ทันทีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยคดีการโยกย้าย ถวิล เปลี่ยนศรี จากตำแหน่งเลขาธิการ สภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)
ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการกระทำที่มีผลประโยชน์แอบแฝงขัดต่อรัฐธรรมนูญ
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ ให้ความเป็นรัฐมนตรีของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สิ้นสุดลงเฉพาะตัวรวมทั้งความเป็นรัฐมนตรีของคณะรัฐมนตรี ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโยกย้าย ถวิล ต้องสิ้นสุดลง เนื่องจากเป็นการกระทำการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ก้าวก่ายการโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการประจำเอื้อพวกพ้อง ขาดคุณธรรมและจริยธรรม ทำให้บุคคลทั้งหมดที่ระบุจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้
จริงๆ คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้น่าจะส่งผลดีต่อข้าราชการน้ำดีที่มักถูกโยกย้าย "ไม่เป็นธรรม" หรือถูกการเมืองเข้าแทรกแซงในตำแหน่งหน้าที่ เพียงเพื่อหวังนำเก้าอี้ดีๆ ไปให้พวกพ้องตัวเองนั่นแทน
ดังนั้นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้น่าจะเป็นอาวุธลับให้ข้าราชการน้ำดีที่ยังมีความรู้ความสามารถ แต่ขาดการสนับสนุนจากข้าราชการการเมือง ฉะนั้นจากนี้ไปข้าราชการคนไหนหน่วยไหน เกิดอาการแบบถวิล เปลี่ยนศรีก็สามารถฟ้องร้องศาลเรียกศักดิ์ศรีคืนกลับมาได้
ส่วน 9 รัฐมนตรีที่พ้นสภาพนับจากคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ หากมองย้อนกลับไปเรียกว่าเป็นหนังเหนียวไม่ธรรมดา เกาะเก้าอี้กันได้นานถึง 2 ปี 9 เดือน 2 วัน
หากย้อนดูประวัติรัฐมนตรีแต่ละคนเรียกว่าไม่ธรรมดา ทุกคนมีแบ็คอัพแบบมีกันชนเอย่างดี รัฐมนตรีบางคนอ้างตนสนิทสนมคนนั้นคนนี้ สายนั้นสายนี้ บางคนอยู่ในอาการวิ่งพล่านหาที่เกาะกำบัง ผลงานไม่ต้องพูดถึง ช่วงเวลา 2 ปี 9 เดือนทำให้เห็นแล้วว่า อยู่ได้เพราะผลงานหรืออะไรกันแน่ วันนี้ใครจะเชื่อว่าตกม้าตายทีเดียว 9 คน แม้จะไม่มีผลต่อทางการเมือง แต่การสิ้นสภาพจากคำวินิจฉัยของศาลคงไม่ใช่เรื่องธรรมดา
ว่ากันว่ายิ่งลักษณ์ ได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ล่วงหน้า ก่อนคำวินิจฉัยของศาล ยังไงๆ ก็ไม่รอด พูดกับคนใกล้ชิดเสมอ อะไรจะเกิดก็เกิด เรียกว่าถอดใจรอคำตัดสินจากศาลไว้แล้ว
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ยังไม่ได้ทำให้ยิ่งลักษณ์พ้นพ่วงกรรม ยังต้องลุ้นระทึก กับการชี้มูลของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในโครงการรับจำนำข้าว หากไม่ยืดเยื้อออกไป ไม่กี่วันเราคงจะได้เห็นความชัดเจนกับการชี้มูลในคดีนี้
การประชุมครม.เมื่อวานนี้ (7 พ.ค.) ซึ่งเริ่มต้นมาตั้งแต่ช่วง 09.00 น. มีรัฐมนตรีเข้าประชุมพร้อมหน้าพร้อมตา เรียกว่าประชุมไปฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไป แต่หลังคำวินิจฉัยของศาลออกมา ทำให้ยิ่งลักษณ์ และ 9 รัฐมนตรีที่สิ้นสภาพ ถึงกับเดินออกจากที่ประชุม
จากนั้นรัฐมนตรีที่เหลือจึงได้เลือกนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาลรองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรีทันที ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีอันดับ 2 ต่อจากสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุลที่ต้องสิ้นสภาพไป
ฉะนั้นเวลาที่เหลือของรัฐบาลรักษาการน้ำหนักคงอยู่ที่ ทำอย่างไรให้เกิดการเลือกตั้งให้ได้ วันนี้เราจะเห็นว่าพงศ์เทพ เทพกาญจนารองนายกรัฐมนตรี กำลังเป็นไม้เบื่อ ไม้เมากับคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เห็นประชุมแต่ละทีกินกันไม่ลง ทางออกของรัฐบาลวันนี้ทำได้อย่างเดียวนั่นคือให้เกิดการเลือกตั้งเร็วที่สุด
สำคัญยิ่งใครจะมีอำนาจนำร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) แก้ไขเพิ่มเติมกำหนดวันเลือกตั้งเป็นการทั่วไป ขึ้นทูลเกล้าฯได้ ตรงนี้คงต้องเป็นหน้าที่ของกฤษฎีกาที่จะบอกได้อำนาจตรงนี้อยู่ที่ใคร?
แต่สิ่งที่ต้องติดตามจากนี้ไป ยังคงต้องเฝ้ามองบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร? ความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นจากการใช้อำนาจที่มิชอบด้วยกฎหมาย มีเสียงแว่วๆ ออกมาลักษณะไม่พอใจกำลังส่องสุมแนวร่วมที่จะออกมาเคลื่อนไหว ขับเคลื่อนเข้ากทม.ถึงขั้นประกาศจะชัตดาวน์ประเทศไทย
โอ้..แม้เจ้า อะไรกันนักกันหนา บ้านเมืองไม่ใช่สนามแข่งรถที่จะเอามาเล่นเดิมพันกันอย่างนี้ !!
บทเรียนแห่งการใช้อำนาจ
ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการกระทำที่มีผลประโยชน์แอบแฝงขัดต่อรัฐธรรมนูญ
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ ให้ความเป็นรัฐมนตรีของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สิ้นสุดลงเฉพาะตัวรวมทั้งความเป็นรัฐมนตรีของคณะรัฐมนตรี ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโยกย้าย ถวิล ต้องสิ้นสุดลง เนื่องจากเป็นการกระทำการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ก้าวก่ายการโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการประจำเอื้อพวกพ้อง ขาดคุณธรรมและจริยธรรม ทำให้บุคคลทั้งหมดที่ระบุจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้
จริงๆ คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้น่าจะส่งผลดีต่อข้าราชการน้ำดีที่มักถูกโยกย้าย "ไม่เป็นธรรม" หรือถูกการเมืองเข้าแทรกแซงในตำแหน่งหน้าที่ เพียงเพื่อหวังนำเก้าอี้ดีๆ ไปให้พวกพ้องตัวเองนั่นแทน
ดังนั้นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้น่าจะเป็นอาวุธลับให้ข้าราชการน้ำดีที่ยังมีความรู้ความสามารถ แต่ขาดการสนับสนุนจากข้าราชการการเมือง ฉะนั้นจากนี้ไปข้าราชการคนไหนหน่วยไหน เกิดอาการแบบถวิล เปลี่ยนศรีก็สามารถฟ้องร้องศาลเรียกศักดิ์ศรีคืนกลับมาได้
ส่วน 9 รัฐมนตรีที่พ้นสภาพนับจากคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ หากมองย้อนกลับไปเรียกว่าเป็นหนังเหนียวไม่ธรรมดา เกาะเก้าอี้กันได้นานถึง 2 ปี 9 เดือน 2 วัน
หากย้อนดูประวัติรัฐมนตรีแต่ละคนเรียกว่าไม่ธรรมดา ทุกคนมีแบ็คอัพแบบมีกันชนเอย่างดี รัฐมนตรีบางคนอ้างตนสนิทสนมคนนั้นคนนี้ สายนั้นสายนี้ บางคนอยู่ในอาการวิ่งพล่านหาที่เกาะกำบัง ผลงานไม่ต้องพูดถึง ช่วงเวลา 2 ปี 9 เดือนทำให้เห็นแล้วว่า อยู่ได้เพราะผลงานหรืออะไรกันแน่ วันนี้ใครจะเชื่อว่าตกม้าตายทีเดียว 9 คน แม้จะไม่มีผลต่อทางการเมือง แต่การสิ้นสภาพจากคำวินิจฉัยของศาลคงไม่ใช่เรื่องธรรมดา
ว่ากันว่ายิ่งลักษณ์ ได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ล่วงหน้า ก่อนคำวินิจฉัยของศาล ยังไงๆ ก็ไม่รอด พูดกับคนใกล้ชิดเสมอ อะไรจะเกิดก็เกิด เรียกว่าถอดใจรอคำตัดสินจากศาลไว้แล้ว
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ยังไม่ได้ทำให้ยิ่งลักษณ์พ้นพ่วงกรรม ยังต้องลุ้นระทึก กับการชี้มูลของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในโครงการรับจำนำข้าว หากไม่ยืดเยื้อออกไป ไม่กี่วันเราคงจะได้เห็นความชัดเจนกับการชี้มูลในคดีนี้
การประชุมครม.เมื่อวานนี้ (7 พ.ค.) ซึ่งเริ่มต้นมาตั้งแต่ช่วง 09.00 น. มีรัฐมนตรีเข้าประชุมพร้อมหน้าพร้อมตา เรียกว่าประชุมไปฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไป แต่หลังคำวินิจฉัยของศาลออกมา ทำให้ยิ่งลักษณ์ และ 9 รัฐมนตรีที่สิ้นสภาพ ถึงกับเดินออกจากที่ประชุม
จากนั้นรัฐมนตรีที่เหลือจึงได้เลือกนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาลรองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรีทันที ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีอันดับ 2 ต่อจากสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุลที่ต้องสิ้นสภาพไป
ฉะนั้นเวลาที่เหลือของรัฐบาลรักษาการน้ำหนักคงอยู่ที่ ทำอย่างไรให้เกิดการเลือกตั้งให้ได้ วันนี้เราจะเห็นว่าพงศ์เทพ เทพกาญจนารองนายกรัฐมนตรี กำลังเป็นไม้เบื่อ ไม้เมากับคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เห็นประชุมแต่ละทีกินกันไม่ลง ทางออกของรัฐบาลวันนี้ทำได้อย่างเดียวนั่นคือให้เกิดการเลือกตั้งเร็วที่สุด
สำคัญยิ่งใครจะมีอำนาจนำร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) แก้ไขเพิ่มเติมกำหนดวันเลือกตั้งเป็นการทั่วไป ขึ้นทูลเกล้าฯได้ ตรงนี้คงต้องเป็นหน้าที่ของกฤษฎีกาที่จะบอกได้อำนาจตรงนี้อยู่ที่ใคร?
แต่สิ่งที่ต้องติดตามจากนี้ไป ยังคงต้องเฝ้ามองบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร? ความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นจากการใช้อำนาจที่มิชอบด้วยกฎหมาย มีเสียงแว่วๆ ออกมาลักษณะไม่พอใจกำลังส่องสุมแนวร่วมที่จะออกมาเคลื่อนไหว ขับเคลื่อนเข้ากทม.ถึงขั้นประกาศจะชัตดาวน์ประเทศไทย
โอ้..แม้เจ้า อะไรกันนักกันหนา บ้านเมืองไม่ใช่สนามแข่งรถที่จะเอามาเล่นเดิมพันกันอย่างนี้ !!