⚡️⚡️⚡️ /// เพลงพิณปลิดวิญญาณ /// ⚡️⚡️⚡️ - ตอนที่ 6 - ⚡️⚡️⚡️

กระทู้คำถาม
ตอนที่ 1 = https://ppantip.com/topic/36682658

ตอนที่ 2 = https://ppantip.com/topic/36689592

ตอนที่ 3 = https://ppantip.com/topic/36698364

ตอนที่ 4 = https://ppantip.com/topic/36708706

ตอนที่ 5 = https://ppantip.com/topic/36724271



วันที่ 7 ครบหนึ่งสัปดาห์แล้ว ที่ต้าหยง ฝึกสมาธิพร้อมกับวรยุทธอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง บนยอดเขาหลูซานอันหนาวเหน็บ ไอหมอกครอบคลุมทั่วทั้งเทือกเขา โดยมีเหล่าสหายคอยอารักขาดูแล

วันนี้ สมาธิของจอมพิณ กำลังพยายามปีนขึ้นไปในระดับที่สูงกว่าเดิม ขณะกำลังนั่งขัดสมาธิ หงายฝ่ามือทั้งสองวางบนตักโดยมือขวาทับมือซ้ายตามหลักการฝึกสมาธิซึ่งเคยร่ำเรียนมาจากแม่ชีไร้กังวล หลับตา และฟังชุนเอ๋อร์ผู้เป็นศิษย์อ่านข้อความที่สองในบันทึกของแม่ชีผู้เป็นอาจารย์ให้ฟัง

" บทที่สอง...ลิงตัวหนึ่ง ซ่อนตัวอยู่ในดงต้นตาล สามสิบสองต้น นายพรานมาร้องตะเพิดคราหนึ่ง มันก็กระโจนไปที่ต้นตาลอื่น ครั้นนายพรานนั้นร้องตะเพิดอีก มันก็กระโจนไปอีกต้นหนึ่ง เป็นเช่นนี้ ครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายลิงก็เหนื่อย หมอบอยู่ที่ต้นตาลต้นสุดท้าย ไม่โผล่ออกมาอีก แม้นายพรานจะร้องตะเพิดมากเพียงใด ก็หายอมโผล่ไม่..."

ชุนเอ๋อร์อ่านจนถึงตรงนี้ ก็หยุดไปชั่วครู่ ก่อนจะบอกผู้เป็นอาจารย์ "ข้อความบทที่สอง จบแล้วค่ะ ท่านอาจารย์"

ต้าหยงพยักหน้า พลางครุ่นคิด...ลิงคือจิตใจคนเราเป็นแน่แท้ แต่ต้นตาล หมายถึงสิ่งใดกันแน่ ? และเหตุใดจึงมีสามสิบสองต้น ? นายพรานอีกเล่า คือสิ่งใดกัน ? หากมิอาจไขปริศนาเหล่านี้ในบทที่สองนี้ได้ ก็มิอาจฝึกปรือขั้นต่อไปได้...

ครั้นคิดแล้วก็ลืมตาขึ้น ถามศิษย์สาว

"เจ้าพอจะตีความหมายได้บ้างหรือไม่ ชุนเอ๋อร์ ?"

นางทำท่าครุ่นคิด เม้มปาก จับปลายผมส่วนที่ยาวพาดอยู่บนอกด้านซ้ายและขวามาเขี่ยกันเล่น

"อืม...ข้าเคยอ่านตำราเกี่ยวกับพระธรรมมาบ้างนิดหน่อย สิ่งที่มีจำนวนสามสิบสอง คือส่วนต่างๆของมนุษย์ ทั้งข้างนอกและข้างในกายกระมังคะ ?"

"สิ่งเหล่านั้น มีอะไรบ้างเล่า ?" จอมพิณเลิกคิ้วถาม

"ท่านยาย แม่ชีไร้กังวล มิได้สอนท่านหรือคะ ท่านอาจารย์ ?" นางกลับย้อนถาม

"ไม่เคยสอนเรื่องนี้" เขาส่ายหน้า "ตอนที่ข้าอยู่กับท่านยาย เป็นช่วงที่ข้าเพิ่งเริ่มฝึกสมาธิชั้นเบื้องต้นเท่านั้น ไหนเลยจะเคยได้ยินถ้อยคำพิสดารเช่นนี้"

ศิษย์สาวพยักหน้า แล้วเริ่มไขความตอนต้นแห่งปริศนาธรรม

" ข้าจำได้เพียงว่า เริ่มต้นด้วย เส้นผม เส้นขน เล็บ หนัง เนื้อ เส้นเอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ....ขออภัยด้วยค่ะท่านอาจารย์ ข้าจำได้เพียงเท่านี้ "  

ต้าหยงพยักหน้าอีกครั้ง แล้วออกความเห็น

" จำได้เพียงเท่านี้ ย่อมไม่เพียงพอแน่นอน จำนวนทั้งหมดมีถึง 32 แต่เจ้าจำได้เพียง 8 อย่างเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจำต้องเสาะแสวงหาใครสักคนซึ่งมีความรู้เรื่องนี้ อาจจะเป็นหลวงจีนสักรูปหนึ่ง แต่บนเขาสูงเช่นนี้จะมีวัดตั้งอยู่บ้างหรือไม่ ?"

"บนนี้ไม่มีแน่ แต่ข้างล่างมี พี่หยง" เซียนขลุ่ยไว่ซิง หรือนามเดิม เฉิงจี กล่าวบอก

"ใช่ค่ะ พี่หยง...เอ้อ ข้าขอเรียกท่านเช่นนี้ ตามอย่างพี่ซิงเถิดนะ" หลี่ฮวากล่าวเสริม พร้อมทั้งขออนุญาตเรียกขานจอมพิณอย่างที่ชายในดวงใจนางเรียก

" ที่เชิงเขาด้านตะวันออก มีวัดชื่อ ตงหลินซื่อ ตั้งมาประมาณร้อยปี "

"ถ้าเช่นนั้น พวกเราลงจากเขา ไปที่วัดนั้นกันเถิด"  จอมพิณชักชวน และทุกคนล้วนเห็นด้วย

คนทั้งหมด จึงพากันลงจากยอดเขาหลูซานทางทิศตะวันออก มุ่งหน้าสู่วัดตงหลินในบ่ายวันนั้น

*************************************************************************************************************

ต้าหยงและคณะ ลงมาถึงเชิงเขาในเวลาเย็น สอบถามชาวบ้านที่สัญจรผ่านมาถึงหนทางไปวัดตงหลิน ครั้นทราบทางแล้วจึงพากันเดินทางต่อไป เมื่อเห็นวัดอยู่ข้างหน้า ดวงตะวันก็กำลังจะลับฟ้า ความมืดยามราตรีเริ่มย่างกรายเข้าปกคลุม

เซียนขลุ่ยแหงนมองฟ้า แล้วเอ่ยปากชักชวนทุกคน

"ฟ้าเริ่มจะมืดแล้ว พวกเรา หาโรงเตี๊ยมสักแห่งพักกันก่อนเถิด พรุ่งนี้ค่อยเข้าวัดกัน"

ทุกคนกล่าวคำ "ประเสริฐ!" เป็นอันหมายให้รู้ว่าเห็นด้วย ทั้งหมดจึงเที่ยวหาสถานที่พัก แล้วก็พบโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ห่างไกลจากวัดตงหลินประมาณสามลี้ เมื่อเข้าไปติดต่อจนได้ห้องพักกันแล้ว จึงพากันออกจากห้องพักชั้นสองลงมาสั่งสุราอาหารดื่มกินกันที่ชั้นล่าง โดยเลือกโต๊ะที่อยู่ใกล้กับหน้าต่างทางทิศตะวันออก

ชั้นล่างของโรงเตี๊ยม คืนนี้ผู้คนอุ่นหนาฝาคั่ง หลังจากอาทิตย์ตกดินไปไม่นาน เสียงคนพูดคุยกัน เสียงสั่งสุราอาหารดังจอแจไปทั่ว โต๊ะที่ดื่มสุรากันบางโต๊ะ คนดื่มกันจนเมามาย เสียงยิ่งมายิ่งดัง

และโต๊ะหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ๆกับโต๊ะของจอมพิณและคณะ ก็เป็นอีกโต๊ะหนึ่งซึ่งเริ่มพูดคุยกันเสียงดัง

ต้าหยงและบรรดาสหายล้วนไม่สนใจ ยังคงดื่มกินกันเรื่อยไป พูดคุยกันบ้างเป็นระยะๆ

จนกระทั่งช่วงหนึ่ง ต้าหยงก็ต้องสะดุดหู กับคำพูดของบุรุษผู้หนึ่งซึ่งกำลังกล่าวกับสหายของตน ดังมาจากโต๊ะข้างหลัง

"พวกเจ้ารู้หรือไม่ หลวงจีนถิงซา (แปลว่า ผู้หยุดสังหาร) จะรับตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสในวันพรุ่งนี้ ?"

"แน่นอนสิ! ข้ารู้...ทุกคนล้วนรู้กันทั้งนั้น" มีสหายคนหนึ่งตอบ

"เช่นนั้นรึ ? " คนตั้งคำถามแค่นเสียง "แล้วเจ้ารู้หรือไม่ เหตุใด หลวงจีนหน้าอัปลักษณ์นั่น จึงใช้ชื่อว่า ถิงซา ?"

"ท่านเลิกฆ่าสัตว์แล้วอย่างไรเล่า! ประหลาดที่ใดกัน ? ชื่อฉายาท่าน หมายถึงหยุดการฆ่าฟัน ไม่ประเสริฐหรือไร ?" สหายคนเดิมเถียงและย้อน

"เฮอะ!!" บุรุษนั้นแค่นเสียงอีกหนแล้วตามด้วยคำสบถ "หยุดการฆ่าฟัน ? มารดามันเถอะ !! ชื่อฉายานี้ เป็นดั่งวาจาผายลม !!!"

"เจ้าดูเหมือนเกลียดชังหลวงจีนท่านนี้ มีอคตินัก หรือว่าเจ้าทราบเรื่องราวใดของท่านที่ไม่ดี ?" เสียงสหายอีกคนหนึ่งกล่าวถามบ้าง

"ข้าย่อมรู้แน่ !! เพราะเมื่อก่อนนี้ ข้าเคยเห็นเขา เข่นฆ่าล้างตระกูล ๆ หนึ่งมาแล้ว!"

"ตระกูลใดกัน ?" เสียงร้องถามจากแทบทุกคนที่โต๊ะนั้น

แล้วจอมพิณก็หูผึ่ง ความรู้สึกพลุ่งพล่านแทบระงับไว้ไม่อยู่ กำหมัดแน่น ทั้งร่างกายเริ่มสั่น ดวงตาฉายแววแข็งกร้าวขึ้นมาให้ทุกคนเห็น เมื่อได้ยินคำตอบ

"ตระกูลหยิว !!!"

ทุกคนที่โต๊ะมีสีหน้าตื่นตระหนก พากันเหลือบแลข้ามโต๊ะ เซียนขลุ่ยส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามปราม เอื้อมมือขวามาตบหลังมือต้าหยงเบาๆ

"พี่หยง ใจเย็นไว้...ฟังพวกเขาต่อไป..."

เขาพยักหน้ารับ ด้วยแววตาซึ่งมีทั้งความเคียดแค้นและขมขื่น....เขาไม่เคยรู้เรื่องราวความเป็นมาอันใดของตระกูลหยิวของตนมาก่อนเลย นอกจากรู้เพียงว่า บิดาตายในการรบกับพวกมองโกล และมารดาก็ตายไปด้วยสุขภาพทรุดโทรมเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ตนเองนั้นถูกนำไปเลี้ยงโดยหญิงชราคนหนึ่งซึ่งพบตนเข้าโดยบังเอิญในกอหญ้าในป่า ซึ่งตอนนั้นหากนางไม่ไปพบเข้า ตนก็คงตกเป็นอาหารแก่สุนัขป่าไปแล้ว...นางพบตนในห่อผ้าพร้อมข้อความซึ่งเขียนไว้บนกระดาษแผ่นหนึ่งว่า "ท่านผู้ใดพบ โปรดช่วยเลี้ยงเด็กคนนี้ด้วย เขาชื่อ หยิวต้าหยง บิดาเขาตายเพราะรบกับทหารมองโกล ส่วนข้าเป็นมารดา จะตายในไม่ช้านี้แล้ว ข้าขอล่วงหน้าไปก่อน ขออภัยด้วย" ....ตนไม่เข้าใจความหมายคำ "ขอล่วงหน้าไปก่อน" นั้นว่ามารดาสุดท้ายตายอย่างไร และหลังจากนั้นตนเองก็ถูกเลี้ยงดูโดยหญิงชราใจดีคนนั้น ซึ่งไม่นานนางก็ลาจากโลกนี้ไป และนับตั้งแต่บัดนั้น ตนก็อยู่อย่างเดียวดายเรื่อยมา

"ตระกูลหยิวใดกัน ?" สหายอีกคนหนึ่งของโต๊ะข้างนั้นกล่าวถามอีก

"นั่นสิ" หลายคนเออออห่อหมกตาม "ไม่เห็นเคยได้ยินใครใช้แซ่นี้มาก่อนเลย"

"พวกเจ้าจะเคยได้ยินมาก่อนได้อย่างไรกันเล่า ? ในเมื่อพวกเขาถูกโจรชั่วสังหารล้างตระกูล !!!" บุรุษนั้นกล่าวย้ำ

ต้าหยงทำท่าจะผลุดลุกขึ้น แต่เฉิงจีฉุดข้อมือรั้งไว้ และส่ายหน้า

"อย่าเพิ่งวู่วามไป พี่หยง"

จอมพิณหน้าเครียด ยกสุราขึ้นดื่มทั้งไห

"ความหมายของเจ้าคือ หลวงจีนถิงซา เป็นคนที่เคยลงมือสังหารคนตระกูลหยิว เช่นนั้นหรือ ?" สหายคนเดิมที่โต๊ะนั้นกล่าวถาม

"มิผิด !!!" บุรุษนั้นตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "กาลเวลาผ่านมาหลายสิบปี มันเกิดรู้สึกหวาดกลัวบาปกระมัง จึงบวชเป็นหลวงจีน มันวางท่าดียิ่งต่อหน้าผู้อื่นให้ผู้คนเลื่อมใสศรัทธา ฆาตกรผู้โหดเหี้ยมอำมหิตในอดีต กลายเป็นหลวงจีนเฒ่า และพรุ่งนี้จะได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสแล้ว ฮะฮะฮ่ะ...มารดามันเถอะ !!!"

"แล้วเจ้า เกี่ยวข้องอะไรกับเขาในตอนนั้น ?" สหายอีกคนหนึ่งถาม

"ข้าหรือ ?" บุรุษนั้นย้อนถาม "ข้าก็เป็นผู้ที่มีส่วนในกรรมชั่วของมันเหมือนกัน...แต่ข้ามิได้ลงมือฆ่าใคร ข้าเป็นเพียงคนส่งข่าว ส่งเบาะแสคนในตระกูลหยิวคนหนึ่งเท่านั้น!"

"แต่การส่งข่าวของเจ้า ก็ทำให้โจรชั่วนั่นทำการล้างตระกูลได้สำเร็จ ?" สหายคนนั้นถามย้ำ

"ใช่! มิผิด!!"

"ที่แท้ โจรชั่วนั่น มันชื่อใดมาก่อน ก่อนจะมาเป็นหลวงจีน ?"

"จอมโจร ป๋ายหู่ (พยัคฆขาว) !!!" บุรุษนั้นกล่าวชัดถ้อยชัดคำ

"เจ้าทราบความเป็นมาอันชั่วช้าต่ำทรามของมันเช่นนี้ สมควรขัดขวางมิให้มันขึ้นครองตำแหน่งเจ้าอาวาส"

"แล้วเจ้าจะให้ข้าทำเช่นไร ? มีเพียงคำพูด เพียงลมปาก พูดคำใดออกไปก็คือผายลม! เพราะไร้พยานหลักฐาน ผู้ใดจะเชื่อ ?"

"นั่นสินะ..."

"เวรกรรม...เวรกรรมแท้"

แล้วพวกนั้นก็สนทนาปราศัยเรื่องอื่นๆกันต่อไป

เซียนขลุ่ย เอื้อมมือมาตบบ่าขวาของจอมพิณ พลางกล่าว

"พวกเรากลับห้องกันเถอะ พี่หยง ไปดื่มกันต่อในห้อง"

"ข้าอยากจะพูดคุยกับมัน!" ต้าหยงขบกราม ตาแดงก่ำด้วยความคั่งแค้น

"อย่าเพิ่งใจร้อนแหวกหญ้าให้งูตื่น...เราค่อยตามเรื่องไป ถึงตอนนี้ก็นับว่าทราบเรื่องมามากแล้ว พรุ่งนี้ ค่อยไปที่วัดกัน"

"ข้าคงต้องให้หลวงจีนรูปอื่นช่วยชี้แนะเคล็ดวิชาข้อธรรมะนั้น ต้องไม่ใช่หลวงจีนถิงซา หรืออดีตพยัคฆขาวโดยเด็ดขาด!!!"

"เอาเถิดน่า...พี่หยง...เรากลับห้องกันเถิด"

*************************************************************************************************************

เรื่องราวของชีวิตผู้คนใต้ฟ้า ล้วนมีอันแปรผันไปได้มากมาย เรื่องเหนือความคาดหมาย เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ กับทุกคน

เดิมที หยิวต้าหยง เพียงต้องการนักบวชผู้ทรงคุณธรรมสักรูปหนึ่งให้ช่วยชี้แนะข้อความของแม่ชีผู้เป็นอาจารย์บทที่สอง ให้เข้าใจความหมายและองค์ประกอบของ "ต้นตาล 32 ต้น" นั้นเท่านั้น.....มิคาดฝัน การนี้จะนำมาซึ่งการได้รับรู้เรื่องราวชาติกำเนิดอันน่าเศร้าของตนเอง

ต้าหยง ไม่เคยรู้จักกับคำว่า "ความแค้น" มาก่อนเลยในชีวิต....และมาวันนี้ เขารู้แล้ว เข้าใจกระจ่างแล้วว่า รสชาตของมัน เป็นอย่างไร ? คำกล่าวที่ว่า "แค้นนี้ ให้รอถึงสิบปี ก็ไม่สาย" เขาซาบซึ้งแก่ใจแล้ว !!!

"ท่านพ่อ...ท่านแม่...ข้าไม่เคยพบเห็นหน้าพวกท่านเลย ท่านพ่อ...ท่านเป็นนักรบ ตายด้วยน้ำมือของทหารมองโกลจริงหรือ ? ท่านแม่...ท่านเป็นโรคร้ายอันใด แล้วท่านหายไปไหน ก่อนจะทิ้งข้าไว้ในกอหญ้าในป่า ??? " จอมพิณนึกคร่ำครวญหวนไห้อยู่ในใจ "ชีวิตข้า เหตุใดจึงบัดซบเยี่ยงนี้ ? เลวร้ายมาตั้งแต่แรกเริ่ม ไม่เคยสมบูรณ์พูนสุขเยี่ยงอย่างใครเขา ยามเด็กก็ลำบากยากแค้นแสนสาหัส ถึงเติบใหญ่ ก็ผิดหวังกับความรักซ้ำซาก ซ้ำมาพบกับความจริงของชาติกำเนิดอันน่าแค้นใจนัก..."

เขาได้แต่นิ่งเงียบ ดื่มสุราไปเรื่อยๆ ไม่พูดจาอะไร ตั้งแต่เข้ามานั่งที่โต๊ะในห้อง โดยมีเฉิงจีนั่งอยู่ด้วย

"พี่หยง..." เซียนขลุ่ยเอ่ยทำลายความเงียบ " พี่พูดอะไรบ้างเถิด คิดเรื่องอันใดในใจบ้าง พอจะบอกให้ข้าทราบบ้างได้หรือไม่ ?"

เขาหันมามองหน้าสหายซึ่งเคยประลองยุทธด้วยเสียงดนตรีกัน ยิ้มอย่างขมขื่น

"จะมีอันใด ที่ข้าควรคิด มากไปกว่าการแก้แค้นให้บิดามารดาของตนเองเล่า ? ... พี่จี..."

เฉิงจีพยักหน้า ดื่มสุราจอกหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยคำปลอบใจ

"สวรรค์โหดร้ายกับท่านมากเกินไปจริงๆ ก่อนหน้านี้ ท่านไม่เคยเป็นเยี่ยงนี้มาก่อน ท่านดูสุขุมเยือกเย็น เหมือนไม่เคยมีความอาฆาตแค้นใดๆต่อใคร"

"มิผิดเลย...พี่จี..." เขาตอบ " ข้าไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเข้าใจคำว่า 'ความแค้น' ว่ามันเป็นอย่างไร ... จวบจนกระทั่งวันนี้"

(มีต่อครับ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่