจ็บนั้นไม่มีทุกข์อย่างนั้น ไม่ว่าจะเจ็บส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย จะเห็นได้ว่าเป็นทุกข์อย่างยิ่ง จะไม่มีความเป็นปกติสุข ไม่ว่าในเรื่องของการจะลุก จะนั่ง จะยืน จะเดิน หรือแม้แต่จะนอน ความสนุกสนานเพลิดเพลินต่างๆ ความสะดวกสบายต่างๆ ก็ไม่มี แล้วยังจะต้องมีความเจ็บปวดของร่างกายด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ต้องมาจากการเกิดนั่นเอง
วันรุ่งขึ้น พระโพธิสัตว์เสด็จประพาสพระอุทยาน ทรงเห็นเทพซึ่งแสดงตนเป็นคนตาย ทรงสังเวชพระหฤทัย แล้วเสด็จกลับขึ้นปราสาท แม้วันรุ่งขึ้น พระโพธิสัตว์ก็เสด็จประพาสพระอุทยาน ทรงเห็นเทพซึ่งแสดงตนเป็นนักบวช พระบารมีที่ได้ทรงบำเพ็ญมา ทำให้พระโพธิสัตว์ทรงพอพระทัยในการบวช ซึ่งใกล้ที่จะบรรลุถึงการตรัสรู้อริยสัจจธรรม
สมัยนั้น พระเจ้าสุทโธทนะมหาราชทรงสดับข่าวว่า พระมารดาของพระราหุล ประสูติโอรส ก็ทรงส่งข่าวให้พระโพธิสัตว์ทรงทราบ พระโพธิสัตว์ทรงทราบแล้วตรัส ว่า "ห่วงเกิดแล้ว เครื่องผูกเกิดแล้ว" พระราชาทรงสดับคำนั้น จึงตรัสว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปหลานเราพึงชื่อว่า "ราหุลกุมาร" แม้พระโพธิสัตว์ก็ขึ้นทรงรถนั้น เสด็จเข้าสู่พระนครพร้อมด้วยข้าราชบริพารหมู่ใหญ่ สมัยนั้นนางกษัตริย์พระนามว่า กีสาโคตมี ทรงเห็นพระรูปศิริของพระโพธิสัตว์ กำลังเสด็จเข้าสู่พระนคร ทรงเกิดปิติโสมนัสขึ้น ทรงเปล่งอุทานนี้ว่า
บุรุษนี้เป็นบุตรของมารดาผู้ใด มารดาผู้นั้นก็เย็นใจแน่
เป็นบุตรของบิดาผู้ใด บิดาผู้นั้นก็เย็นใจแน่
เป็นสามีของนารีผู้ใด นารีผู้นั้นก็เย็นใจแน่
คือไม่นำความทุกข์ ความเดือดร้อนมาให้ใครทั้งนั้น
พระโพธิสัตว์ทรงสดับอุทานนั้นแล้วทรงดำริว่า สตรีผู้นี้ให้เราได้ยินถ้อยคำที่น่าฟังอย่างดี ด้วยว่าเราก็กำลังเที่ยวแสวงหานิพพาน วันนี้นี่แหละ ควรที่เราละทิ้งฆราวาสวิสัย แล้วออกบวช แสวงหานิพพาน ทรงเปลื้องแก้วมุกดาหารที่มีค่านับแสนออกจากพระศอ ประทานแก่เจ้าหญิงกีสาโคตมี ด้วยหมายพระทัยว่า แก้วมุกดาหารนี้จงเป็นสักการะส่วนบูชาอาจารย์สำหรับเจ้าหญิงพระองค์นี้
ฝ่ายพระโพธิสัตว์เสด็จขึ้นปราสาทที่น่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง ถึงแม้จะเป็นปราสาทที่น่ารื่นรมย์ แต่ความรู้สึกของคนที่เริ่มหน่ายความน่ารื่นรมย์ต่างๆ ก็จะเห็นว่าไม่น่ารื่นรมย์จริง เพราะแต่ก่อนนั้นเมื่อยังเพียบพร้อมด้วยกิเลสย่อมเห็นสิ่งต่างๆ เป็นสิ่งที่น่ารื่นรมย์ แต่เมื่อปัญญาเริ่มเจริญขึ้นย่อมเห็นว่าสิ่งที่เคยรื่นรมย์นั้น แท้ที่จริงแล้วหาเป็นสิ่งที่น่ารื่นรมย์ไม่ พระโพธิสัตว์บรรทมเหนือพระที่บรรทม ในทันใดนั้นเอง เหล่าสตรีรุ่นๆ ทั้งหลาย ผู้มีดวงหน้างามเหมือนดวงจันทร์เต็มดวง ฉลาดในการฟ้อนรำขับร้องและบรรเลง มีรูปโฉมงามเช่นเทพธิดา ถือดนตรีที่มีเสียงไพเราะพากันมาห้อมล้อมพระมหาบุรุษนั้นให้ทรงรื่นรมย์ ประกอบการฟ้อนการขับร้องและการบรรเลง แต่พระโพธิสัตว์ไม่ทรงยินดีในการฟ้อน การขับร้องเป็นต้น เพราะทรงมีจิตหน่ายในกิเลสทั้งหลาย บรรทมหลับไปครู่หนึ่ง