ตอนที่ 1 =
https://ppantip.com/topic/36682658
ตอนที่ 2 =
https://ppantip.com/topic/36689592
ตอนที่ 3 =
https://ppantip.com/topic/36698364
เจียงซี หนึ่งในหลายเมืองแห่งจงหยวน (ภาคกลาง)
หยิวต้าหยงและเหล่าสหาย อยู่ในท่ามกลางงานชุมนุมใหญ่ซึ่งจัดขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อความสมัครสมานสามัคคี และมิตรภาพของผู้คนทั้งชาวยุทธและคนสามัญธรรมดา ทุกคนจะได้ประชันฝีไม้ลายมือการแต่งบทกวี ดังนั้นงานชุมนุมนี้จึงแตกต่างจากงานชุมนุมเพื่อการประลองยุทธที่ผ่านมา คราวนี้จะไม่มีใครเสียแรงเสียกำลังถึงขั้นบาดเจ็บหรือแม้กระทั่งพลีชีพเพื่อการประลอง หากแต่จะได้ประชันฝีมือแห่งบทกวีเป็นที่เพลิดเพลินเจริญตาเจริญใจและยังประเทืองสติปัญญาผู้ร่วมชุมนุมทั้งหลายอีกด้วย
เริ่มต้นงานชุมนุมด้วยการแสดงนาฏลีลาของสาวน้อยสิบสองนางออกมาร่ายรำตามทำนองเพลงซึ่งบรรเลงโดยนักดนตรีสามคน มีนักตีขิม นักดีดพิณ และนักเป่าขลุ่ย ซึ่งเมื่อดนตรีบรรเลงไปได้ประมาณครึ่งเพลงก็มีเสียงวิจารณ์เบาๆ จากแม่นางหลี่ฮวาผู้อยู่เคียงข้างเซียนขลุ่ย
"ท่านพี่น่าจะร่วมบรรเลงกับอาจารย์หยิว พวกท่านสองคน หากได้บรรเลงร่วมกัน ความไพเราะต้องเหนือกว่าการบรรเลงของพวกเขาในยามนี้แน่นอน นี่นับว่าเป็นบทเพลงผายลมอันใดกัน ? ข้าฟังแล้วมิเห็นว่าจะไพเราะเลยสักนิด !!"
ต้าหยงและไว่ซิงฟังแล้วยิ้ม แล้วเซียนขลุ่ยก็ตอบ
"ให้พวกเขาบรรเลงไปเถิด อย่าให้ข้ากับอาจารย์หยิวร่วมกันบรรเลงเลย .."
" เพราะเหตุใดกันเล่า ?" นางถามอย่างข้องใจ
"อาจารย์หยิว ลองเฉลยคำตอบให้นางดูทีเถิด" เซียนขลุ่ยหันมาบอกต้าหยง....เขายิ้มกว้างก่อนตอบ
"เพราะหากเราสองคนร่วมกันบรรเลง เกรงว่าจะมีผู้คนร่ำร้องหาความตายกันไปทั่ว งานชุมนุมคงต้องยกเลิก!!!"
แล้วทั้งสองนักดนตรีผู้ร้ายกาจก็หัวร่อออกมาพร้อมกัน
หลี่ฮวาทำหน้าง้ำ
"โธ่....ท่านทั้งสองก็บรรเลงดนตรีแนวสุขสันต์สิ !! หาสมควรเป็นเพลงโศกเศร้าไม่ !!!"
เซียนขลุ่ยเอื้อมมือขวาตบไหล่นางเบาๆ
"ข้ากับอาจารย์หยิวแกล้งหยอกเย้าเจ้าเล่นดอก! หากได้ไปบรรเลงร่วมกันให้ผู้ชุมนุมกันยามนี้ฟัง ไหนเลยจะพากันบรรเลงดนตรีชักนำคนให้ตายได้ ย่อมต้องเป็นเพลงสุขสันต์บันเทิงอยู่แล้ว"
จอมพิณฟังถ้อยคำและมองอากับกิริยาซึ่งคนทั้งสองกระทำต่อกันแล้ว จึงแน่ใจว่าทั้งสองคนคือคู่รักกันอย่างแม่นมั่น เขาแย้มยิ้ม หากแต่ในแววตาฉายแววเศร้าออกมาแวบหนึ่งก่อนจะสลายไปอย่างรวดเร็ว....ก่อนหน้านี้เขานึกชมชอบแม่นางหลี่ฮวาอยู่ แต่ทว่า นับแต่บัดนี้ เขาต้องตัดใจมิให้เสน่หานาง
ยึดถือนางเป็นเพียงสหายแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะมิอาจทำตัวเป็นคู่แข่งแก่งแย่งหญิงคนรักของสหายได้ ด้วยยึดถือคุณธรรมข้อหนึ่งไว้อย่างหนักแน่น....หากให้เลือกระหว่างสหายผู้จริงใจ กับหญิงผู้เป็นที่รัก ต้องเลือกสหาย มิอาจแย่งหญิงคนรักของสหายโดยเด็ดขาด !!!
"ท่านไว่ซิงกล่าวถูกต้องแล้ว...แม่นางหลี่..." เขากล่าวสนับสนุนคำของเซียนขลุ่ย แล้วก็นึกถึงเรื่องที่ผ่านมาไม่นานนัก ซึ่งเกี่ยวข้องกับศิษย์สาว ชุนเอ๋อร์...
เขาพบกับชุนเอ๋อร์ เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา ในสมาคมอิสรชนแห่งหนึ่ง ซึ่งในเบื้องต้น ตนรู้สึกชมชอบนางเป็นอันมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป จึงทราบชัดว่านางมีคุณชายหม่าลี่ หนึ่งในผู้ก่อตั้งสมาคม เป็นชายในดวงใจ และทั้งสองคือคู่รักที่เหมาะสมกันแล้ว อีกทั้งคุณชายหม่าลี่ก็ปฏิบัติต่อเขาด้วยมิตรภาพอันเต็มเปี่ยมด้วยความจริงใจ ในที่สุดเขาจึงรับชุนเอ๋อร์เป็นศิษย์ ตนเองเป็นอาจารย์ และดำเนินความสัมพันธ์เช่นนี้เรื่อยมา...จนถึงบัดนี้...
หรือว่า ชีวิตของเขานับแต่นี้ไป จะไม่มีหญิงใดมาเคียงคู่อีกแล้วจริงๆ ? ...
เสียงระฆังกังวานสามครั้ง จากด้านหน้าเวที ทุกคนมองไป ณ ที่นั้น
มีบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง เดินมาหน้าเวที ประสานมือคารวะไปทั่วทุกทิศ แล้วกล่าวด้วยเสียงอันดัง
"เรียนจอมยุทธและสหายทุกท่านด้วยความนับถือ บัดนี้ ถึงเวลาแห่งการประชันบทกวีแล้ว ขอเชิญทุกท่านพบกับ สตรีนางหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้คุมกฏในงานนี้ ขอเชิญ
ซูฮูหยิน ออกมาพบเหล่าจอมยุทธและสหายทุกท่าน ณ บัดนี้..."
สิ้นเสียงประกาศ บุรุษหนุ่มผู้นั้นก็ถอยไปยืนอยู่เบื้องหลัง และสตรีสวมอาภรณ์แดงนางหนึ่ง ก้าวออกมาจากด้านซ้ายของเวที หยุดยืนกลางเวทีประสานมือคารวะทุกผู้คนซึ่งชุมนุมกันอยู่พลางกล่าวปราศัย
"คารวะจอมยุทธและสหายทุกๆท่าน บัดนี้ ได้เวลาการประลองฝีมือกวีนิพนธ์แล้ว ข้าพเจ้า ซูฮูหยิน ในฐานะผู้คุมกฏ ขอประกาศชี้แจงกฏการประลองบทกวี ให้ทุกๆท่านทราบเสียก่อน สำหรับท่านผู้รจนาบทกวี โปรดอย่าลืมลงชื่อของท่านท้ายบทกวี แล้วม้วนหรือพับกระดาษหรือผืนผ้าที่ท่านรจนาบทกวีไว้ก่อนนำมาส่งที่โต๊ะคณะกรรมการด้านหน้าเวทีนี้..."
ผู้คนเกือบยี่สิบคน ลุกจากที่นั่งหลายๆจุด ถือบทกวีของตนเดินไปส่งที่โต๊ะกรรมการหน้าเวทีตามที่ซูฮูหยินบอก หนึ่งในจำนวนนั้นมีต้าหยงร่วมอยู่ด้วย
หลังจากเห็นว่าไม่มีผู้ใดส่งบทกวีเพิ่มอีก ซูฮูหยินจึงหันไปกล่าวต่อคณะกรรมการซึ่งนั่งประจำโต๊ะอยู่สี่ห้าคน
"ขอให้คณะกรรมการทุกท่านนำบทกวีทั้งหมดไปคัดลอกลงบนผืนผ้าที่ชั้นสองของตึกเทียนโหลวข้างหลังนี้ ณ บัดนี้"
กรรมการทุกคนพากันลุกจากโต๊ะ คนหนึ่งถือถุงผ้าใบใหญ่ซึ่งใส่บทกวีไว้รวมกัน เดินขึ้นไปบนชั้นสองเพื่อจะคัดลอกบทกวีทั้งหลายตามคำสั่ง
ซูฮูหยินกล่าวประกาศต่อไป
"เรียนจอมยุทธและสหายทุกๆท่าน สำหรับการแสดงบทกวีนั้น อีกสักครู่ บทกวีของแต่ละท่านก็จะถูกคัดลอกลงบนผืนผ้าขนาดใหญ่เพื่อให้ทุกท่านได้ชม และให้ทุกๆท่าน ส่งคำทายว่า ผู้ใด คือเจ้าของบทกวีนั้น คณะกรรมการจะแจกกระดาษแผ่นป้ายให้ทุกๆท่านเขียน หากท่านใดมิได้นำหมึกและพู่กันมาด้วย สามารถหยิบยืมจากคณะกรรมการได้, อนึ่ง การประชันฝีมือนี้ มิได้มีจุดประสงค์เพื่อการแข่งขันว่าผู้ใดดีเด่น หากแต่จัดให้มีขึ้นเพื่อมิตรภาพ ความสนุกสนานบันเทิง และความสมัครสมานสามัคคีระหว่างพวกเราเท่านั้น หาได้เป็นการชิงดีชิงเด่นแต่อย่างใดไม่ ดังนั้น เจ้าของบทกวีทุกท่าน อย่าได้วิตกกังวลหรือเคร่งเครียด ขอจงมีความรื่นเริงเบิกบานใจโดยทั่วกัน.....ในขณะที่กำลังรอการคัดลอกบทกวีอยู่นี้ ขอให้ทุกๆท่านเพลิดเพลินกับการชมนาฏลีลากันอีกสักเพลง จบแล้ว ข้าพเจ้าจะได้เปิดแสดงบทกวีแรกแห่งงานชุมนุมยอดกวีซ่อนลีลาในครั้งนี้ต่อไป "
กล่าวจบ ซูฮูหยินก็ปรบมือสองครั้ง หญิงสาวนักฟ้อนสิบสองนางซอยเท้าออกมาจากหลังม่านเวที ยืนเป็นสองแถว หันหน้ามาทางผู้ชม และเริ่มร่ายรำตามจังหวะทำนองเพลงซึ่งเริ่มบรรเลงทันทีนั้น
ครั้นนาฏลีลานั้นแสดงจบลง ทุกคนปรบมือให้หญิงสาวนักฟ้อนทั้งสิบสองนาง ทั้งหมดประสานมือย่อตัวก้มคารวะผู้ชมก่อนจะพากันกลับเข้าไปหลังเวที แล้วซูฮูหยินก็เดินกลับมาหน้าเวทีอีกครั้ง ประกาศด้วยเสียงอันดัง
"เรียนจอมยุทธและสหายทุกๆท่าน บัดนี้ได้เวลาแล้ว ข้าพเจ้า ซูฮูหยิน ขอประกาศเปิดงานชุมนุมยอดกวีซ่อนลีลา ขอเชิญทุกท่านได้ทัศนาบทกวีแรก ณ บัดนี้..."
ประกาศจบ นางผายมือไปทางขวา ฉับพลันก็มีผืนผ้ายาวถูกปล่อยลงมาจากราวระเบียงชั้นสอง ย้อยลงมาจนเกือบจรดพื้นดินแล้วแขวนอยู่อย่างนั้น...บนผืนผ้าคัดลอกบทกวีของคนผู้หนึ่งไว้ มีใจความว่า
" ราตรีเงียบเหงาเศร้าใจ
ฝันใฝ่คิดถึงรักครั้งก่อน
ครั้งแรกแปลกแสนอาวรณ์
ตัดรอนหมองหม่นฤทัย
คนรักเคียงกายใครกัน
เปลี่ยนผันร้างไกลไปได้
โศกเศร้าเหงาอยู่ร่ำไป
ครั้งใดก็มิได้สมปอง "
เสียงผู้ชมวิพากย์วิจารณ์กันอื้ออึงไปทั่ว ต่างพากันคาดคะเนไปต่างๆ นานา ว่าสมควรเป็นบทกวีของผู้นั้นบ้างผู้นี้บ้าง ผู้ที่ตัดสินใจแล้วก็จับพู่กันเขียนชื่อคนที่ตนคิดว่าเป็นเจ้าของบทกวีลงบนแผ่นป้ายกระดาษซึ่งคณะกรรมการนำมาแจกให้ก่อนหน้านี้แล้ว
ซูฮูหยิน ออกมาประกาศหน้าเวทีอีกครั้ง
"เรียนจอมยุทธและสหายทุกๆท่าน หากท่านใดเขียนคำตอบแล้ว โปรดนำแผ่นป้ายมาส่งที่โต๊ะของคณะกรรมการด้านหน้านี้ หากไม่มีผู้ใดส่งแล้ว ข้าพเจ้าจะให้บริวารแสดงบทกวีที่สองต่อไป..."
แล้วการแสดงบทกวีของแต่ละคนก็ดำเนินต่อไป จนถึงบทกวีของคนสุดท้าย ครั้นทุกคนในที่ชุมนุมส่งคำตอบกันหมดแล้ว ซูฮูหยินจึงประกาศว่าจะมีการเฉลย เปิดเผยรายชื่อเจ้าของบทกวีในวันรุ่งขึ้น หลังจากนั้นก็มีการดื่มกินกันในที่ชุมนุมนั้นเป็นรายการสุดท้าย ก่อนที่ทุกคนจะค่อยๆทยอยกันกลับสู่เคหสถานบ้านเรือนหรือที่พักของตน
บนชั้นสองของโรงเตี๊ยมใกล้สถานที่ชุมนุม หยิวต้าหยงและเหล่าสหาย นั่งดื่มกินและสนทนากันอยู่ในห้องพิเศษ
ช่วงหนึ่งของการสนทนา มีการกล่าวถึงบทกวีแรกขึ้นมา
"ใครหนอ...คือเจ้าของบทกวีแรก ใช่ท่านหรือไม่...ท่านพี่ ?" หลี่ฮวา หันไปถามเซียนขลุ่ยซึ่งกำลังยกจอกสุราขึ้นดื่มอยู่
"เจ้าคิดว่า ความรักของข้า น่ารันทดถึงปานนั้นหรือ ?" เขาย้อนถามยิ้มๆ
"อืมม...นั่นสินะ ท่านมีแต่ความสุขสนุกสนานรื่นเริง คงไม่รจนาบทกวีเศร้าเช่นนั้น" นางกล่าวเห็นด้วยแล้วเม้มปาก
"คงเป็นต้าหยงกระมัง ?" อากวางแฝดผู้น้องสันนิษฐาน และมองหน้าจอมพิณ
ผู้ถูกกล่าวถึงยิ้มด้วยแววตาเศร้า ก่อนจะตอบ
"พวกท่านก็คาดคะเนเอาเองเถิด" กล่าวจบก็ดื่มสุราอีกหนึ่งจอก
ทันใดนั้น ก็มีลูกศรดอกหนึ่ง พุ่งมาที่ตัวของต้าหยงซึ่งกำลังจับตะเกียบคีบเนื้อปลาขึ้นมากิน เขาใช้ตะเกียบคีบตรงกลางลูกศรดอกนั้นได้พอดี!
ทุกคนพากันโห่ร้องและปรบมือกันเกรียว
"ยอดฝีมือแท้ อาจารย์หยิว" เซียนขลุ่ยกล่าวยกย่อง "ท่านใช้ตะเกียบคีบลูกศรนี้ได้โดยมิได้มองเลย"
"ข้าบังเอิญ ได้ยินเสียงมันแหวกอากาศมา และบังเอิญกะระยะของมันถูกเท่านั้นเอง" จอมพิณกล่าวอย่างถ่อมเนื้อถ่อมตัว
"โอ.......ไม่บังเอิญแล้ว จอมยุทธหยิว!" คุณชายหม่าลี่กล่าว "เป็นฝีมือล้ำเลิศโดยแท้...เอ๊ะ! มีม้วนกระดาษอะไรผูกติดมากับลูกศรด้วย ?"
ต้าหยงหยิบลูกศรมาดู แล้วดึงม้วนกระดาษนั้นออกมา คลี่อ่านแวบเดียวก็ม้วนแล้วใส่ไว้ในอกเสื้อ ลุกขึ้นกล่าวต่อทุกคนด้วยสีหน้าและแววตาสลด
"ทุกท่าน...ข้าขอตัว...สักครู่..."
กล่าวจบ ก็เดินออกไปจากห้องทันที
ทุกคนเงียบกริบ มองหน้ากันและกันอย่างงุนงง แล้วหลี่ฮวาก็กล่าวทำลายความเงียบ
"ใครหนอ...ส่งจดหมายน้อยมาให้อาจารย์หยิวอย่างปัจจุบันทันด่วนเช่นนี้ ต้องเป็นคนสำคัญแน่..."
"อืม..." เซียนขลุ่ยพยักหน้า "ประเดี๋ยวเขาก็คงกลับมา อย่าวิตกกังวลอันใดเลย พวกเรา ดื่มกินกันต่อเถิด"
**************************************************************************************************************
ที่โคนต้นท้อต้นหนึ่ง ห่างไกลจากโรงเตี๊ยมซึ่งเหล่าสหายกำลังดื่มกินกันต่ออยู่ในขณะนั้นประมาณสองลี้...
จอมพิณ นั่งดื่มสุราอยู่อย่างโดดเดี่ยว ใกล้กองไฟขนาดย่อมซึ่งตนก่อไว้ หยิบแผ่นกระดาษนั้นออกมาอ่านอย่างช้าๆ อ่านไปพลาง ดื่มสุราไปพลาง
ข้อความนั้นมีว่า....
"มีคนเขียนบทกวีนี้ ส่งมาให้ทางพิราบสื่อสาร ขออนุญาตไม่บอกว่าจากผู้ใด
" ราตรีเงียบเหงาเศร้าใจ
ฝันใฝ่คิดถึงรักครั้งก่อน
ครั้งแรกแปลกแสนอาวรณ์
ตัดรอนหมองหม่นฤทัย
คนรักเคียงกายใครกัน
เปลี่ยนผันร้างไกลไปได้
โศกเศร้าเหงาอยู่ร่ำไป
ครั้งใดก็มิได้สมปอง "
เมื่ออ่านบทกวีจบแล้ว รู้สึกคุ้นเคยกับสำนวนมาก...และแล้ว ข้าก็นึกขึ้นมาได้ ต้องเป็นท่านแน่นอน ความรู้สึกมันบอก
ท่านพี่...ท่านยังแต่งกลอนได้ไพเราะเหมือนเดิม มิเสื่อมคลาย... หรือจะมากยิ่งกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำไป
ไม่มีเรื่องอันใดมาก เพียงแค่อยากจะส่งถ้อยคำมาทักทาย พี่ท่านคงสบายดีนะ ?
เพิ่งได้ทราบว่า มีงานชุมนุมนักกวีเกิดขึ้นด้วยในวันนี้ ดูบทกวีทั้งหลายแล้ว รู้สึกว่าเป็นยอดกวีกันทุกคน
ปกติ ข้าก็ชมชอบที่จะอ่าน และรจนาอยู่แล้ว เมื่อมีงานชุมนุมเช่นนี้ ข้าก็จะแอบเข้ามาติดตามผลงานของท่าน
โปรดถนอมตัวด้วย
จีเอ๋อร์ "
อ่านจบ น้ำตาลูกผู้ชาย ก็ค่อยๆ หลั่งรินไหลอาบสองแก้ม อย่างเชื่องช้า และเริ่มพรั่งพรูออกมาเรื่อยๆ เมื่อจอมพิณหวนระลึกถึงอดีตที่ผ่านมา
จอมพิณยกไหสุราขึ้นกรอกปากตนอึกใหญ่ ก่อนจะวางลง หลับตาครู่หนึ่ง แล้วลืมตาขึ้น มองท้องฟ้ายามราตรีซึ่งพร่างพราวด้วยแสงดาวระยิบระยับอย่างเหม่อลอย...
/// เพลงพิณปลิดวิญญาณ /// - ตอนที่ 4 -
ตอนที่ 2 = https://ppantip.com/topic/36689592
ตอนที่ 3 = https://ppantip.com/topic/36698364
เจียงซี หนึ่งในหลายเมืองแห่งจงหยวน (ภาคกลาง)
หยิวต้าหยงและเหล่าสหาย อยู่ในท่ามกลางงานชุมนุมใหญ่ซึ่งจัดขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อความสมัครสมานสามัคคี และมิตรภาพของผู้คนทั้งชาวยุทธและคนสามัญธรรมดา ทุกคนจะได้ประชันฝีไม้ลายมือการแต่งบทกวี ดังนั้นงานชุมนุมนี้จึงแตกต่างจากงานชุมนุมเพื่อการประลองยุทธที่ผ่านมา คราวนี้จะไม่มีใครเสียแรงเสียกำลังถึงขั้นบาดเจ็บหรือแม้กระทั่งพลีชีพเพื่อการประลอง หากแต่จะได้ประชันฝีมือแห่งบทกวีเป็นที่เพลิดเพลินเจริญตาเจริญใจและยังประเทืองสติปัญญาผู้ร่วมชุมนุมทั้งหลายอีกด้วย
เริ่มต้นงานชุมนุมด้วยการแสดงนาฏลีลาของสาวน้อยสิบสองนางออกมาร่ายรำตามทำนองเพลงซึ่งบรรเลงโดยนักดนตรีสามคน มีนักตีขิม นักดีดพิณ และนักเป่าขลุ่ย ซึ่งเมื่อดนตรีบรรเลงไปได้ประมาณครึ่งเพลงก็มีเสียงวิจารณ์เบาๆ จากแม่นางหลี่ฮวาผู้อยู่เคียงข้างเซียนขลุ่ย
"ท่านพี่น่าจะร่วมบรรเลงกับอาจารย์หยิว พวกท่านสองคน หากได้บรรเลงร่วมกัน ความไพเราะต้องเหนือกว่าการบรรเลงของพวกเขาในยามนี้แน่นอน นี่นับว่าเป็นบทเพลงผายลมอันใดกัน ? ข้าฟังแล้วมิเห็นว่าจะไพเราะเลยสักนิด !!"
ต้าหยงและไว่ซิงฟังแล้วยิ้ม แล้วเซียนขลุ่ยก็ตอบ
"ให้พวกเขาบรรเลงไปเถิด อย่าให้ข้ากับอาจารย์หยิวร่วมกันบรรเลงเลย .."
" เพราะเหตุใดกันเล่า ?" นางถามอย่างข้องใจ
"อาจารย์หยิว ลองเฉลยคำตอบให้นางดูทีเถิด" เซียนขลุ่ยหันมาบอกต้าหยง....เขายิ้มกว้างก่อนตอบ
"เพราะหากเราสองคนร่วมกันบรรเลง เกรงว่าจะมีผู้คนร่ำร้องหาความตายกันไปทั่ว งานชุมนุมคงต้องยกเลิก!!!"
แล้วทั้งสองนักดนตรีผู้ร้ายกาจก็หัวร่อออกมาพร้อมกัน
หลี่ฮวาทำหน้าง้ำ
"โธ่....ท่านทั้งสองก็บรรเลงดนตรีแนวสุขสันต์สิ !! หาสมควรเป็นเพลงโศกเศร้าไม่ !!!"
เซียนขลุ่ยเอื้อมมือขวาตบไหล่นางเบาๆ
"ข้ากับอาจารย์หยิวแกล้งหยอกเย้าเจ้าเล่นดอก! หากได้ไปบรรเลงร่วมกันให้ผู้ชุมนุมกันยามนี้ฟัง ไหนเลยจะพากันบรรเลงดนตรีชักนำคนให้ตายได้ ย่อมต้องเป็นเพลงสุขสันต์บันเทิงอยู่แล้ว"
จอมพิณฟังถ้อยคำและมองอากับกิริยาซึ่งคนทั้งสองกระทำต่อกันแล้ว จึงแน่ใจว่าทั้งสองคนคือคู่รักกันอย่างแม่นมั่น เขาแย้มยิ้ม หากแต่ในแววตาฉายแววเศร้าออกมาแวบหนึ่งก่อนจะสลายไปอย่างรวดเร็ว....ก่อนหน้านี้เขานึกชมชอบแม่นางหลี่ฮวาอยู่ แต่ทว่า นับแต่บัดนี้ เขาต้องตัดใจมิให้เสน่หานาง ยึดถือนางเป็นเพียงสหายแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะมิอาจทำตัวเป็นคู่แข่งแก่งแย่งหญิงคนรักของสหายได้ ด้วยยึดถือคุณธรรมข้อหนึ่งไว้อย่างหนักแน่น....หากให้เลือกระหว่างสหายผู้จริงใจ กับหญิงผู้เป็นที่รัก ต้องเลือกสหาย มิอาจแย่งหญิงคนรักของสหายโดยเด็ดขาด !!!
"ท่านไว่ซิงกล่าวถูกต้องแล้ว...แม่นางหลี่..." เขากล่าวสนับสนุนคำของเซียนขลุ่ย แล้วก็นึกถึงเรื่องที่ผ่านมาไม่นานนัก ซึ่งเกี่ยวข้องกับศิษย์สาว ชุนเอ๋อร์...
เขาพบกับชุนเอ๋อร์ เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา ในสมาคมอิสรชนแห่งหนึ่ง ซึ่งในเบื้องต้น ตนรู้สึกชมชอบนางเป็นอันมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป จึงทราบชัดว่านางมีคุณชายหม่าลี่ หนึ่งในผู้ก่อตั้งสมาคม เป็นชายในดวงใจ และทั้งสองคือคู่รักที่เหมาะสมกันแล้ว อีกทั้งคุณชายหม่าลี่ก็ปฏิบัติต่อเขาด้วยมิตรภาพอันเต็มเปี่ยมด้วยความจริงใจ ในที่สุดเขาจึงรับชุนเอ๋อร์เป็นศิษย์ ตนเองเป็นอาจารย์ และดำเนินความสัมพันธ์เช่นนี้เรื่อยมา...จนถึงบัดนี้...
หรือว่า ชีวิตของเขานับแต่นี้ไป จะไม่มีหญิงใดมาเคียงคู่อีกแล้วจริงๆ ? ...
เสียงระฆังกังวานสามครั้ง จากด้านหน้าเวที ทุกคนมองไป ณ ที่นั้น
มีบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง เดินมาหน้าเวที ประสานมือคารวะไปทั่วทุกทิศ แล้วกล่าวด้วยเสียงอันดัง
"เรียนจอมยุทธและสหายทุกท่านด้วยความนับถือ บัดนี้ ถึงเวลาแห่งการประชันบทกวีแล้ว ขอเชิญทุกท่านพบกับ สตรีนางหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้คุมกฏในงานนี้ ขอเชิญ ซูฮูหยิน ออกมาพบเหล่าจอมยุทธและสหายทุกท่าน ณ บัดนี้..."
สิ้นเสียงประกาศ บุรุษหนุ่มผู้นั้นก็ถอยไปยืนอยู่เบื้องหลัง และสตรีสวมอาภรณ์แดงนางหนึ่ง ก้าวออกมาจากด้านซ้ายของเวที หยุดยืนกลางเวทีประสานมือคารวะทุกผู้คนซึ่งชุมนุมกันอยู่พลางกล่าวปราศัย
"คารวะจอมยุทธและสหายทุกๆท่าน บัดนี้ ได้เวลาการประลองฝีมือกวีนิพนธ์แล้ว ข้าพเจ้า ซูฮูหยิน ในฐานะผู้คุมกฏ ขอประกาศชี้แจงกฏการประลองบทกวี ให้ทุกๆท่านทราบเสียก่อน สำหรับท่านผู้รจนาบทกวี โปรดอย่าลืมลงชื่อของท่านท้ายบทกวี แล้วม้วนหรือพับกระดาษหรือผืนผ้าที่ท่านรจนาบทกวีไว้ก่อนนำมาส่งที่โต๊ะคณะกรรมการด้านหน้าเวทีนี้..."
ผู้คนเกือบยี่สิบคน ลุกจากที่นั่งหลายๆจุด ถือบทกวีของตนเดินไปส่งที่โต๊ะกรรมการหน้าเวทีตามที่ซูฮูหยินบอก หนึ่งในจำนวนนั้นมีต้าหยงร่วมอยู่ด้วย
หลังจากเห็นว่าไม่มีผู้ใดส่งบทกวีเพิ่มอีก ซูฮูหยินจึงหันไปกล่าวต่อคณะกรรมการซึ่งนั่งประจำโต๊ะอยู่สี่ห้าคน
"ขอให้คณะกรรมการทุกท่านนำบทกวีทั้งหมดไปคัดลอกลงบนผืนผ้าที่ชั้นสองของตึกเทียนโหลวข้างหลังนี้ ณ บัดนี้"
กรรมการทุกคนพากันลุกจากโต๊ะ คนหนึ่งถือถุงผ้าใบใหญ่ซึ่งใส่บทกวีไว้รวมกัน เดินขึ้นไปบนชั้นสองเพื่อจะคัดลอกบทกวีทั้งหลายตามคำสั่ง
ซูฮูหยินกล่าวประกาศต่อไป
"เรียนจอมยุทธและสหายทุกๆท่าน สำหรับการแสดงบทกวีนั้น อีกสักครู่ บทกวีของแต่ละท่านก็จะถูกคัดลอกลงบนผืนผ้าขนาดใหญ่เพื่อให้ทุกท่านได้ชม และให้ทุกๆท่าน ส่งคำทายว่า ผู้ใด คือเจ้าของบทกวีนั้น คณะกรรมการจะแจกกระดาษแผ่นป้ายให้ทุกๆท่านเขียน หากท่านใดมิได้นำหมึกและพู่กันมาด้วย สามารถหยิบยืมจากคณะกรรมการได้, อนึ่ง การประชันฝีมือนี้ มิได้มีจุดประสงค์เพื่อการแข่งขันว่าผู้ใดดีเด่น หากแต่จัดให้มีขึ้นเพื่อมิตรภาพ ความสนุกสนานบันเทิง และความสมัครสมานสามัคคีระหว่างพวกเราเท่านั้น หาได้เป็นการชิงดีชิงเด่นแต่อย่างใดไม่ ดังนั้น เจ้าของบทกวีทุกท่าน อย่าได้วิตกกังวลหรือเคร่งเครียด ขอจงมีความรื่นเริงเบิกบานใจโดยทั่วกัน.....ในขณะที่กำลังรอการคัดลอกบทกวีอยู่นี้ ขอให้ทุกๆท่านเพลิดเพลินกับการชมนาฏลีลากันอีกสักเพลง จบแล้ว ข้าพเจ้าจะได้เปิดแสดงบทกวีแรกแห่งงานชุมนุมยอดกวีซ่อนลีลาในครั้งนี้ต่อไป "
กล่าวจบ ซูฮูหยินก็ปรบมือสองครั้ง หญิงสาวนักฟ้อนสิบสองนางซอยเท้าออกมาจากหลังม่านเวที ยืนเป็นสองแถว หันหน้ามาทางผู้ชม และเริ่มร่ายรำตามจังหวะทำนองเพลงซึ่งเริ่มบรรเลงทันทีนั้น
ครั้นนาฏลีลานั้นแสดงจบลง ทุกคนปรบมือให้หญิงสาวนักฟ้อนทั้งสิบสองนาง ทั้งหมดประสานมือย่อตัวก้มคารวะผู้ชมก่อนจะพากันกลับเข้าไปหลังเวที แล้วซูฮูหยินก็เดินกลับมาหน้าเวทีอีกครั้ง ประกาศด้วยเสียงอันดัง
"เรียนจอมยุทธและสหายทุกๆท่าน บัดนี้ได้เวลาแล้ว ข้าพเจ้า ซูฮูหยิน ขอประกาศเปิดงานชุมนุมยอดกวีซ่อนลีลา ขอเชิญทุกท่านได้ทัศนาบทกวีแรก ณ บัดนี้..."
ประกาศจบ นางผายมือไปทางขวา ฉับพลันก็มีผืนผ้ายาวถูกปล่อยลงมาจากราวระเบียงชั้นสอง ย้อยลงมาจนเกือบจรดพื้นดินแล้วแขวนอยู่อย่างนั้น...บนผืนผ้าคัดลอกบทกวีของคนผู้หนึ่งไว้ มีใจความว่า
" ราตรีเงียบเหงาเศร้าใจ
ฝันใฝ่คิดถึงรักครั้งก่อน
ครั้งแรกแปลกแสนอาวรณ์
ตัดรอนหมองหม่นฤทัย
คนรักเคียงกายใครกัน
เปลี่ยนผันร้างไกลไปได้
โศกเศร้าเหงาอยู่ร่ำไป
ครั้งใดก็มิได้สมปอง "
เสียงผู้ชมวิพากย์วิจารณ์กันอื้ออึงไปทั่ว ต่างพากันคาดคะเนไปต่างๆ นานา ว่าสมควรเป็นบทกวีของผู้นั้นบ้างผู้นี้บ้าง ผู้ที่ตัดสินใจแล้วก็จับพู่กันเขียนชื่อคนที่ตนคิดว่าเป็นเจ้าของบทกวีลงบนแผ่นป้ายกระดาษซึ่งคณะกรรมการนำมาแจกให้ก่อนหน้านี้แล้ว
ซูฮูหยิน ออกมาประกาศหน้าเวทีอีกครั้ง
"เรียนจอมยุทธและสหายทุกๆท่าน หากท่านใดเขียนคำตอบแล้ว โปรดนำแผ่นป้ายมาส่งที่โต๊ะของคณะกรรมการด้านหน้านี้ หากไม่มีผู้ใดส่งแล้ว ข้าพเจ้าจะให้บริวารแสดงบทกวีที่สองต่อไป..."
แล้วการแสดงบทกวีของแต่ละคนก็ดำเนินต่อไป จนถึงบทกวีของคนสุดท้าย ครั้นทุกคนในที่ชุมนุมส่งคำตอบกันหมดแล้ว ซูฮูหยินจึงประกาศว่าจะมีการเฉลย เปิดเผยรายชื่อเจ้าของบทกวีในวันรุ่งขึ้น หลังจากนั้นก็มีการดื่มกินกันในที่ชุมนุมนั้นเป็นรายการสุดท้าย ก่อนที่ทุกคนจะค่อยๆทยอยกันกลับสู่เคหสถานบ้านเรือนหรือที่พักของตน
บนชั้นสองของโรงเตี๊ยมใกล้สถานที่ชุมนุม หยิวต้าหยงและเหล่าสหาย นั่งดื่มกินและสนทนากันอยู่ในห้องพิเศษ
ช่วงหนึ่งของการสนทนา มีการกล่าวถึงบทกวีแรกขึ้นมา
"ใครหนอ...คือเจ้าของบทกวีแรก ใช่ท่านหรือไม่...ท่านพี่ ?" หลี่ฮวา หันไปถามเซียนขลุ่ยซึ่งกำลังยกจอกสุราขึ้นดื่มอยู่
"เจ้าคิดว่า ความรักของข้า น่ารันทดถึงปานนั้นหรือ ?" เขาย้อนถามยิ้มๆ
"อืมม...นั่นสินะ ท่านมีแต่ความสุขสนุกสนานรื่นเริง คงไม่รจนาบทกวีเศร้าเช่นนั้น" นางกล่าวเห็นด้วยแล้วเม้มปาก
"คงเป็นต้าหยงกระมัง ?" อากวางแฝดผู้น้องสันนิษฐาน และมองหน้าจอมพิณ
ผู้ถูกกล่าวถึงยิ้มด้วยแววตาเศร้า ก่อนจะตอบ
"พวกท่านก็คาดคะเนเอาเองเถิด" กล่าวจบก็ดื่มสุราอีกหนึ่งจอก
ทันใดนั้น ก็มีลูกศรดอกหนึ่ง พุ่งมาที่ตัวของต้าหยงซึ่งกำลังจับตะเกียบคีบเนื้อปลาขึ้นมากิน เขาใช้ตะเกียบคีบตรงกลางลูกศรดอกนั้นได้พอดี!
ทุกคนพากันโห่ร้องและปรบมือกันเกรียว
"ยอดฝีมือแท้ อาจารย์หยิว" เซียนขลุ่ยกล่าวยกย่อง "ท่านใช้ตะเกียบคีบลูกศรนี้ได้โดยมิได้มองเลย"
"ข้าบังเอิญ ได้ยินเสียงมันแหวกอากาศมา และบังเอิญกะระยะของมันถูกเท่านั้นเอง" จอมพิณกล่าวอย่างถ่อมเนื้อถ่อมตัว
"โอ.......ไม่บังเอิญแล้ว จอมยุทธหยิว!" คุณชายหม่าลี่กล่าว "เป็นฝีมือล้ำเลิศโดยแท้...เอ๊ะ! มีม้วนกระดาษอะไรผูกติดมากับลูกศรด้วย ?"
ต้าหยงหยิบลูกศรมาดู แล้วดึงม้วนกระดาษนั้นออกมา คลี่อ่านแวบเดียวก็ม้วนแล้วใส่ไว้ในอกเสื้อ ลุกขึ้นกล่าวต่อทุกคนด้วยสีหน้าและแววตาสลด
"ทุกท่าน...ข้าขอตัว...สักครู่..."
กล่าวจบ ก็เดินออกไปจากห้องทันที
ทุกคนเงียบกริบ มองหน้ากันและกันอย่างงุนงง แล้วหลี่ฮวาก็กล่าวทำลายความเงียบ
"ใครหนอ...ส่งจดหมายน้อยมาให้อาจารย์หยิวอย่างปัจจุบันทันด่วนเช่นนี้ ต้องเป็นคนสำคัญแน่..."
"อืม..." เซียนขลุ่ยพยักหน้า "ประเดี๋ยวเขาก็คงกลับมา อย่าวิตกกังวลอันใดเลย พวกเรา ดื่มกินกันต่อเถิด"
**************************************************************************************************************
ที่โคนต้นท้อต้นหนึ่ง ห่างไกลจากโรงเตี๊ยมซึ่งเหล่าสหายกำลังดื่มกินกันต่ออยู่ในขณะนั้นประมาณสองลี้...
จอมพิณ นั่งดื่มสุราอยู่อย่างโดดเดี่ยว ใกล้กองไฟขนาดย่อมซึ่งตนก่อไว้ หยิบแผ่นกระดาษนั้นออกมาอ่านอย่างช้าๆ อ่านไปพลาง ดื่มสุราไปพลาง
ข้อความนั้นมีว่า....
"มีคนเขียนบทกวีนี้ ส่งมาให้ทางพิราบสื่อสาร ขออนุญาตไม่บอกว่าจากผู้ใด
" ราตรีเงียบเหงาเศร้าใจ
ฝันใฝ่คิดถึงรักครั้งก่อน
ครั้งแรกแปลกแสนอาวรณ์
ตัดรอนหมองหม่นฤทัย
คนรักเคียงกายใครกัน
เปลี่ยนผันร้างไกลไปได้
โศกเศร้าเหงาอยู่ร่ำไป
ครั้งใดก็มิได้สมปอง "
เมื่ออ่านบทกวีจบแล้ว รู้สึกคุ้นเคยกับสำนวนมาก...และแล้ว ข้าก็นึกขึ้นมาได้ ต้องเป็นท่านแน่นอน ความรู้สึกมันบอก
ท่านพี่...ท่านยังแต่งกลอนได้ไพเราะเหมือนเดิม มิเสื่อมคลาย... หรือจะมากยิ่งกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำไป
ไม่มีเรื่องอันใดมาก เพียงแค่อยากจะส่งถ้อยคำมาทักทาย พี่ท่านคงสบายดีนะ ?
เพิ่งได้ทราบว่า มีงานชุมนุมนักกวีเกิดขึ้นด้วยในวันนี้ ดูบทกวีทั้งหลายแล้ว รู้สึกว่าเป็นยอดกวีกันทุกคน
ปกติ ข้าก็ชมชอบที่จะอ่าน และรจนาอยู่แล้ว เมื่อมีงานชุมนุมเช่นนี้ ข้าก็จะแอบเข้ามาติดตามผลงานของท่าน
โปรดถนอมตัวด้วย
จีเอ๋อร์ "
อ่านจบ น้ำตาลูกผู้ชาย ก็ค่อยๆ หลั่งรินไหลอาบสองแก้ม อย่างเชื่องช้า และเริ่มพรั่งพรูออกมาเรื่อยๆ เมื่อจอมพิณหวนระลึกถึงอดีตที่ผ่านมา
จอมพิณยกไหสุราขึ้นกรอกปากตนอึกใหญ่ ก่อนจะวางลง หลับตาครู่หนึ่ง แล้วลืมตาขึ้น มองท้องฟ้ายามราตรีซึ่งพร่างพราวด้วยแสงดาวระยิบระยับอย่างเหม่อลอย...