ค่ำคืนหนึ่ง ท้องฟ้ามืดมิด เมฆฝนกล่นเกลื่อนท้องนภากาศ ฝนตกปรอยๆ โดยไร้ทีท่าว่าจะหยุดลงเมื่อใด...
ภายในห้องพักห้องแรก ใกล้บันไดทางขึ้นชั้นสองแห่งโรงเตี๊ยมเก่าคร่ำคร่า บุรุษหนึ่ง นั่งร่ำสุราอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ภายใต้แสงเทียนสลัว ในเวลาใกล้สองยาม เขานั่งครุ่นคิดสารพัดเรื่องราวที่ผ่านมาพลาง ยกจอกสุราสาดลงในลำคอไปพลาง ภายใต้บรรยากาศเงียบเชียบวังเวง ผู้คนในยามนี้โดยมากล้วนเข้าสู่นิทรากันแทบทั้งนั้น คงมีน้อยคนที่ยังมิอาจนอนหลับลงไปได้แล้วมานั่งร่ำสุราอยู่เพียงผู้เดียวเช่นเขานี้
จอกแล้วจอกเล่า ที่เขาป้อนให้แก่ตัวเอง ยินเสียงดนตรีบรรเลงมาแต่ไกล เป็นเสียงพิณประสานกับเสียงขลุ่ยบรรเลงเพลงซึ่งฟังดูให้อารมณ์หรรษาเบิกบาน แต่ทว่า มันหาได้ยังใจของเขาให้รื่นรมณ์คล้อยตามไปได้ไม่
" เอาแต่บรรเลงดนตรีรื่นเริง...เฮอะ !!! มารดาพวกเจ้าเถอะ !!! พวกเจ้า...มีเพียงแต่ความหฤหรรษ์ทุกชั่วยามเลยหรืออย่างไรกัน ? !!! "
บุรุษผู้เมามาย ก่นด่าเหล่านักดนตรีที่กำลังบรรเลงเพลงที่ตนกำลังยินเสียงมาแต่ที่ไกลนั้นอยู่ แล้วก็แหงนหน้าขึ้น พร้อมกับยกจอกสุราเทลงในปากอีกครา กลิ่นสุราอันขมขื่นคละคลุ้งแผ่ออกจากกายซึ่งปกคลุมด้วยเสื้อผ้าซอมซ่อ มีรอยขาดบ้าง มีร่องรอยปะชุนบ้างเกลื่อนไปทั่ว ราวกับเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของพวกวณิพก หรือคนของพรรคกระยาจกก็มิปาน...แต่ก็ยังมีปัญญาพาตนเข้ามาพักอยู่ในโรงเตี๊ยมโกโรโกโสแห่งนี้ได้ แทนที่จะไปนั่งหรือนอนทอดกายอยู่ข้างถนนดังคนอดอยากอนาถามากมายที่เขาเคยประสบพบเห็นมามากต่อมาก
บุรุษผู้อาจนับได้ว่าเป็นปีศาจสุรา สั่นศีรษะถี่ๆ แล้วเทสุราจากไหลงไปในจอก ยกขึ้นดื่ม แล้วสะบัดใบหน้าที่รกรุงรังด้วยหนวดและเคราที่มิได้โกนมานานนับเดือน สบถด่าเสียงดนตรีที่บรรเลงมาแต่ไกลนั้นอีกครั้ง
" บทเพลงบัดซบแท้ !! มีแต่อารมณ์รื่นเริงบันเทิงใจ...พวกเจ้ามิเคยลิ้มรสความผิดหวังอย่างใดมาบ้างเลยหรือไร ??? "
เขาสั่นศีรษะอีกครั้งอย่างเอือมระอาเต็มที แล้วก้มลงไปที่ปลายเท้า หยิบเครื่องดนตรีอย่างหนึ่งที่วางอยู่แทบเท้าของตนเองขึ้นมา ... มันคือ พิณหกสาย เครื่องดนตรีคู่ชีพเพียงหนึ่งเดียวที่เขาได้รับมาจากมารดาตั้งแต่เขามีอายุได้สิบสามขวบ ก่อนที่นางจะจากเขาไปอยู่ต่างแดน...
เขายกพิณตัวนั้นขึ้นมา แล้วเริ่มบรรเลงบทเพลงแห่งความเหงาและความเศร้า ตามแต่ใจจะนึกได้ว่า จะบรรเลงท่วงทำนองไปอย่างไร...
เสียงจากสายพิณในท่วงทำนองเศร้าโศก ดังกังวานทำลายความเงียบงันแห่งราตรีอันดึกสงัด และหากมีผู้ใดได้สดับการบรรเลงพิณในขณะนี้ ใจของผู้นั้นจะต้องสั่นสะท้านด้วยท่วงทำนองอันรันทดหดหู่นั้น
และในที่สุดก็มีผู้หนึ่งที่มิอาจอดทนฟังต่อไปได้มาอยู่ข้างหน้าประตูห้อง เคาะประตูสองสามคำรบ พลางเปล่งวาจาร้องเรียกผู้ที่กำลังบรรเลงเพลงพิณอยู่ในห้อง
" ท่านอาจารย์...... "
เสียงดนตรีอันยังผู้ฟังให้เศร้าสลดขาดตอนลง เพราะคนผู้บรรเลงหยุดมือไว้ และนั่งนิ่ง สายตาเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำให้คนข้างนอกเข้ามาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แต่อ่อนโยน...
" เลื่อนบานประตูเปิดเข้ามาเถิด... "
บานประตูห้องที่เก่าชำรุด ค่อยๆเปิดเลื่อนไปด้านขวา หญิงสาวนางหนึ่งในชุดขาว ก้าวเข้ามาในห้อง แล้วคุกเข่าลง ประสานมือทำความเคารพผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้โต๊ะที่มีไหสุราขนาดย่อมและจอกสุราวางอยู่
" ชุนเอ๋อร์ คารวะท่านอาจารย์ "
ผู้ถูกเรียกขานว่า "อาจารย์" พยักหน้า ส่งรอยยิ้มน้อยๆ และสายตารักใคร่ปนเศร้ามาที่นาง
" ไม่ต้องมากพิธีรีตองกับข้านักหรอก ลุกขึ้น...แล้วมานั่งที่เก้าอี้ข้างๆ ข้านี่เถิด "
" ขอบคุณท่านอาจารย์..." นางก้มศีรษะอีกครั้ง แล้วลุกขึ้น เดินไปที่เก้าอี้ตัวนั้น แล้วลากออกห่างตัวผู้ที่ตนเรียกว่า "อาจารย์" เล็กน้อย ก่อนจะนั่งลง
อาจารย์นักบรรเลงพิณ เหลือบมองนางหน่อยหนึ่ง แล้วหยิบไหสุราขึ้นมา ทำท่าจะรินสุราลงไปในจอก แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อได้ยินคำพูดของศิษย์สาว
" ให้ข้ารินสุราแก่ท่านเถิด ข้ามีอาหารเล็กน้อยมาเพื่อเป็นกับแกล้มด้วยค่ะ ท่านอาจารย์ "
เขาเลิกคิ้วขึ้น ทำท่าทางฉงน แล้วก็วางไหสุราที่ถือค้างอยู่ลงบนโต๊ะ
" ดึกดื่นป่านนี้...เจ้ายังหาอาหารมาให้ข้าอีก แทนที่จะพักผ่อนหลับนอน "
เขากล่าวด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจศิษย์สาว ซึ่งกำลังค่อยๆยกไหสุราขึ้น รินสุราลงไปจนเกือบเต็มจอก แล้วน้อมวางลงบนโต๊ะ ข้างหน้าผู้ที่ตนเรียกเป็นอาจารย์ กล่าวเสียงแผ่วเบา
" ค่อยๆ ดื่มค่ะ ท่านอาจารย์ "
ผู้เป็นอาจารย์ ยกจอกขึ้นมาจ่อที่ริมฝีปาก กำลังจะดื่ม แต่แล้วก็หยุดค้างไว้ แล้วถามศิษย์สาวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ...แต่ก็ยังมองเห็นความเศร้าอยู่ในแววตาที่อ่อนโยนคู่นั้น
" ไหนล่ะ...กับแกล้มที่เจ้าว่านำมาให้ข้า ? "
" โอ้......ขออภัยค่ะท่านอาจารย์....ข้าเกือบลืม อยู่ในถุงผ้านี่ค่ะ "
นางรีบปลดถุงผ้าที่สะพายบนบ่าข้างขวาลงมา แล้วเปิดปากถุงผ้าออก หยิบอาหารที่อยู่ภายในถุง....ที่แท้คือไก่ย่างตัวหนึ่งที่เพิ่งถูกย่างมาสดๆร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมโชยไปทั่วทั้งห้อง ศิษย์สาวครั้นหยิบไก่ย่างอันหอมหวนชวนบริโภคออกมาแล้วก็หยิบจานใบหนึ่งออกมาจากถุงผ้าใบเดียวกัน ก่อนจะวางไก่ย่างที่ตนทำมาสดๆร้อนๆลงบนจาน แล้วน้อมส่งให้อาจารย์บนโต๊ะ
"เชิญท่านอาจารย์ ค่อยๆ รับประทานกับสุราของท่านเถิดค่ะ "
"หอมน่ากินแท้..." ผู้เป็นอาจารย์กล่าวชม "ขอบใจเจ้ามากนะ...ชุนเอ๋อร์" ส่งสายตาแสดงความซึ้งใจให้นางอีกครั้ง ก่อนยกจอกสุราขึ้นดื่มหมดจอก แล้ววางจอกนั้นลง เอื้อมมือไปฉีกส่วนขาไก่มาจ่อที่ปากแล้วกัดกินอย่างเอร็ดอร่อย จนเหลือแต่กระดูก ทำท่าจะวางเศษขาไก่นั้นลงข้างโต๊ะ ก็มีจานอีกใบหนึ่งเลื่อนเข้ามารับ ที่แท้นางเตรียมจานมาอีกใบหนึ่งไว้แล้ว มิหนำซ้ำ ยังส่งผ้าอีกผืนหนึ่งที่เตรียมมาแล้วเช่นกัน วางไว้ข้างๆจานใบนั้น
"ท่านอาจารย์ โปรดใช้ผ้าผืนนี้เช็ดมือเถิด อย่าเช็ดมือที่เปื้อนของท่านกับเสื้อผ้า อย่างที่ท่านชอบทำเลย..."
คนเป็นอาจารย์ยิ้มอีกครั้ง แล้วก็หัวเราะออกมาคราหนึ่ง
" เจ้านี่ช่างรอบคอบแท้....ใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆดีเหลือเกิน...เจ้าสมควร.."
เขากล่าววาจาไม่ทันจบความ ก็ต้องหยุดไว้ แล้วยกจอกสุราที่ศิษย์สาวเทสุราเตรียมไว้แล้วขึ้นมาดื่มอีกครั้ง
ศิษย์สาวมองหน้าอาจารย์ แล้วถาม
" ศิษย์สมควร...อะไรหรือคะ ท่านอาจารย์ ? ไฉนท่านจึงไม่กล่าวให้จบเล่า ? "
ผู้เป็นอาจารย์ ยิ้มน้อยๆ และมีความเศร้าปรากฏในแววตาเหมือนเดิม ในขณะที่ตอบคำถามศิษย์สาว
" ก็...สมควร ที่จะเป็นฮูหยินของคุณชายหม่าลี่ ยังไงล่ะ"
ศิษย์สาวอมยิ้มอย่างเอียงอาย
"ท่านอาจารย์ อย่าได้ล้อข้าเล่นเช่นนี้เลย ข้ากับพี่หม่าลี่ ยังไม่รู้เลย ว่าจะลงเอยกันได้หรือไม่ และเมื่อใด ?"
นางแก้เขิน ด้วยการหยิบไหสุรามารินสุราใส่จอก แล้วค่อยน้อมวางลงเบื้องหน้าอาจารย์
" ฮ่าฮ่าฮ่า......"
ผู้เป็นอาจารย์ส่งเสียงหัวร่อ ที่ดูเหมือนแฝงความเศร้าโศกไว้ภายใน แล้วยกจอกสุราขึ้นดื่ม หมดจอกอย่างที่เคย ก่อนจะยื่นมือทั้งสองไปฉีกไก่ย่างมาเคี้ยวกิน...พลางได้ยินเสียงศิษย์สาวถาม
" ท่านหัวเราะชอบใจเรื่องอันใดคะ ท่านอาจารย์ ? "
เขามองหน้าลูกศิษย์สาวที่กำลังทำหน้าใสซื่อรอคำตอบ
" เด็กโง่เอ๋ย....ใต้ฟ้านี้ เจ้าไม่ลงเอยกับเขา จะไปลงเอยกับชายบัดซบผู้ใดอีกเล่า ? !!!"
ครั้นจบประโยค ก็ยกจอกสุราขึ้นดื่มอีกครา
ศิษย์สาวยิ้มอย่างเขินอายอีกครั้ง แล้วเทสุราจากไหลงไปในจอกที่อาจารย์เพิ่งวาง พลางกล่าว
" เรื่องราวชีวิตคน ไม่มีสิ่งใดแน่นอน ท่านเคยบอกกับศิษย์เช่นนี้มิใช่หรือ ? เรื่องนี้ ก็อาจเป็นเช่นเดียวกัน ศิษย์มิกล้ามั่นใจมากจนเกินไป"
"เหลวไหล!!!" ผู้เป็นอาจารย์แย้งด้วยน้ำเสียงหนักแน่น " ข้าไม่เห็นจะมีเหตุการณ์อันใดจะแปรผันไปได้ สำหรับเรื่องนี้ "
ศิษย์สาวเม้มริมฝีปาก ทำท่าครุ่นคิดนิดหนึ่ง ก่อนจะกล่าว
" เช่นนั้น ศิษย์ก็ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ ที่เข้าใจ..."
"ข้าเข้าใจเจ้าเสมอ.....ชุนเอ๋อร์ "
ผู้เป็นอาจารย์ กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบและนุ่มนวล
" และข้าก็ขอขอบใจเจ้าด้วยเช่นกัน ที่ยังคอยรับใช้ข้าอยู่เสมอ อยู่เป็นเพื่อนข้าเสมอ ในยามที่ข้าเงียบเหงา "
" ท่านอาจารย์กล่าวหนักไปแล้ว..." นางตอบกลับพลาง รินสุราลงจอกไปพลาง แล้วน้อมวางไว้เบื้องหน้าอาจารย์ " ศิษย์ได้วิชาความรู้จากท่านอาจารย์มากมาย ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน ท่านอาจารย์เป็นบุรุษผู้ประเสริฐที่หาได้ยาก ใต้ฟ้านี้ ศิษย์ไม่เคยพบพานผู้ใดที่เหมือนท่าน เพราะเหตุนี้ ศิษย์จึงยินดี และเต็มใจที่จะรับใช้ท่าน"
อาจารย์นักบรรเลงพิณ ทอดถอนใจยาว... แล้วยกจอกสุราขึ้นดื่ม ก่อนจะเอ่ยวาจาที่ทำให้ศิษย์สาวที่ฟังอยู่รู้สึกสะเทือนใจและสงสารผู้เป็นอาจารย์เหลือคณนา
"ถ้าข้าเป็นผู้ประเสริฐ หาได้ยาก ดั่งคำที่เจ้าว่าจริง...ไฉน จึงมีคนที่ต้องไปจากข้าอยู่ร่ำไป ?"
กล่าวจบ เขาก็ยกพิณคู่กายขึ้นมา ดีดบรรเลงเพลงซึ่งมีท่วงทำนองเศร้าเพลงหนึ่ง มันเป็นเพลงที่เขาชอบบรรเลงอยู่เป็นประจำ
ศิษย์สาวนั่งนิ่ง ตั้งใจฟังอาจารย์บรรเลงจนจบ แล้วกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา
" บทเพลง... ดวงใจปวดร้าว... "
ผู้เป็นอาจารย์พยักหน้า
" ถูกต้อง.....เจ้าช่างจำได้แม่นยำนัก ! "
นางพยักหน้าตอบ และกล่าวย้อนถึงเวลาที่ผ่านมาไม่นาน
" ศิษย์ย่อมจำได้แม่นยำ สำหรับเพลงนี้ ตอนที่ท่านอาจารย์บรรเลงครั้งแรก ท่วงทำนองของมัน ทำให้ศิษย์ถึงกับน้ำตาไหล มิอาจไม่คิดถึงเรื่องราวเก่าๆที่ผ่านมาในอดีต ที่ทำให้ศิษย์เจ็บช้ำได้"
เขายิ้มอย่างขมขื่น แล้วกล่าวต่อไป
" นี่เป็นเพียงบทเพลง ดวงใจปวดร้าว เท่านั้น ยังสามารถทำให้เจ้าหลั่งน้ำตาได้......ถ้าหากว่า เปลี่ยนเป็นอีกเพลงหนึ่ง เจ้าอาจต้องใช้ผ้าเช็ดหน้ามากมายกี่ผืนก็ไม่อาจรู้ได้ เช็ดน้ำตาของเจ้า "
" เป็นบทเพลงชื่อใดหรือคะ ท่านอาจารย์ ? ศิษย์เคยฟังมาก่อนหรือไม่ ?"
อาจารย์มองหน้าศิษย์ แล้วส่ายหน้าช้า ๆ
" เจ้าอาจจะยังไม่เคยได้ยิน....เพลงนี้ โศกเศร้ารันทดถึงที่สุด เพลง ดวงใจปวดร้าว เทียบไม่ได้เลย "
" ฟังดูน่าสนใจ " ศิษย์สาว แสดงความกระตือรือล้นใคร่จะฟัง " ท่านอาจารย์ จะโปรดบรรเลงให้ศิษย์ฟังสักครา ได้หรือไม่ ?"
เขาส่ายหน้าช้าๆ อีกครั้ง กล่าวปฏิเสธอย่างนุ่มนวล
" ตอนนี้ยังไม่ได้ ชุนเอ๋อร์....."
" เพราะเหตุใดเล่า ท่านอาจารย์ ?? " นางซักถามด้วยความสงสัยเต็มที่
" เพราะว่า อารมณ์ ความรู้สึกของข้าในขณะนี้ ยังไม่ถึงขั้นร้องเรียกหาความตาย !!!" เขากล่าวหนักแน่น " ยามใด ที่ข้าบรรเลงเพลงนี้ คนที่มีจิตใจอ่อนไหวและบอบบาง เคยผิดหวังในเรื่องความรัก จะถูกเสียงเพลงนี้สะกด บีบคั้นหัวใจ จนไม่ปรารถนาจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป !!!"
" โอ........" นางอุทาน " เพลงนี้ มีอานุภาพร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? "
ผู้เป็นอาจารย์พยักหน้า
" ถูกต้อง....ชุนเอ๋อร์, เพราะเหตุนี้ ข้าจึงไม่บรรเลงเพลงนี้บ่อยครั้งนัก มันอันตรายต่อผู้ฟัง "
ฉับพลันทันใดนั้น ก็มีเสียงของบุรุษคนหนึ่ง เปล่งด้วยลมปราณ ส่งผ่านมาจากภายนอก
" ข้าไม่เชื่อว่าเพลงของท่านที่ว่านั้น จะมีอานุภาพถึงเพียงนั้น !!! "
ทั้งอาจารย์และศิษย์หูผึ่ง ตื่นตัวขึ้นทันที ศิษย์สาวทำท่าจะชักกระบี่ที่สะพายอยู่บนไหล่ แต่ก็ต้องลดมือลงเมื่อเห็นผู้เป็นอาจารย์ส่ายหน้าเป็นสัญญาณปรามไว้ และเขาก็นั่งสงบนิ่ง เปล่งเสียงผ่านลมปราณย้อนถามกลับไปยังต้นเสียง
"ท่านคือผู้ใด ?"
บุรุษนั้นตอบกลับด้วยการท้าทาย
" จอมยุทธหยิว ...... ข้าคือ ไว่ซิง ใคร่ขอท้าประลองกับท่านสักครา !!! "
ผู้ถูกเรียกขาน ตอบปฏิเสธกลับไปอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
" คำว่า จอมยุทธ ข้ามิกล้ารับ....ข้าหาใช่จอมยุทธแต่ประการใด เป็นเพียงแต่คนบรรเลงดนตรีธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น และไม่ปรารถนาประลองอันใดกับท่าน"
บุรุษลึกลับ ตอบกลับมาอีกครั้ง
" มิใช่จอมยุทธ ไหนเลยจะสามารถเปล่งเสียงด้วยลมปราณโต้ตอบข้าได้เช่นนี้ ? อย่าถ่อมตัวไปเลย ท่านอาจารย์หยิว .....ข้าขอรับการสั่งสอนจากท่านสักเล็กน้อยเถิด !!! "
ทันทีที่จบประโยคนั้น ทั้งอาจารย์และศิษย์สาว ก็ได้ยินเสียงขลุ่ยเป่าพริ้วเป็นเสียงดนตรีท่วงทำนองประหลาดสูงๆต่ำๆ บีบคั้นให้หัวใจเต้นระส่ำ !!!
ผู้เป็นอาจารย์ ร้องสั่งศิษย์สาวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
" ชุนเอ๋อร์ !!! นั่งลง เดินลมปราณ และอุดหูทั้งสองข้าง เดี๋ยวนี้ !!! "
/// เพลงพิณปลิดวิญญาณ ///
ภายในห้องพักห้องแรก ใกล้บันไดทางขึ้นชั้นสองแห่งโรงเตี๊ยมเก่าคร่ำคร่า บุรุษหนึ่ง นั่งร่ำสุราอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ภายใต้แสงเทียนสลัว ในเวลาใกล้สองยาม เขานั่งครุ่นคิดสารพัดเรื่องราวที่ผ่านมาพลาง ยกจอกสุราสาดลงในลำคอไปพลาง ภายใต้บรรยากาศเงียบเชียบวังเวง ผู้คนในยามนี้โดยมากล้วนเข้าสู่นิทรากันแทบทั้งนั้น คงมีน้อยคนที่ยังมิอาจนอนหลับลงไปได้แล้วมานั่งร่ำสุราอยู่เพียงผู้เดียวเช่นเขานี้
จอกแล้วจอกเล่า ที่เขาป้อนให้แก่ตัวเอง ยินเสียงดนตรีบรรเลงมาแต่ไกล เป็นเสียงพิณประสานกับเสียงขลุ่ยบรรเลงเพลงซึ่งฟังดูให้อารมณ์หรรษาเบิกบาน แต่ทว่า มันหาได้ยังใจของเขาให้รื่นรมณ์คล้อยตามไปได้ไม่
" เอาแต่บรรเลงดนตรีรื่นเริง...เฮอะ !!! มารดาพวกเจ้าเถอะ !!! พวกเจ้า...มีเพียงแต่ความหฤหรรษ์ทุกชั่วยามเลยหรืออย่างไรกัน ? !!! "
บุรุษผู้เมามาย ก่นด่าเหล่านักดนตรีที่กำลังบรรเลงเพลงที่ตนกำลังยินเสียงมาแต่ที่ไกลนั้นอยู่ แล้วก็แหงนหน้าขึ้น พร้อมกับยกจอกสุราเทลงในปากอีกครา กลิ่นสุราอันขมขื่นคละคลุ้งแผ่ออกจากกายซึ่งปกคลุมด้วยเสื้อผ้าซอมซ่อ มีรอยขาดบ้าง มีร่องรอยปะชุนบ้างเกลื่อนไปทั่ว ราวกับเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของพวกวณิพก หรือคนของพรรคกระยาจกก็มิปาน...แต่ก็ยังมีปัญญาพาตนเข้ามาพักอยู่ในโรงเตี๊ยมโกโรโกโสแห่งนี้ได้ แทนที่จะไปนั่งหรือนอนทอดกายอยู่ข้างถนนดังคนอดอยากอนาถามากมายที่เขาเคยประสบพบเห็นมามากต่อมาก
บุรุษผู้อาจนับได้ว่าเป็นปีศาจสุรา สั่นศีรษะถี่ๆ แล้วเทสุราจากไหลงไปในจอก ยกขึ้นดื่ม แล้วสะบัดใบหน้าที่รกรุงรังด้วยหนวดและเคราที่มิได้โกนมานานนับเดือน สบถด่าเสียงดนตรีที่บรรเลงมาแต่ไกลนั้นอีกครั้ง
" บทเพลงบัดซบแท้ !! มีแต่อารมณ์รื่นเริงบันเทิงใจ...พวกเจ้ามิเคยลิ้มรสความผิดหวังอย่างใดมาบ้างเลยหรือไร ??? "
เขาสั่นศีรษะอีกครั้งอย่างเอือมระอาเต็มที แล้วก้มลงไปที่ปลายเท้า หยิบเครื่องดนตรีอย่างหนึ่งที่วางอยู่แทบเท้าของตนเองขึ้นมา ... มันคือ พิณหกสาย เครื่องดนตรีคู่ชีพเพียงหนึ่งเดียวที่เขาได้รับมาจากมารดาตั้งแต่เขามีอายุได้สิบสามขวบ ก่อนที่นางจะจากเขาไปอยู่ต่างแดน...
เขายกพิณตัวนั้นขึ้นมา แล้วเริ่มบรรเลงบทเพลงแห่งความเหงาและความเศร้า ตามแต่ใจจะนึกได้ว่า จะบรรเลงท่วงทำนองไปอย่างไร...
เสียงจากสายพิณในท่วงทำนองเศร้าโศก ดังกังวานทำลายความเงียบงันแห่งราตรีอันดึกสงัด และหากมีผู้ใดได้สดับการบรรเลงพิณในขณะนี้ ใจของผู้นั้นจะต้องสั่นสะท้านด้วยท่วงทำนองอันรันทดหดหู่นั้น
และในที่สุดก็มีผู้หนึ่งที่มิอาจอดทนฟังต่อไปได้มาอยู่ข้างหน้าประตูห้อง เคาะประตูสองสามคำรบ พลางเปล่งวาจาร้องเรียกผู้ที่กำลังบรรเลงเพลงพิณอยู่ในห้อง
" ท่านอาจารย์...... "
เสียงดนตรีอันยังผู้ฟังให้เศร้าสลดขาดตอนลง เพราะคนผู้บรรเลงหยุดมือไว้ และนั่งนิ่ง สายตาเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำให้คนข้างนอกเข้ามาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แต่อ่อนโยน...
" เลื่อนบานประตูเปิดเข้ามาเถิด... "
บานประตูห้องที่เก่าชำรุด ค่อยๆเปิดเลื่อนไปด้านขวา หญิงสาวนางหนึ่งในชุดขาว ก้าวเข้ามาในห้อง แล้วคุกเข่าลง ประสานมือทำความเคารพผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้โต๊ะที่มีไหสุราขนาดย่อมและจอกสุราวางอยู่
" ชุนเอ๋อร์ คารวะท่านอาจารย์ "
ผู้ถูกเรียกขานว่า "อาจารย์" พยักหน้า ส่งรอยยิ้มน้อยๆ และสายตารักใคร่ปนเศร้ามาที่นาง
" ไม่ต้องมากพิธีรีตองกับข้านักหรอก ลุกขึ้น...แล้วมานั่งที่เก้าอี้ข้างๆ ข้านี่เถิด "
" ขอบคุณท่านอาจารย์..." นางก้มศีรษะอีกครั้ง แล้วลุกขึ้น เดินไปที่เก้าอี้ตัวนั้น แล้วลากออกห่างตัวผู้ที่ตนเรียกว่า "อาจารย์" เล็กน้อย ก่อนจะนั่งลง
อาจารย์นักบรรเลงพิณ เหลือบมองนางหน่อยหนึ่ง แล้วหยิบไหสุราขึ้นมา ทำท่าจะรินสุราลงไปในจอก แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อได้ยินคำพูดของศิษย์สาว
" ให้ข้ารินสุราแก่ท่านเถิด ข้ามีอาหารเล็กน้อยมาเพื่อเป็นกับแกล้มด้วยค่ะ ท่านอาจารย์ "
เขาเลิกคิ้วขึ้น ทำท่าทางฉงน แล้วก็วางไหสุราที่ถือค้างอยู่ลงบนโต๊ะ
" ดึกดื่นป่านนี้...เจ้ายังหาอาหารมาให้ข้าอีก แทนที่จะพักผ่อนหลับนอน "
เขากล่าวด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจศิษย์สาว ซึ่งกำลังค่อยๆยกไหสุราขึ้น รินสุราลงไปจนเกือบเต็มจอก แล้วน้อมวางลงบนโต๊ะ ข้างหน้าผู้ที่ตนเรียกเป็นอาจารย์ กล่าวเสียงแผ่วเบา
" ค่อยๆ ดื่มค่ะ ท่านอาจารย์ "
ผู้เป็นอาจารย์ ยกจอกขึ้นมาจ่อที่ริมฝีปาก กำลังจะดื่ม แต่แล้วก็หยุดค้างไว้ แล้วถามศิษย์สาวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ...แต่ก็ยังมองเห็นความเศร้าอยู่ในแววตาที่อ่อนโยนคู่นั้น
" ไหนล่ะ...กับแกล้มที่เจ้าว่านำมาให้ข้า ? "
" โอ้......ขออภัยค่ะท่านอาจารย์....ข้าเกือบลืม อยู่ในถุงผ้านี่ค่ะ "
นางรีบปลดถุงผ้าที่สะพายบนบ่าข้างขวาลงมา แล้วเปิดปากถุงผ้าออก หยิบอาหารที่อยู่ภายในถุง....ที่แท้คือไก่ย่างตัวหนึ่งที่เพิ่งถูกย่างมาสดๆร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมโชยไปทั่วทั้งห้อง ศิษย์สาวครั้นหยิบไก่ย่างอันหอมหวนชวนบริโภคออกมาแล้วก็หยิบจานใบหนึ่งออกมาจากถุงผ้าใบเดียวกัน ก่อนจะวางไก่ย่างที่ตนทำมาสดๆร้อนๆลงบนจาน แล้วน้อมส่งให้อาจารย์บนโต๊ะ
"เชิญท่านอาจารย์ ค่อยๆ รับประทานกับสุราของท่านเถิดค่ะ "
"หอมน่ากินแท้..." ผู้เป็นอาจารย์กล่าวชม "ขอบใจเจ้ามากนะ...ชุนเอ๋อร์" ส่งสายตาแสดงความซึ้งใจให้นางอีกครั้ง ก่อนยกจอกสุราขึ้นดื่มหมดจอก แล้ววางจอกนั้นลง เอื้อมมือไปฉีกส่วนขาไก่มาจ่อที่ปากแล้วกัดกินอย่างเอร็ดอร่อย จนเหลือแต่กระดูก ทำท่าจะวางเศษขาไก่นั้นลงข้างโต๊ะ ก็มีจานอีกใบหนึ่งเลื่อนเข้ามารับ ที่แท้นางเตรียมจานมาอีกใบหนึ่งไว้แล้ว มิหนำซ้ำ ยังส่งผ้าอีกผืนหนึ่งที่เตรียมมาแล้วเช่นกัน วางไว้ข้างๆจานใบนั้น
"ท่านอาจารย์ โปรดใช้ผ้าผืนนี้เช็ดมือเถิด อย่าเช็ดมือที่เปื้อนของท่านกับเสื้อผ้า อย่างที่ท่านชอบทำเลย..."
คนเป็นอาจารย์ยิ้มอีกครั้ง แล้วก็หัวเราะออกมาคราหนึ่ง
" เจ้านี่ช่างรอบคอบแท้....ใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆดีเหลือเกิน...เจ้าสมควร.."
เขากล่าววาจาไม่ทันจบความ ก็ต้องหยุดไว้ แล้วยกจอกสุราที่ศิษย์สาวเทสุราเตรียมไว้แล้วขึ้นมาดื่มอีกครั้ง
ศิษย์สาวมองหน้าอาจารย์ แล้วถาม
" ศิษย์สมควร...อะไรหรือคะ ท่านอาจารย์ ? ไฉนท่านจึงไม่กล่าวให้จบเล่า ? "
ผู้เป็นอาจารย์ ยิ้มน้อยๆ และมีความเศร้าปรากฏในแววตาเหมือนเดิม ในขณะที่ตอบคำถามศิษย์สาว
" ก็...สมควร ที่จะเป็นฮูหยินของคุณชายหม่าลี่ ยังไงล่ะ"
ศิษย์สาวอมยิ้มอย่างเอียงอาย
"ท่านอาจารย์ อย่าได้ล้อข้าเล่นเช่นนี้เลย ข้ากับพี่หม่าลี่ ยังไม่รู้เลย ว่าจะลงเอยกันได้หรือไม่ และเมื่อใด ?"
นางแก้เขิน ด้วยการหยิบไหสุรามารินสุราใส่จอก แล้วค่อยน้อมวางลงเบื้องหน้าอาจารย์
" ฮ่าฮ่าฮ่า......"
ผู้เป็นอาจารย์ส่งเสียงหัวร่อ ที่ดูเหมือนแฝงความเศร้าโศกไว้ภายใน แล้วยกจอกสุราขึ้นดื่ม หมดจอกอย่างที่เคย ก่อนจะยื่นมือทั้งสองไปฉีกไก่ย่างมาเคี้ยวกิน...พลางได้ยินเสียงศิษย์สาวถาม
" ท่านหัวเราะชอบใจเรื่องอันใดคะ ท่านอาจารย์ ? "
เขามองหน้าลูกศิษย์สาวที่กำลังทำหน้าใสซื่อรอคำตอบ
" เด็กโง่เอ๋ย....ใต้ฟ้านี้ เจ้าไม่ลงเอยกับเขา จะไปลงเอยกับชายบัดซบผู้ใดอีกเล่า ? !!!"
ครั้นจบประโยค ก็ยกจอกสุราขึ้นดื่มอีกครา
ศิษย์สาวยิ้มอย่างเขินอายอีกครั้ง แล้วเทสุราจากไหลงไปในจอกที่อาจารย์เพิ่งวาง พลางกล่าว
" เรื่องราวชีวิตคน ไม่มีสิ่งใดแน่นอน ท่านเคยบอกกับศิษย์เช่นนี้มิใช่หรือ ? เรื่องนี้ ก็อาจเป็นเช่นเดียวกัน ศิษย์มิกล้ามั่นใจมากจนเกินไป"
"เหลวไหล!!!" ผู้เป็นอาจารย์แย้งด้วยน้ำเสียงหนักแน่น " ข้าไม่เห็นจะมีเหตุการณ์อันใดจะแปรผันไปได้ สำหรับเรื่องนี้ "
ศิษย์สาวเม้มริมฝีปาก ทำท่าครุ่นคิดนิดหนึ่ง ก่อนจะกล่าว
" เช่นนั้น ศิษย์ก็ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ ที่เข้าใจ..."
"ข้าเข้าใจเจ้าเสมอ.....ชุนเอ๋อร์ "
ผู้เป็นอาจารย์ กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบและนุ่มนวล
" และข้าก็ขอขอบใจเจ้าด้วยเช่นกัน ที่ยังคอยรับใช้ข้าอยู่เสมอ อยู่เป็นเพื่อนข้าเสมอ ในยามที่ข้าเงียบเหงา "
" ท่านอาจารย์กล่าวหนักไปแล้ว..." นางตอบกลับพลาง รินสุราลงจอกไปพลาง แล้วน้อมวางไว้เบื้องหน้าอาจารย์ " ศิษย์ได้วิชาความรู้จากท่านอาจารย์มากมาย ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน ท่านอาจารย์เป็นบุรุษผู้ประเสริฐที่หาได้ยาก ใต้ฟ้านี้ ศิษย์ไม่เคยพบพานผู้ใดที่เหมือนท่าน เพราะเหตุนี้ ศิษย์จึงยินดี และเต็มใจที่จะรับใช้ท่าน"
อาจารย์นักบรรเลงพิณ ทอดถอนใจยาว... แล้วยกจอกสุราขึ้นดื่ม ก่อนจะเอ่ยวาจาที่ทำให้ศิษย์สาวที่ฟังอยู่รู้สึกสะเทือนใจและสงสารผู้เป็นอาจารย์เหลือคณนา
"ถ้าข้าเป็นผู้ประเสริฐ หาได้ยาก ดั่งคำที่เจ้าว่าจริง...ไฉน จึงมีคนที่ต้องไปจากข้าอยู่ร่ำไป ?"
กล่าวจบ เขาก็ยกพิณคู่กายขึ้นมา ดีดบรรเลงเพลงซึ่งมีท่วงทำนองเศร้าเพลงหนึ่ง มันเป็นเพลงที่เขาชอบบรรเลงอยู่เป็นประจำ
ศิษย์สาวนั่งนิ่ง ตั้งใจฟังอาจารย์บรรเลงจนจบ แล้วกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา
" บทเพลง... ดวงใจปวดร้าว... "
ผู้เป็นอาจารย์พยักหน้า
" ถูกต้อง.....เจ้าช่างจำได้แม่นยำนัก ! "
นางพยักหน้าตอบ และกล่าวย้อนถึงเวลาที่ผ่านมาไม่นาน
" ศิษย์ย่อมจำได้แม่นยำ สำหรับเพลงนี้ ตอนที่ท่านอาจารย์บรรเลงครั้งแรก ท่วงทำนองของมัน ทำให้ศิษย์ถึงกับน้ำตาไหล มิอาจไม่คิดถึงเรื่องราวเก่าๆที่ผ่านมาในอดีต ที่ทำให้ศิษย์เจ็บช้ำได้"
เขายิ้มอย่างขมขื่น แล้วกล่าวต่อไป
" นี่เป็นเพียงบทเพลง ดวงใจปวดร้าว เท่านั้น ยังสามารถทำให้เจ้าหลั่งน้ำตาได้......ถ้าหากว่า เปลี่ยนเป็นอีกเพลงหนึ่ง เจ้าอาจต้องใช้ผ้าเช็ดหน้ามากมายกี่ผืนก็ไม่อาจรู้ได้ เช็ดน้ำตาของเจ้า "
" เป็นบทเพลงชื่อใดหรือคะ ท่านอาจารย์ ? ศิษย์เคยฟังมาก่อนหรือไม่ ?"
อาจารย์มองหน้าศิษย์ แล้วส่ายหน้าช้า ๆ
" เจ้าอาจจะยังไม่เคยได้ยิน....เพลงนี้ โศกเศร้ารันทดถึงที่สุด เพลง ดวงใจปวดร้าว เทียบไม่ได้เลย "
" ฟังดูน่าสนใจ " ศิษย์สาว แสดงความกระตือรือล้นใคร่จะฟัง " ท่านอาจารย์ จะโปรดบรรเลงให้ศิษย์ฟังสักครา ได้หรือไม่ ?"
เขาส่ายหน้าช้าๆ อีกครั้ง กล่าวปฏิเสธอย่างนุ่มนวล
" ตอนนี้ยังไม่ได้ ชุนเอ๋อร์....."
" เพราะเหตุใดเล่า ท่านอาจารย์ ?? " นางซักถามด้วยความสงสัยเต็มที่
" เพราะว่า อารมณ์ ความรู้สึกของข้าในขณะนี้ ยังไม่ถึงขั้นร้องเรียกหาความตาย !!!" เขากล่าวหนักแน่น " ยามใด ที่ข้าบรรเลงเพลงนี้ คนที่มีจิตใจอ่อนไหวและบอบบาง เคยผิดหวังในเรื่องความรัก จะถูกเสียงเพลงนี้สะกด บีบคั้นหัวใจ จนไม่ปรารถนาจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป !!!"
" โอ........" นางอุทาน " เพลงนี้ มีอานุภาพร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? "
ผู้เป็นอาจารย์พยักหน้า
" ถูกต้อง....ชุนเอ๋อร์, เพราะเหตุนี้ ข้าจึงไม่บรรเลงเพลงนี้บ่อยครั้งนัก มันอันตรายต่อผู้ฟัง "
ฉับพลันทันใดนั้น ก็มีเสียงของบุรุษคนหนึ่ง เปล่งด้วยลมปราณ ส่งผ่านมาจากภายนอก
" ข้าไม่เชื่อว่าเพลงของท่านที่ว่านั้น จะมีอานุภาพถึงเพียงนั้น !!! "
ทั้งอาจารย์และศิษย์หูผึ่ง ตื่นตัวขึ้นทันที ศิษย์สาวทำท่าจะชักกระบี่ที่สะพายอยู่บนไหล่ แต่ก็ต้องลดมือลงเมื่อเห็นผู้เป็นอาจารย์ส่ายหน้าเป็นสัญญาณปรามไว้ และเขาก็นั่งสงบนิ่ง เปล่งเสียงผ่านลมปราณย้อนถามกลับไปยังต้นเสียง
"ท่านคือผู้ใด ?"
บุรุษนั้นตอบกลับด้วยการท้าทาย
" จอมยุทธหยิว ...... ข้าคือ ไว่ซิง ใคร่ขอท้าประลองกับท่านสักครา !!! "
ผู้ถูกเรียกขาน ตอบปฏิเสธกลับไปอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
" คำว่า จอมยุทธ ข้ามิกล้ารับ....ข้าหาใช่จอมยุทธแต่ประการใด เป็นเพียงแต่คนบรรเลงดนตรีธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น และไม่ปรารถนาประลองอันใดกับท่าน"
บุรุษลึกลับ ตอบกลับมาอีกครั้ง
" มิใช่จอมยุทธ ไหนเลยจะสามารถเปล่งเสียงด้วยลมปราณโต้ตอบข้าได้เช่นนี้ ? อย่าถ่อมตัวไปเลย ท่านอาจารย์หยิว .....ข้าขอรับการสั่งสอนจากท่านสักเล็กน้อยเถิด !!! "
ทันทีที่จบประโยคนั้น ทั้งอาจารย์และศิษย์สาว ก็ได้ยินเสียงขลุ่ยเป่าพริ้วเป็นเสียงดนตรีท่วงทำนองประหลาดสูงๆต่ำๆ บีบคั้นให้หัวใจเต้นระส่ำ !!!
ผู้เป็นอาจารย์ ร้องสั่งศิษย์สาวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
" ชุนเอ๋อร์ !!! นั่งลง เดินลมปราณ และอุดหูทั้งสองข้าง เดี๋ยวนี้ !!! "