รุ่งเช้าบิวตี้ในชุดสาวโรงงานดีไซน์พอดีตัว แต่งหน้าปกปิดรอยคล้ำใต้ตา เดินบ่นงึมงำอยู่ในห้องนอน
“อีตาบ้า ฉันจะไม่ไปบ้านนายอีกแล้ว คนบ้า”
พรเคาะประตูเบาๆ เกรงใจ ค่อยโผล่เข้ามา “คุณธีภพ มารับคุณหนูแล้วค่ะ”
บิวตี้บ่นอีก “มาแต่เช้าเลยนะ ใช่สิก็ตัวเองได้นอนเต็มที่” พลางสั่งพร “โทร.ไปบอกที่โรงงานให้เอาชุดมาเพิ่ม แล้วบอกป้าจันให้แก้ชุดให้ด้วย”
“ค่ะ เอ่อ แล้วก็คุณเจ...” พรอึกอักอยากจะบอกอะไรบิวตี้ แต่ไม่กล้าพูด
บิวตี้ ไม่สนใจพร เดินออกไป โดยที่กระเป๋าใบเมื่อวานอยู่ที่โรงงาน พร ถอนใจท่าทีหวั่นๆ
บิวตี้ลงมาในห้องรับแขก พูดโดยพยายามไม่มองธีภพ เพราะกระดากเรื่องเมื่อคืน
“ฉันลืมเอาสมุดกลับมา วันนี้ไม่มีรายงานนะ”
“สมุดอะไรครับ”
บิวตี้ตกใจ “คุณเจตน์ มาได้ไง”
“ผมจะมาขอโทษที่เมื่อวานทำให้คุณไม่พอใจ” เจตน์ชาญส่งดอกไม้ให้เป็น ดอกไฮเดรนเยีย “ผมรู้มาว่า คุณชอบดอกไฮเดรนเยีย บอกหน่อยได้ไหมครับว่าผมทำอะไรผิด”
ธีภพเข้ามา เจอเจตน์ชาญกำลังให้ดอกไม้บิวตี้ และภาพที่บิวตี้ขึ้นรถไปกับเจตน์ชาญเมื่อวานผุดขึ้นมาอีก
ป้าจัน กับพรยกอาหารเช้าเข้ามา เห็นเหตุการณ์ รีบหลบมุมห้อง
บิวตี้หันมาเห็นธีภพพูดกับเจตน์ชาญ “ไว้ค่อยคุยกันนะคะ ต้องไปทำงานก่อน”
ธีภพเปลี่ยนใจ บอกในท่าทีห่างเหิน “วันนี้ผมต้องไปตรวจโรงงาน คงไปส่งไม่ได้” พลางพยักหน้าให้เจตน์ชาญเป็นเชิงทักทาย แล้วออกไปเลย
“เดี๋ยว แล้วฉันจะไปทำงานยังไง”
ธีภพมองบิวตี้ แววตาเฉยเมย
เจตน์ชาญแทรกขึ้น “ผมไปส่งเองครับ”
ธีภพเดินออกไปไม่เหลียวหลัง บิวตี้ งง หงุดหงิด
“เดี๋ยว นาย!”
บิวตี้วิ่งตามธีภพออกไป
บิวตี้ตามมาจนทัน ขวางธีภพไว้ “นายโกรธฉันเรื่องอะไร”
“ผมไม่ได้โกรธ แต่ผมไม่ชอบที่คุณทำตัวเห็นแก่ตัว”
“เรื่องอะไรมาว่าฉันเห็นแก่ตัว”
“คุณไม่เคยสนใจว่าคนอื่นจะเป็นยังไง”
“นี่นายยังโกรธเรื่องเมื่อวานอยู่เหรอ ก็ฉันให้ส้มเช้งไปบอกแล้วไงว่าฉันติดธุระกลัวไปไม่ทันก็เลยกลับเอง จะเอาอะไรนักหนา”
“ไม่ได้จะเอาอะไร คุณจะกลับเอง หรือจะกลับกับใคร ก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของผม แต่คุณควรจะพูดกับผมเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นมาบอก”
“โอเค คราวหน้าฉันจะบอกเองก็แล้วกัน พอดีเมื่อวานมันรีบน่ะ แล้วคุณเจตน์ชาญเขาก็อาสาไปส่ง”
ธีภพตัดบท “ไม่จำเป็นต้องอธิบาย ที่พูดก็เพราะรู้ว่าคงไม่มีใครบอกคุณว่าคุณมันนิสัยแย่แค่ไหน ถ้าคุณยังไม่สนใจใครเลยแบบนี้ก็อย่าหวังเลยว่าจะเป็นประธานที่ดีแบบคุณพ่อคุณได้”
“นี่ คุณไม่มีสิทธิ์มาว่าฉันแบบนี้นะ ฉันจะทำให้คุณเห็นว่าคุณคิดผิด ฉันจะเป็นประธานที่ดีไม่แพ้พ่อ และจะเป็นประธานที่ดีกว่าคุณด้วย ถ้าถึงวันนั้นคุณจะเสียใจที่พูดกับฉันแบบนี้”
“ได้ ผมจะคอยดู”
ธีภพเดินออกไป
13/5
บิวตี้นั่งเงียบมาในรถตลอดทาง เจตน์ชาญลอบมอง
“ตอนอยู่หัวหิน คุณดูจะคุยเก่งกว่านี้”
“มีเรื่องกลุ้มน่ะค่ะ”
“เพราะผมหรือเปล่า”
“คุณ ไม่เกี่ยวหรอก”
“ผมน่าจะรู้ว่า ตัวเองคงไม่มีผลอะไรกับความรู้สึกของคุณ”
“กลุ้มเรื่องงานน่ะค่ะ หลายอย่าง”
“เรื่องงานผมคงไม่ไปก้าวก่าย แต่ถ้าอยากปรึกษาในฐานะเพื่อน ก็ยินดี ถ้าคุณคิดว่าผมเป็นเพื่อน”
“ค่ะ ขอบคุณ แต่ตอนนี้อย่าเพิ่งดีกว่า”
เจตน์ชาญยิ้มขำๆ “ครับ ผมจะรอ”
รถแล่นไปตามถนนของกรุงเทพฯ ยามเช้า
ณ แดนสรวง ปรมะเทวีมองสีหน้าของบิวตี้อย่างเพ่งพิศ
“เป็นจริงอย่างที่บุรุษคนนั้นพูด ลัลน์ลลิตครุ่นคิดถึงแต่ตนเอง ไม่เคยเปิดใจตนเพื่อรับใจของผู้อื่น”
“ที่เป็นเช่นนั้นเพราะนางกำลังมุ่งมั่นจะกอบกู้กิจการของบิดา นะคะเทวี”
ปรมะเทวีส่ายหน้า “จิตที่หมกมุ่นอยู่กับความโกรธแค้น ชิงชัง ต้องการเอาชนะ จะมีแต่ความหม่นหมอง เปรียบเหมือนสายตาที่ฝ้าฟาง ย่อมไม่เห็นอะไรได้ชัดเจน”
“แต่เราไม่ได้ตั้งใจจะให้เรื่องบิดเบือนไปเช่นนี้นะคะเทวี โปรดนำนางออกมาเถิด”
“การที่นางต้องเผชิญกับเรื่องนี้ เป็นผลจากการกระทำของนางเอง เราไม่อาจยุ่งเกี่ยวได้”
นาฟ้าลลิตาพยายามลุ้นช่วย “ถ้าอย่างนั้น จะถือว่าการปกป้องสมบัติของบิดา เป็นความรักที่ยิ่งกว่ารักตนเองได้ไหมคะ”
“ท่านเรียกอาการที่มีแต่ความเกลียดแค้นชิงชัง ว่าความรักได้หรือ นางฟ้าลลิตา”
นางฟ้าลลิตานิ่งงัน จำนนด้วยเหตุผล แต่ร้อนใจอยากช่วยบิวตี้ไม่คลาย
บิวตี้พาตัวเองมาอยู่ที่ห้องทำงานของ ชูชาติ ผู้บริหารอาวุโสระดับสูงคนหนึ่งของธนบวร ณ ตึกผู้บริหาร แต่เช้า
สีหน้าของชูชาติทั้งแปลกใจ ระคนชื่นชมขณะมองมายังทายาทคนเดียวของบวร
“บิวตี้ต้องขอบคุณคุณอามากเลยนะคะ ที่ช่วยบริหารบริษัทของคุณพ่อจนรุ่งเรืองขนาดนี้ อีกหน่อยบิวตี้จะมาทำงานที่นี่แล้ว คงต้องขอคำปรึกษาจากคุณอาอีกเยอะเลยค่ะ”
“ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ ผมกับพนักงานทุกคนกำลังรอคอยวันที่ประธานรุ่นใหม่ไฟแรงอย่างคุณธีภพและคุณบิวตี้ จะมาบริหารงานร่วมกัน”
“ขนาดนั้นเชียวหรือคะ บิวตี้สัญญาว่าจะไม่ทำให้คุณอาและทุกคนผิดหวัง”
“ครับผม” ชูชาติมองชุดสาวโรงงานอย่างเป็นปลื้ม “นี่คุณบิวตี้กำลังฝึกงานอยู่สินะครับ คุณบวรกับคุณลลิตาคงมองลงมาจากสวรรค์อย่างชื่นใจ”
“เอ... อากรไปไหนคะเนี่ย ตั้งแต่บิวตี้มาฝึกงานยังไม่ได้พบอาเลย”
“เดี๋ยวก็มาครับ คุณกรจะมาถึงออฟฟิศตอน 8 โมงครึ่งเป๊ะ ยกเว้นวันที่ออกไปตรวจโรงงาน”
เข้าทางพอดี บิวตี้รีบซัก “อากรตรวจโรงงานบ่อยหรือคะ”
“สัปดาห์ละสามสี่ครั้งได้ครับ”
บิวตี้ทำเป็นน้อยใจ “แต่ไม่เห็นอากรไปตรวจที่โรงงานที่บิวตี้ฝึกงานเลย น้อยใจแล้วนะ ทำไมไปแต่โรงงานลาดหลุมแก้ว สงสัยอาจะแอบไปเปิดโรงงานไว้ที่อื่นแหงๆ ถึงได้ไม่มีเวลาให้หลาน”
ชูชาติหัวเราะเอ็นดู “ไม่มีหรอกครับคุณบิวตี้ บริษัทเรามีโรงงานนี้กับที่ลาดหลุมแก้วก็พอแล้วละครับ”
“คุณอาแน่ใจเหรอคะ ว่าอากรไม่ได้ไปทำงานที่อื่น บิวตี้นึกว่าอามีงานที่อื่นเสียอีก”
“ไม่หรอกครับ คุณกรเทพรักและทุ่มเทให้ธนบวรมาตลอด งานของท่านก็ล้นมืออยู่แล้ว ไม่มีเวลาไปทำงานให้ใครอีกหรอกครับ”
บิวตี้ทำทีเป็นยิ้มแย้มชวนคุย แต่ใจยังคิดแค้นหาวิธีจับผิดกรเทพให้ได้
สักครู่หนึ่งบิวตี้ออกมาจากห้องชูชาติ
“ถ้าแม้แต่อาชูชาติยังไม่รู้ แสดงว่าอากรตั้งใจจะตั้งโรงงานลับหลังทุกคนนายธีจะรู้มั้ยเนี่ย”
บิวตี้กดโทรศัพท์หาธีภพเพื่อคุยให้รู้เรื่อง แต่ธีภพไม่รับสาย
ฟากปีวราเสนอแฟ้มเอกสารงาน Thailand Fashion Week ให้ดู พักตร์พิมลหน้าคว่ำ
“อะไรอีกล่ะ”
“โปรเจ็คท์ใหม่ Thailand Fashion Week ค่ะ ประธานแต่งตั้งให้คุณแพ็ตเป็น Project Manager”
“โอ๊ย ให้คนอื่นเป็นไม่ได้หรือไง งานเต็มมือ เธอต้องช่วยฉันนะ”
ปีวรารับเสียงอ่อยๆ “ค่ะ”
กระตั้วเดินเข้ามา หน้าตาตื่นเต้น “ประกาศ...ประกาศ ประธานกรรมการบริษัทร่วมท่านใหม่มาฝึกงานด้วยสีหน้าชื่นมื่น ในรถของ... แถ่น แทน แท๊น...”
พักตร์พิมลคิดว่ามากับธีภพ “ข่าวเก่า ไปตะเบ็งเสียงที่อื่น ไม่อยากฟัง”
“อุ๊ต่ะ คุณแพ็ตรู้แล้วหรือคะว่านางมากับคุณเจตน์ชาญ”
พักตร์พิมลหูผึ่ง “อะไรนะ มากับเจตน์ชาญ คู่แข่งเราเนี่ยนะ”
“ใช่ค่ะ คุณเจตน์ชาญ แห่งเจดการ์เม้นท์ คู่แข่งของเรา ที่สำคัญควงกันมาแต่เช้า หมายความว่า เมื่อคืนนี้...อ๊ายยย ธนบวร กับเจดการ์เม้นท์ อาจเซ็นสัญญา ฟิเจอริ่ง กันไปแล้วก็ได้นะค้า”
พักตร์พิมลตวาด “หุบปาก ธนบวรไม่ใช่ของเค้าคนเดียว ทำอย่างงั้นไม่ได้หรอก”
ปีวราแทรกด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น “เคยได้ยินว่าเจดการ์เม้นท์เจ้าเล่ห์มาก”
“นั่นสิฮะ ป่านนี้โดนล้วง แคะ แกะ เกา ความลับรั่วไหล ไปถึงไหนๆ แล้วก็ไม่รู้” กะเทยก้ามปูใส่ไฟสุดฤทธิ์
พักตร์พิมลโมโห “งี่เง่าจริงๆ เลย” แล้วผลุนผลันออกไป
กระตั้วหัวเราะคิกๆ อย่างสะใจ
“ไม่สบายใจเลยอะ เราพูดให้ร้ายคุณบิวตี้เกินไปหรือเปล่า” ปีวราครวญ
“เราช่วยรักษาที่ทำกินของเราย่ะ อย่าโลกสวยไปหน่อยเลย น่ารำคาญ”
พักตร์พิมลโร่มาจะฟ้องธีภพถึงห้องทำงาน แต่เลขาบอกว่า
“ท่านประธานไปตรวจโรงงานที่ลาดหลุมแก้วค่ะ”
“จะไปอะไรกันตอนนี้นะ” พักตร์พิมลกดโทรศัพท์หาลิ่วล้อกระตั้ว “ตามฉันไปที่แผนกตัดด่วนเลย”
พักตร์พิมลหงุดหงิด หุนหันออกไป
ศรีนวลกับส้มเช้งกำลังช่วยกันสอนให้บิวตี้ใช้เครื่องตัดผ้า
“ก่อนจะตัดผ้าทุกครั้ง ต้องใส่ถุงมือนะคะ ลืมไม่ได้ อย่าเอาอย่างแม่” สมเช้งแซวแม่
“ใส่แล้วมันจับไม่ถนัด แต่ส้มเช้งมันพูดถูก หัดใหม่ๆ ต้องใส่ให้ชิน ป้ามันไม้แก่ดัดยากซะแล้ว”
ส้มเช้งเหน็บ “ทีกับคุณหนูละยอมรับ ทีกับฉันละดื้อ ไม่ฟังกันเลย”
“เออน่า สอนคุณหนูไปไม่ต้องมาสอนแม่”
บิวตี้มองแม่ลูกเถียงกันอย่างสนุก รู้สึกพลอยอบอุ่นใจไปด้วย
“แม่กับลูกทำงานด้วยกันก็สนุกดีนะ” บิวตี้ว่า
“ป้าไม่สนุกหรอกด้วยหรอกค่ะ”
ส้มเช้งยิ้ม “แต่ฉันสนุก ได้แหย่แม่ทั้งวัน มาค่ะคุณหนู ลองตัดตรงๆ ก่อนนะคะ”
บิวตี้จับเครื่องตัด ท่าทีไม่มั่นใจ “มือสั่นอ่ะ”
“คุณหนูพักผ่อนน้อย ต้องนอนให้พอ กินให้เยอะๆ หน่อยสิคะ”
บิวตี้ยิ้มให้ “เมื่อคืนนอนน้อยจริงๆด้วย”
“คุณหนูลองทำใจนิ่งๆนะคะ อย่าจดๆจ้องๆ มองให้นิ่ง แล้วไถตรงไปเลย”
บิวตี้ลองทำ พอใช้ได้ มีเบี้ยวบ้าง
ส้มเช้งตบมือชมเสียงดัง “เก่งค่ะ”
เสียงพักตร์พิมลดังขึ้นในจังหวะนี้ “พวกเธอลืมกฎของโรงงานแล้วหรือไงว่าห้ามคุยกันในเวลางาน”
บิวตี้กลอกตาอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับพักตร์พิมล โดยเห็นกระตั้ว และปีวราใช้กล้องถ่ายวิดีโอไว้ตลอดเวลา
“แผนกตัด ต้องใช้สมาธิ ห้ามส่งเสียงดัง” พักตร์พิมลจ้องส้มเช้งเขม็ง “เธอทำผิดกฎ”
“เขาแค่สอนฉัน” บิวตี้แก้ให้
พักตร์พิมลแหวใส่ “ฉันไม่ได้พูดกับเธอ”
ศรีนวลแตะข้อศอกบิวตี้เบาๆ “ทำงานของเราไปเถอะค่ะ ลองตัดอีกชิ้นนึง”
บิวตี้ ศรีนวล ส้มเช้ง ก้มหน้าก้มตาตัดผ้า เหมือนไม่สนใจใดๆ
พักตร์พิมลหันรีหันขวาง พาลหาเรื่อง อยู่ๆ ก็โวยขึ้น “ตายจริง เธอตัดเบี้ยวนะบิวตี้”
บิวตี้สะดุ้ง เครื่องตัดเฉไปเยอะ
“ตายแล้ว ผ้าเสียหมด แล้วจะเอามาใช้ต่อได้ยังไง กองนี้หลายหมื่นเลยนะ”
ศรีนวลแก้ให้ “เสียไม่มากหรอกค่ะ เดี๋ยวอิฉันตัดแก้ให้”
“ทำให้งานช้าไปอีก ไลน์อื่นเขาไปถึงไหนๆ กันแล้ว”
ปีวราปลอบ “ใจเย็นๆ สิคะคุณแพต คุณบิวตี้มือใหม่ จะให้งานเรียบร้อยและเสร็จเร็วเหมือนคนอื่นได้ยังไง”
“ฉันตัดเบี้ยวเพราะเธอทำให้ฉันเสียสมาธินี่แหละ”
“ไม่มีฝีมือแล้วมาโทษคนอื่น เลิกเล่นได้แล้ว บริษัทเสียเงินให้เธอฝึกงานผิดพลาดมากแค่ไหนแล้วรู้บ้างมั้ย”
ศรีนวลบอกกับบิวตี้ “อย่าเถียงกันเลยค่ะ ทำงานต่อเถอะนะคะ” พลางชี้ให้ดูแพ็ตเทิร์น “รอยตัดมันเฉไปแต่ยังไม่โดนแพ็ตเทิร์นอื่น ยังแก้ได้ แบบนี้นะคะ” แล้วตัดให้บิวตี้ดู
บิวตี้ไม่สนใจแพ็ต มองศรีนวลแก้งานให้
“ฝึกงานไปมีประโยชน์อะไร เมื่อเธอเที่ยวเอาความลับของบริษัทไปบอกคู่แข่ง”
บิวตี้จ้องหน้า “เธอว่าใคร”
“ก็ว่าคนที่ไม่มีสมอง ไม่รู้ว่ากำลังโดนหลอกน่ะสิ”
“คนอย่างฉันไม่มีวันโดนหลอก อย่าเอาสมองของฉันไปเทียบกับสมองเล็กๆ ของเธอ”
“นี่เธอว่าฉันโง่เหรอ”
“ก็แล้วแต่ว่าสมองเล็กๆ ของเธอ จะแปลความหมายออกมาได้รึเปล่า”
“มันจะมากไปแล้วนะ” พักตร์พิมลปรี๊ดทุบโต๊ะเปรี้ยงโดยไม่รู้ตัว
เครื่องตัดในมือศรีนวล กระเด้งด้วยแรงสะเทือน เลือดสาดกระเด็นมาโดนหน้าและตัวบิวตี้
เสียงศรีนวลร้องด้วยความเจ็บ
เรื่องเต็มเล่ห์นางฟ้า ตอนที่ 13/4-13/5 วันจันทร์ที่ 19/05/2557
รุ่งเช้าบิวตี้ในชุดสาวโรงงานดีไซน์พอดีตัว แต่งหน้าปกปิดรอยคล้ำใต้ตา เดินบ่นงึมงำอยู่ในห้องนอน
“อีตาบ้า ฉันจะไม่ไปบ้านนายอีกแล้ว คนบ้า”
พรเคาะประตูเบาๆ เกรงใจ ค่อยโผล่เข้ามา “คุณธีภพ มารับคุณหนูแล้วค่ะ”
บิวตี้บ่นอีก “มาแต่เช้าเลยนะ ใช่สิก็ตัวเองได้นอนเต็มที่” พลางสั่งพร “โทร.ไปบอกที่โรงงานให้เอาชุดมาเพิ่ม แล้วบอกป้าจันให้แก้ชุดให้ด้วย”
“ค่ะ เอ่อ แล้วก็คุณเจ...” พรอึกอักอยากจะบอกอะไรบิวตี้ แต่ไม่กล้าพูด
บิวตี้ ไม่สนใจพร เดินออกไป โดยที่กระเป๋าใบเมื่อวานอยู่ที่โรงงาน พร ถอนใจท่าทีหวั่นๆ
บิวตี้ลงมาในห้องรับแขก พูดโดยพยายามไม่มองธีภพ เพราะกระดากเรื่องเมื่อคืน
“ฉันลืมเอาสมุดกลับมา วันนี้ไม่มีรายงานนะ”
“สมุดอะไรครับ”
บิวตี้ตกใจ “คุณเจตน์ มาได้ไง”
“ผมจะมาขอโทษที่เมื่อวานทำให้คุณไม่พอใจ” เจตน์ชาญส่งดอกไม้ให้เป็น ดอกไฮเดรนเยีย “ผมรู้มาว่า คุณชอบดอกไฮเดรนเยีย บอกหน่อยได้ไหมครับว่าผมทำอะไรผิด”
ธีภพเข้ามา เจอเจตน์ชาญกำลังให้ดอกไม้บิวตี้ และภาพที่บิวตี้ขึ้นรถไปกับเจตน์ชาญเมื่อวานผุดขึ้นมาอีก
ป้าจัน กับพรยกอาหารเช้าเข้ามา เห็นเหตุการณ์ รีบหลบมุมห้อง
บิวตี้หันมาเห็นธีภพพูดกับเจตน์ชาญ “ไว้ค่อยคุยกันนะคะ ต้องไปทำงานก่อน”
ธีภพเปลี่ยนใจ บอกในท่าทีห่างเหิน “วันนี้ผมต้องไปตรวจโรงงาน คงไปส่งไม่ได้” พลางพยักหน้าให้เจตน์ชาญเป็นเชิงทักทาย แล้วออกไปเลย
“เดี๋ยว แล้วฉันจะไปทำงานยังไง”
ธีภพมองบิวตี้ แววตาเฉยเมย
เจตน์ชาญแทรกขึ้น “ผมไปส่งเองครับ”
ธีภพเดินออกไปไม่เหลียวหลัง บิวตี้ งง หงุดหงิด
“เดี๋ยว นาย!”
บิวตี้วิ่งตามธีภพออกไป
บิวตี้ตามมาจนทัน ขวางธีภพไว้ “นายโกรธฉันเรื่องอะไร”
“ผมไม่ได้โกรธ แต่ผมไม่ชอบที่คุณทำตัวเห็นแก่ตัว”
“เรื่องอะไรมาว่าฉันเห็นแก่ตัว”
“คุณไม่เคยสนใจว่าคนอื่นจะเป็นยังไง”
“นี่นายยังโกรธเรื่องเมื่อวานอยู่เหรอ ก็ฉันให้ส้มเช้งไปบอกแล้วไงว่าฉันติดธุระกลัวไปไม่ทันก็เลยกลับเอง จะเอาอะไรนักหนา”
“ไม่ได้จะเอาอะไร คุณจะกลับเอง หรือจะกลับกับใคร ก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของผม แต่คุณควรจะพูดกับผมเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นมาบอก”
“โอเค คราวหน้าฉันจะบอกเองก็แล้วกัน พอดีเมื่อวานมันรีบน่ะ แล้วคุณเจตน์ชาญเขาก็อาสาไปส่ง”
ธีภพตัดบท “ไม่จำเป็นต้องอธิบาย ที่พูดก็เพราะรู้ว่าคงไม่มีใครบอกคุณว่าคุณมันนิสัยแย่แค่ไหน ถ้าคุณยังไม่สนใจใครเลยแบบนี้ก็อย่าหวังเลยว่าจะเป็นประธานที่ดีแบบคุณพ่อคุณได้”
“นี่ คุณไม่มีสิทธิ์มาว่าฉันแบบนี้นะ ฉันจะทำให้คุณเห็นว่าคุณคิดผิด ฉันจะเป็นประธานที่ดีไม่แพ้พ่อ และจะเป็นประธานที่ดีกว่าคุณด้วย ถ้าถึงวันนั้นคุณจะเสียใจที่พูดกับฉันแบบนี้”
“ได้ ผมจะคอยดู”
ธีภพเดินออกไป
13/5
บิวตี้นั่งเงียบมาในรถตลอดทาง เจตน์ชาญลอบมอง
“ตอนอยู่หัวหิน คุณดูจะคุยเก่งกว่านี้”
“มีเรื่องกลุ้มน่ะค่ะ”
“เพราะผมหรือเปล่า”
“คุณ ไม่เกี่ยวหรอก”
“ผมน่าจะรู้ว่า ตัวเองคงไม่มีผลอะไรกับความรู้สึกของคุณ”
“กลุ้มเรื่องงานน่ะค่ะ หลายอย่าง”
“เรื่องงานผมคงไม่ไปก้าวก่าย แต่ถ้าอยากปรึกษาในฐานะเพื่อน ก็ยินดี ถ้าคุณคิดว่าผมเป็นเพื่อน”
“ค่ะ ขอบคุณ แต่ตอนนี้อย่าเพิ่งดีกว่า”
เจตน์ชาญยิ้มขำๆ “ครับ ผมจะรอ”
รถแล่นไปตามถนนของกรุงเทพฯ ยามเช้า
ณ แดนสรวง ปรมะเทวีมองสีหน้าของบิวตี้อย่างเพ่งพิศ
“เป็นจริงอย่างที่บุรุษคนนั้นพูด ลัลน์ลลิตครุ่นคิดถึงแต่ตนเอง ไม่เคยเปิดใจตนเพื่อรับใจของผู้อื่น”
“ที่เป็นเช่นนั้นเพราะนางกำลังมุ่งมั่นจะกอบกู้กิจการของบิดา นะคะเทวี”
ปรมะเทวีส่ายหน้า “จิตที่หมกมุ่นอยู่กับความโกรธแค้น ชิงชัง ต้องการเอาชนะ จะมีแต่ความหม่นหมอง เปรียบเหมือนสายตาที่ฝ้าฟาง ย่อมไม่เห็นอะไรได้ชัดเจน”
“แต่เราไม่ได้ตั้งใจจะให้เรื่องบิดเบือนไปเช่นนี้นะคะเทวี โปรดนำนางออกมาเถิด”
“การที่นางต้องเผชิญกับเรื่องนี้ เป็นผลจากการกระทำของนางเอง เราไม่อาจยุ่งเกี่ยวได้”
นาฟ้าลลิตาพยายามลุ้นช่วย “ถ้าอย่างนั้น จะถือว่าการปกป้องสมบัติของบิดา เป็นความรักที่ยิ่งกว่ารักตนเองได้ไหมคะ”
“ท่านเรียกอาการที่มีแต่ความเกลียดแค้นชิงชัง ว่าความรักได้หรือ นางฟ้าลลิตา”
นางฟ้าลลิตานิ่งงัน จำนนด้วยเหตุผล แต่ร้อนใจอยากช่วยบิวตี้ไม่คลาย
บิวตี้พาตัวเองมาอยู่ที่ห้องทำงานของ ชูชาติ ผู้บริหารอาวุโสระดับสูงคนหนึ่งของธนบวร ณ ตึกผู้บริหาร แต่เช้า
สีหน้าของชูชาติทั้งแปลกใจ ระคนชื่นชมขณะมองมายังทายาทคนเดียวของบวร
“บิวตี้ต้องขอบคุณคุณอามากเลยนะคะ ที่ช่วยบริหารบริษัทของคุณพ่อจนรุ่งเรืองขนาดนี้ อีกหน่อยบิวตี้จะมาทำงานที่นี่แล้ว คงต้องขอคำปรึกษาจากคุณอาอีกเยอะเลยค่ะ”
“ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ ผมกับพนักงานทุกคนกำลังรอคอยวันที่ประธานรุ่นใหม่ไฟแรงอย่างคุณธีภพและคุณบิวตี้ จะมาบริหารงานร่วมกัน”
“ขนาดนั้นเชียวหรือคะ บิวตี้สัญญาว่าจะไม่ทำให้คุณอาและทุกคนผิดหวัง”
“ครับผม” ชูชาติมองชุดสาวโรงงานอย่างเป็นปลื้ม “นี่คุณบิวตี้กำลังฝึกงานอยู่สินะครับ คุณบวรกับคุณลลิตาคงมองลงมาจากสวรรค์อย่างชื่นใจ”
“เอ... อากรไปไหนคะเนี่ย ตั้งแต่บิวตี้มาฝึกงานยังไม่ได้พบอาเลย”
“เดี๋ยวก็มาครับ คุณกรจะมาถึงออฟฟิศตอน 8 โมงครึ่งเป๊ะ ยกเว้นวันที่ออกไปตรวจโรงงาน”
เข้าทางพอดี บิวตี้รีบซัก “อากรตรวจโรงงานบ่อยหรือคะ”
“สัปดาห์ละสามสี่ครั้งได้ครับ”
บิวตี้ทำเป็นน้อยใจ “แต่ไม่เห็นอากรไปตรวจที่โรงงานที่บิวตี้ฝึกงานเลย น้อยใจแล้วนะ ทำไมไปแต่โรงงานลาดหลุมแก้ว สงสัยอาจะแอบไปเปิดโรงงานไว้ที่อื่นแหงๆ ถึงได้ไม่มีเวลาให้หลาน”
ชูชาติหัวเราะเอ็นดู “ไม่มีหรอกครับคุณบิวตี้ บริษัทเรามีโรงงานนี้กับที่ลาดหลุมแก้วก็พอแล้วละครับ”
“คุณอาแน่ใจเหรอคะ ว่าอากรไม่ได้ไปทำงานที่อื่น บิวตี้นึกว่าอามีงานที่อื่นเสียอีก”
“ไม่หรอกครับ คุณกรเทพรักและทุ่มเทให้ธนบวรมาตลอด งานของท่านก็ล้นมืออยู่แล้ว ไม่มีเวลาไปทำงานให้ใครอีกหรอกครับ”
บิวตี้ทำทีเป็นยิ้มแย้มชวนคุย แต่ใจยังคิดแค้นหาวิธีจับผิดกรเทพให้ได้
สักครู่หนึ่งบิวตี้ออกมาจากห้องชูชาติ
“ถ้าแม้แต่อาชูชาติยังไม่รู้ แสดงว่าอากรตั้งใจจะตั้งโรงงานลับหลังทุกคนนายธีจะรู้มั้ยเนี่ย”
บิวตี้กดโทรศัพท์หาธีภพเพื่อคุยให้รู้เรื่อง แต่ธีภพไม่รับสาย
ฟากปีวราเสนอแฟ้มเอกสารงาน Thailand Fashion Week ให้ดู พักตร์พิมลหน้าคว่ำ
“อะไรอีกล่ะ”
“โปรเจ็คท์ใหม่ Thailand Fashion Week ค่ะ ประธานแต่งตั้งให้คุณแพ็ตเป็น Project Manager”
“โอ๊ย ให้คนอื่นเป็นไม่ได้หรือไง งานเต็มมือ เธอต้องช่วยฉันนะ”
ปีวรารับเสียงอ่อยๆ “ค่ะ”
กระตั้วเดินเข้ามา หน้าตาตื่นเต้น “ประกาศ...ประกาศ ประธานกรรมการบริษัทร่วมท่านใหม่มาฝึกงานด้วยสีหน้าชื่นมื่น ในรถของ... แถ่น แทน แท๊น...”
พักตร์พิมลคิดว่ามากับธีภพ “ข่าวเก่า ไปตะเบ็งเสียงที่อื่น ไม่อยากฟัง”
“อุ๊ต่ะ คุณแพ็ตรู้แล้วหรือคะว่านางมากับคุณเจตน์ชาญ”
พักตร์พิมลหูผึ่ง “อะไรนะ มากับเจตน์ชาญ คู่แข่งเราเนี่ยนะ”
“ใช่ค่ะ คุณเจตน์ชาญ แห่งเจดการ์เม้นท์ คู่แข่งของเรา ที่สำคัญควงกันมาแต่เช้า หมายความว่า เมื่อคืนนี้...อ๊ายยย ธนบวร กับเจดการ์เม้นท์ อาจเซ็นสัญญา ฟิเจอริ่ง กันไปแล้วก็ได้นะค้า”
พักตร์พิมลตวาด “หุบปาก ธนบวรไม่ใช่ของเค้าคนเดียว ทำอย่างงั้นไม่ได้หรอก”
ปีวราแทรกด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น “เคยได้ยินว่าเจดการ์เม้นท์เจ้าเล่ห์มาก”
“นั่นสิฮะ ป่านนี้โดนล้วง แคะ แกะ เกา ความลับรั่วไหล ไปถึงไหนๆ แล้วก็ไม่รู้” กะเทยก้ามปูใส่ไฟสุดฤทธิ์
พักตร์พิมลโมโห “งี่เง่าจริงๆ เลย” แล้วผลุนผลันออกไป
กระตั้วหัวเราะคิกๆ อย่างสะใจ
“ไม่สบายใจเลยอะ เราพูดให้ร้ายคุณบิวตี้เกินไปหรือเปล่า” ปีวราครวญ
“เราช่วยรักษาที่ทำกินของเราย่ะ อย่าโลกสวยไปหน่อยเลย น่ารำคาญ”
พักตร์พิมลโร่มาจะฟ้องธีภพถึงห้องทำงาน แต่เลขาบอกว่า
“ท่านประธานไปตรวจโรงงานที่ลาดหลุมแก้วค่ะ”
“จะไปอะไรกันตอนนี้นะ” พักตร์พิมลกดโทรศัพท์หาลิ่วล้อกระตั้ว “ตามฉันไปที่แผนกตัดด่วนเลย”
พักตร์พิมลหงุดหงิด หุนหันออกไป
ศรีนวลกับส้มเช้งกำลังช่วยกันสอนให้บิวตี้ใช้เครื่องตัดผ้า
“ก่อนจะตัดผ้าทุกครั้ง ต้องใส่ถุงมือนะคะ ลืมไม่ได้ อย่าเอาอย่างแม่” สมเช้งแซวแม่
“ใส่แล้วมันจับไม่ถนัด แต่ส้มเช้งมันพูดถูก หัดใหม่ๆ ต้องใส่ให้ชิน ป้ามันไม้แก่ดัดยากซะแล้ว”
ส้มเช้งเหน็บ “ทีกับคุณหนูละยอมรับ ทีกับฉันละดื้อ ไม่ฟังกันเลย”
“เออน่า สอนคุณหนูไปไม่ต้องมาสอนแม่”
บิวตี้มองแม่ลูกเถียงกันอย่างสนุก รู้สึกพลอยอบอุ่นใจไปด้วย
“แม่กับลูกทำงานด้วยกันก็สนุกดีนะ” บิวตี้ว่า
“ป้าไม่สนุกหรอกด้วยหรอกค่ะ”
ส้มเช้งยิ้ม “แต่ฉันสนุก ได้แหย่แม่ทั้งวัน มาค่ะคุณหนู ลองตัดตรงๆ ก่อนนะคะ”
บิวตี้จับเครื่องตัด ท่าทีไม่มั่นใจ “มือสั่นอ่ะ”
“คุณหนูพักผ่อนน้อย ต้องนอนให้พอ กินให้เยอะๆ หน่อยสิคะ”
บิวตี้ยิ้มให้ “เมื่อคืนนอนน้อยจริงๆด้วย”
“คุณหนูลองทำใจนิ่งๆนะคะ อย่าจดๆจ้องๆ มองให้นิ่ง แล้วไถตรงไปเลย”
บิวตี้ลองทำ พอใช้ได้ มีเบี้ยวบ้าง
ส้มเช้งตบมือชมเสียงดัง “เก่งค่ะ”
เสียงพักตร์พิมลดังขึ้นในจังหวะนี้ “พวกเธอลืมกฎของโรงงานแล้วหรือไงว่าห้ามคุยกันในเวลางาน”
บิวตี้กลอกตาอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับพักตร์พิมล โดยเห็นกระตั้ว และปีวราใช้กล้องถ่ายวิดีโอไว้ตลอดเวลา
“แผนกตัด ต้องใช้สมาธิ ห้ามส่งเสียงดัง” พักตร์พิมลจ้องส้มเช้งเขม็ง “เธอทำผิดกฎ”
“เขาแค่สอนฉัน” บิวตี้แก้ให้
พักตร์พิมลแหวใส่ “ฉันไม่ได้พูดกับเธอ”
ศรีนวลแตะข้อศอกบิวตี้เบาๆ “ทำงานของเราไปเถอะค่ะ ลองตัดอีกชิ้นนึง”
บิวตี้ ศรีนวล ส้มเช้ง ก้มหน้าก้มตาตัดผ้า เหมือนไม่สนใจใดๆ
พักตร์พิมลหันรีหันขวาง พาลหาเรื่อง อยู่ๆ ก็โวยขึ้น “ตายจริง เธอตัดเบี้ยวนะบิวตี้”
บิวตี้สะดุ้ง เครื่องตัดเฉไปเยอะ
“ตายแล้ว ผ้าเสียหมด แล้วจะเอามาใช้ต่อได้ยังไง กองนี้หลายหมื่นเลยนะ”
ศรีนวลแก้ให้ “เสียไม่มากหรอกค่ะ เดี๋ยวอิฉันตัดแก้ให้”
“ทำให้งานช้าไปอีก ไลน์อื่นเขาไปถึงไหนๆ กันแล้ว”
ปีวราปลอบ “ใจเย็นๆ สิคะคุณแพต คุณบิวตี้มือใหม่ จะให้งานเรียบร้อยและเสร็จเร็วเหมือนคนอื่นได้ยังไง”
“ฉันตัดเบี้ยวเพราะเธอทำให้ฉันเสียสมาธินี่แหละ”
“ไม่มีฝีมือแล้วมาโทษคนอื่น เลิกเล่นได้แล้ว บริษัทเสียเงินให้เธอฝึกงานผิดพลาดมากแค่ไหนแล้วรู้บ้างมั้ย”
ศรีนวลบอกกับบิวตี้ “อย่าเถียงกันเลยค่ะ ทำงานต่อเถอะนะคะ” พลางชี้ให้ดูแพ็ตเทิร์น “รอยตัดมันเฉไปแต่ยังไม่โดนแพ็ตเทิร์นอื่น ยังแก้ได้ แบบนี้นะคะ” แล้วตัดให้บิวตี้ดู
บิวตี้ไม่สนใจแพ็ต มองศรีนวลแก้งานให้
“ฝึกงานไปมีประโยชน์อะไร เมื่อเธอเที่ยวเอาความลับของบริษัทไปบอกคู่แข่ง”
บิวตี้จ้องหน้า “เธอว่าใคร”
“ก็ว่าคนที่ไม่มีสมอง ไม่รู้ว่ากำลังโดนหลอกน่ะสิ”
“คนอย่างฉันไม่มีวันโดนหลอก อย่าเอาสมองของฉันไปเทียบกับสมองเล็กๆ ของเธอ”
“นี่เธอว่าฉันโง่เหรอ”
“ก็แล้วแต่ว่าสมองเล็กๆ ของเธอ จะแปลความหมายออกมาได้รึเปล่า”
“มันจะมากไปแล้วนะ” พักตร์พิมลปรี๊ดทุบโต๊ะเปรี้ยงโดยไม่รู้ตัว
เครื่องตัดในมือศรีนวล กระเด้งด้วยแรงสะเทือน เลือดสาดกระเด็นมาโดนหน้าและตัวบิวตี้
เสียงศรีนวลร้องด้วยความเจ็บ