ปี 2003 จำได้ว่าตอนนั้นอยู่เกาหลี หิมะมันตกหนัก ไม่มีที่ไปเลยแปลไว้เล่น ๆ วันนี้ค้นเจอเลยลองเอามาโพสต์ให้อ่านกันเพลิน ๆ
สิทธิเสมอภาค (Equal Rites)
โดย เทอรี แพรทเช็ต
----------------------------------------------------------------------------------------
นี่คือเรื่องราว ที่มาและที่ไปของเวทย์มนตร์ แม้ว่านี่อาจจะไม่ได้ตอบคำถามทั้งหมด อย่างน้อยมันก็อาจจะ อธิบายว่าทำไม แกนดอล์ฟถึงไม่มีเมีย หรือว่าทำไมเมอร์ลินถึงต้องเป็นผู้ชาย ทั้งนี้ก็โดยเหตุที่ว่านี่มีเรื่ิองเพศ เข้ามาเกี่ยวข้อง แม่ว่าจะไม่ใช่ในลักษณะที่โลดโผน ถึงกับต้องกับต้องนับจำนวนขาแล้วหารสองก็เุถอะ (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าตัวละครไม่ออกนอกบทที่ผู้แต่งเขียนไว้)
อันที่จริงนี่คือเรื่องราวของโลก โลกหนึ่ง
จับตาดูให้ดี มันใกล้เข้ามาแล้ว อย่ากระพริบตาล่ะ ฉากนี้ลงทุนไปเยอะสำหรับสเปเชียลเอฟเฟคท์
เสียงแตรกระหึ่ม ลึก และดังยิ่งกว่าดัง ความรู้สึกของผู้ฟังบอกให้รู้ว่าชั่วขณะใดขณะหนึ่งนี้แหละ แตรจะหยุดทันทีทันใด แล้วแทนด้วยเสียงโหมโรงอันแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของอวกาศ ประกอบกับฉากความมืดสนิทอันเวิ้งว้างที่ประดับประดาด้วยแสงดาวราวกับรังแคบน ไหล่ของพระเจ้า
เหนือหัวขึ้นไป มหึมาเหนือมหึมา ใหญ่เสียยิ่งกว่ายานพิฆาตดาราจินตนาการโดยผู้กำกับหมื่นล้าน เต่ายักษ์ขนาดกว่าหมื่นกิโลเมตรเยื้องย่างเข้ามาอย่างช้า ๆ นี่คือมหาเต่า “อาตูอิน” ความมหัศจรรย์อันไม่อาจอธิบายได้โดยดาราสัตวศาสตร์ หากอาจบรรยายได้เพียงโดยจินตนาการ บนกระดองอันเต็มไปด้วยหลุมอุกกาบาตยืนไว้ด้วยช้างยักษ์ 4 เชือก และบนหลังช้างยักษ์ทั้งสี่นี้คือจานกลมอันเป็นที่ตั้งของโลกแห่ง พิภพแบน
เมื่อเปลี่ยนมุมมองไปรอบ ๆ จะเห็นได้ว่าพุภพแบนแห่งนี้มีดวงอาทิตย์เล็ก ๆ โคจรอยู่โดยรอบ ทวีป ทะเล มหาสมุทร ทะเลทราย ภูเขา และแม้แต่พื้นที่ยอดแหลมที่ปกคลุมโดยหิมะก็อา่จสังเกตเห็นได้บนพิภพแบน แน่นอนเชียวว่าชาวพิภพแบนไม่ได้ใส่ใจอันใดกับความเป็นไปไม่ได้ในทางทฤษฏีของ โลกแห่งนี้ โลกแห่งพิภพแบนนี้ถูกล้อมรอบด้วยทะเลวงแหวน ซึ่งน้ำทะเลไหลล้นตกลงไปจากจานกลมราวกับแผ่นพิซซาอย่างบางอันเป็นที่ตั้งของ พิภพแบนอยู่ตลอดเวลา
มหัศจรรย์ภพ ที่เกิดขึ้นและคงอยู่ได้เพียงเพราะการล้อเล่นของพระเจ้าเช่นนี้ คงเป็นเพียงสถานที่เดียวเท่านั้น ที่เวทย์มนตร์อาจคงอยู่ได้ และก็แหงละ เรื่องเพศด้วย
------------------------------------------------------------------------------------
ชายคนหนึ่งกำลังเดินฝ่าพายุฟ่าคะนอง คุณบอกตัวเองได้ทันทีว่าชายคนนี้ต้องเป็นพ่อมดแน่นอน เหตุผลส่วนหนึ่งนั้นเนื่องจากเสื้อคลุมยาวที่เขาสวม และไม้เท้ายาวที่เขาใช้ แต่ที่แน่ ๆ ก็คือหยาดฝนทุกเม็ดมิได้แตะต้องตัวเขาแม้สักน้อย หากแต่เดือดเป็นไอไปเสียก่อนจะได้เข้าใกล้
พื้นที่บริเวณภูผาเสียดฟ้า(**1)นี้ เป็นพื้นที่ที่อุดมไปด้วยภูเขาสูงชันและป่าทึบ ร่องเหวที่แม่น้ำไหลผ่านก็ลึกกระทั่งกว่าแสงแดดจะส่องถึงก้นเหวก็ได้เวลาที่ ดวงอาทิตย์จะเคลื่อนพ้นไปอีกแล้ว หนึ่งในบริเวณยอดเขาที่ต่ำกว่านี้ิเองที่ชายผู้นี้กำลังปีนป่ายและลื่นไถล อยู่ แพะฝูงหนึ่งเฝ้ามองอยู่ใกล้ ๆ ด้วยความสนใจเล็กน่อย อันที่จริงแพะก็สนใจทุกอย่างนั่นแหละ
บางครั้งเขาจะหยุดเดิน แล้วก็โยนไม้เท้ายาวขึ้นไปในอากาศ ทุกครั้งมิได้พลาดไม้เท้าจะตกลงมาและชี้ ไปในทิศทางเดิม พ่อมดคงเพียงแต่ถอนหายใจพร้อมกับหยิบไม้เท้าขึ้นมาและมุ่งหน้าต่อไป
เมื่อพ่อมดเดินผ่านพ้นไป ฝูงแพะก็หันกลับไปใส่ใจกับละอองฝนอีกครั้ง ทว่าอะไรบางอย่างกระตุ้นความสนใจ ของมันให้หันกลับมาอีก อะไรบางอย่างซึ่งทำให้ฝูงแพะเบิกตากว้าง หายใจแรงด้วยความตระหนก อะไรบาง อย่างที่มันมองไม่เห็น แต่ก็จำต้องมองอยู่กระทั่งอะไรบางอย่างนั้นเคลื่อนผ่านพ้นไป
ในหุบเขาแคบ ๆ หว่างกลางป่านั้นเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านเล็ก ๆ เล็กเกินกว่าจะหาเจอได้ในแผนที่ของ ภูผาเสียดฟ้า อันที่จริงมันเล็กกระทั่งคุณอาจจะหามันไม่พบในแผนที่ของหมู่บ้านเอง คนรู้จักหมู่บ้านนี้เพียงเพราะว่าใครทุกคนต้องมาจากที่ไหนสักแห่ง จักรวาลเต็มไปด้วยสถานที่เช่นนี้ หมู่บ้านลึกลับซึ่งประวัติศาสตร์รู้จักเพียงเพราะว่าอะไรซักอย่างที่สำคัญ เกิดขึ้นที่นี่ บ่อยครั้งอาจเพียงป้ายเล็ก ๆ บอกให้รู้ว่านี่เป็นบ้านเกิดของคนสำคัญสักคน ก็เท่านั้น
สายหมอกทอดผ่านหมู่บ้าน ขณะที่พ่อมดเดินข้ามสะพานซึ่งทอดเหนือทางน้ำซึ่งเอ่อล้นและมุ่งหน้าไปยังโรง ตีเหล็ก โดยทั่วไปโรงตีเหล็กก็มีคนไปมาไม่นัอย เหตุผลหนึ่งนั้นก็เพราะโรงตีเหล็กนั้นอุ่นด้วยต้องติดไฟอยู่ ตลอดเวลา อีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะโรงตีเหล็กจำต้องมีคนเฝ้าซึ่งหมายถึงว่าวงสนทนาย่อมมี อยู่เสมอ วันนี้ก็เช่นกัน เมื่อพ่อมดเดินเข้าใกล้โรงตีเหล็ก วงสนทนาก็เงียบลง แต่ละคนนั่งตรงและพยายามทำตนให้ดูฉลาดถึงจะได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้างก็เถอะ
ช่างตีเหล็กไม่สนใจมากนัก เขาผงกหัวเล็กน้อยให้กับพ่อมด เล็กน้อยพอจะแสดงให้เห็นว่าอย่างน้อยช่างตีเหล็กก็มีศักดิ์ไม่ด้อยกว่าพ่อมด ซักเท่าไหร่ ในทางกลับกันพ่อมดก็น้อมคำนับ แมวขนฟูขาวซึ่งนอนอยู่ใกล้ ๆ ลุกนั่งและจ้องมองอย่างสนใจ
“ท่านที่เคารพ พอจะบอกชื่อสถานที่นี้ให้ทราบได้หรือไม่” พ่อมดกล่าว
ช่างตีเหล็ก ยักไหล่พร้อมกล่าวว่า “ไอ้งั่ง” (**2)
“ไอ้...”
“ไอ้งั่ง” น้ำเสียงช่างตีเหล็กแสดงให้เห็นว่าการคาดคั้นต่อไปคงไม่เป็นการดีนัก
“ข่าพเจ้าเชื่อว่า ชื่อเช่นนี้ย่อมมีเหตุผลที่ดีประกอบ” พ่อมดกล่าวหลังหยุดคิดไปพักหนึ่ง “หากนี่เป็นเวลาปรกติ ข้าพเจ้าคงอดไม่ได้ต้องสอบถามถึงเหตุผลเป็นแน่ ทว่าข้าพเจ้ามีเหตุสำคัญกว่า ข้าพเจ้าจะขอกล่าวกับท่านช่างตีเหล็กซักเล็กน้อยได้หรือไม่ เกี่ยวกับบุตรชายของท่าน”
“คนไหนล่ะ” ช่างตีเหล็กกล่าวตอบ พร้อมกันนั้นคนรอบ ๆ ก็เริ่มล้อมวงเข้ามาใกล้
“ท่านมีบุตรชายเจ็ดคน ใช่หรือไม่ และตัวท่านเองก็เป็นบุตรคนที่แปด จากพี่น้องชายล้วนแปดคน”
ช่างตีเหล็กสีหน้าเครียด กล่าวขึ้นกับกลุมชาวบ้านมุงในทันทีว่า “เฮ้ย ฝนก็ซาแล้ว กลับบ้านกลับช่องกันซะทีซีวะ” แล้วห้นมามองพ่อมดในทีท่าคาดคั้น
“ดรัม บิลเลตคือนามของข้าพเจ้า” พ่อมดตอบ
“เฮ้ย นี่เรื่องส่วนตัวระหว่างข้ากับนายบิลเลตโว้ย” ช่างตีเหล็กกล่าวดัง ๆ ให้กลุ่มชาวมุงรู้ว่าได้เวลาสลายวง แล้ว
ช่างตีเหล็กยกม้านั่งออกมา พร้อมกับขวดใสและจอกเล็ก หลังจากรินของเหลวใสจากขวดลงจอก และจ้องมองละอองฝนซักพัก ช่างตีเหล็กก็กล่าวขึ้น
“ผมรู้ว่าท่านถามหาลูกคนไหน หมอตำแยกำลังอยู่กับเมียผมข้างบน ลูกชายคนที่ 8 ของลูกชายคนที่ 8
ใช่ใหม เคยสะกิดใจเหมือนกัน แต่ไม่นึกว่ามันจะเกิดขึ้นจริง นี่ว่ากันจริง ๆ นะ ใครจะเชื่อ ลูกของช่างตีเหล็กจะกลายเป็นพ่อมด”
“ท่านเข้าใจถูกแล้ว”
“ฮะ ฮะ พ่อมดจากไอ้งั่งนี่อ่ะนะ”
“เป็นไปได้อย่างยิ่ง แน่นอนบุตรชายของท่านจะต้องผ่านการฝึกฝนจากมหาวิทยาลัยเสียก่อน เชื่อแน่ว่า
บุตรชายของท่านน่าจะทำได้ดีไม่มีปัญหา”
หลังจากไตร่ตรองอยู้พักใหญ่ ช่างตีเหล็กเริ่มเห็นว่านี่ก็ไม่เลวเหมือนกัน ทว่าความคิดหนึ่งดึงเขากลับมาสู่ความเป็นจริง
“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อน พ่อผมเคยบอกผมว่าพ่อมดที่รู้ตัวว่าตัวเองใกล้หมดเวลาน่ะสามารถถ่ายทอดอำนาจ ตัวเองให้ผู้สืบทอดได้ จริงหรือเปล่า”
“ก็ทำนองนั้น” พ่อมดยอมรับ
“งั้นก็หมายความว่าท่านกำลังจะตาย”
“ตรงเผง”
“เมื่อไหร่” ช่างตีเหล็กถามอย่างไม่สบายใจนัก
พ่อมดคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “๖ นาที ไม่มากไม่น้อย”
“โอ้”
“ไม่เป็นไร อันที่จริงข้าพเจ้าก็ทำใจไว้แล้ว ไม่น่าจะเจ็บปวดเท่าไรนักหรอก”
ช่างตีเหล็กนึกสักพัก “ท่านรู้ได้ไงน่ะ”
พ่อมดทำเป็นไม่ได้ยินคำถาม หากแต่จ้องมองลมหมุนในสายหมอก
“คือว่า” ช่างตีเหล็กกล่าวต่อ “ท่านคงต้องอธิบายผมอีกเยอะเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกให้เป็นพ่อมด ละแวกนี้น่ะไม่เคยมีใครเป็นพ่อมดมาก่อนเลยนะ”
“ทุกอย่างจะเป็นไปเองแหละ ไม่ต้องห่วง เวทย์มนตร์ชักนำข้าพเจ้ามาหาท่าน และเวทย์มนตร์จะดูแลทุกอย่างเอง ทุกทีก็เป็นอย่างนั้น นั่นเสียงเด็กร้องใช่มั้ย”
ช่างตีเหล็กมองขึ้นไปชั้นบน ภายใต้เสียงฟ้าร้อง เสียงร้องของเด็กเกิดใหม่ ยังสามารถได้ยินอย่างชัดเจน
พ่อมดยิ้มเล็กน้อยกล่าวว่า “โปรดนำบุตรของท่านมาพบข้าพเจ้าหน่อยเถอะ”
แมวขาวลุกขึ้นและมองไปทางประตูโรงตีเหล็ก กระโดดลงจากโต๊ะ และคลานเลียบตัวไปกับพื้น เสียงครางของมันฟังราวกับเสียงใบเลื่อย
ช่างตีเหล็กวิ่งขึ้นบันไดไปชั้นบน ก่อนจะกลับลงมาพร้อมหมอตำแย ซึ่งอุ้มทารกน้อยในห่อผ้าห่ม
“เดี๋ยวก่อน…” เสียงหมอตำแยประท้วง
“ไม่เป็นไรน่า นี่สำคัญมาก” ช่างตีเหล็กไม่ฟังเสียง “แล้วยังไงต่อไปครับท่าน”
พ่อมดยกไม้เท้าขึ้น ขนาดไม้เท้านั้นสูงประมาณช่วงคน และหนาเกือบเท่าข้อมือ รอบ ๆ ไม้เท้าสลักไว้ด้วยลวดลายที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาราวกับว่ามันไม่อยากให้ ใครเห็นลวดลายที่แท้จริง
“บุตรของท่านจะต้องจับไม้เท้านี้ไว้” พ่อมดกล่าว
ช่างตีเหล็กเข้าใจและจูงมือทารกให้ไปจับไม้เท้า เมื่อทารกแตะถูกไม้เท้า ก็จับไว้แน่น
“เดี๋ยวก่อน…” เสียงหมอตำแยประท้วงอีกแล้ว
“ไม่เป็นไรน่ายาย ผมรู้ว่าผมทำอะไรอยู่ คือเธอเป็นแม่มดครับท่าน ไม่ต้องสนใจ เอาล่ะ ทีนี้ยังไงต่อ”
ไม่มีเสียงตอบจากพ่อมด
“ว่าไงครับ …” ช่างตีเหล็กหยุดพูด เขาก้มลงดูสีหน้าของพ่อมด แม้จะเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของพ่อมด เขาก็รู้ได้ว่าเวลาของพ่อมดได้หมดลงแล้ว
ช่างตีเหล็กส่งทารกคืนให้หมอตำแย และด้วยความเคารพเป็นอย่างยิ่ง เขาก็แกะมือของพ่อมดออกจากไม้เท้าจนได้ ไม้เท้ามีสัมผัสประหลาด เหมือนกับมีไฟฟ้าสถิตย์ สีก็ดำสนิท ลวดลายที่สลักมีสีอ่อนกว่าเล็กน้อย ทว่าลวดลายที่เปลี่ยนแปลงก็ชวนให้ปวดตาเป็นอย่างยิ่งหากจ้องมองเป็นเวลานาน
“เสร็จแล้วใช่ไหม” หมอตำแยกระแทก
“อ้า เอ้อ มั้ง คิดว่างั้นนะ ทำไมเหรอ”
หมอตำแยแก้ผ้าห่อทารกออก ช่างตีเหล็กอ้าปากค้าง
“เป็นไปไม่ได้”
“แล้วนี่เขารู้หรือเปล่านี่” หมอตำแยพยักหน้าไปทางร่างของพ่อมด
“ก็เขาบอกเองว่าคนนี้จะเป็นผู้ชาย”
“ดูยังไงก็ไม่ใช่ผู้ชาย”
ช่างตีเหล็กทรุดตัวลงกับพื้น มือกุมหัว “ข้าทำอะไรลงไปเนี่ย”
“แกเพิ่งจะมีลูกเป็นพ่อมดหญิงคนแรกของโลกไง” หมอตำแยประชด “กุ๊ก กุ๋ย กุ๊ก กุ๋ย”
“อะไรนะ”
“ไม่ได้คุยกับแก ฉันคุยกับเด็ก”
แมวยังคงร้องครางและยืดตัวยาวราวกับมันกำลังเคล้าเคลียอยู่กับขาของคนเลี้ยง ซึ่งประหลาดนักเพราะไม่มีอะไรสักอย่างอยู่ที่นั่น
“ข้าพเจ้าทำพลาดไป ที่คิดไปว่าเวทย์มนตร์จะชักนำทุกอย่างได้อย่างถูกต้อง”
ก็ไม่แน่
“ถ้าเพียงแต่ข้าพเจ้าจะแก้ไขอะไรได้บ้าง”
ท่านกลับไปไม่ได้ เสียงที่กล่าวทุ้มหนักราวกับดังมาจากหลุมศพ
สิ่งที่เคยเป็นพ่อมดคิดสักพักก่อนจะกล่าวว่า “แม่หนูนั่นลำบากแน่”
ชีวิตก็อย่างนั้น เขาว่านะ ข้าไม่รู้หรอก
“ถ้าจะกลับชาติมาเกิดใหม่ล่ะ”
ความตายลังเล
ลำบาก เชื่อข้าเถอะ
“ได้ยินว่ามีคนทำได้นี่”
ต้องฝึกเยอะ เริ่มตั้งแต่อะไรที่เล็กมากแล้วค่อย ๆ เพิ่มขนาดขึ้น เป็นมดน่ะไม่สนุกหรอกนะ
“แย่ขนาดนั้น”
แย่กว่านั้นอีก อีกอย่างด้วยกรรมขนาดท่าน เกิดเป็นมดยังจะหวังมากเกินไปด้วยซ้ำ
ถึงตอนนี้ทารกก็ถูกอุ้มกลับไปหาแม่ ขณะที่ช่างตีเหล็กยังคงนั่งเหม่อมอง สายฝน
พ่อมดยังคงเฝ้าคิดถึงช่วงชีวิตที่ผ่านมา บางสิ่งที่ทำลงไปก็ไม่น่าชื่นชมนัก
ถึงเวลาต้องไปแล้ว
ข้าไม่มีเวลารอทั้งวันนะ
มนุษย์ไม่เคยสำนึกว่าชีวิตนั้นซับซ้อนขนาดไหน ความตายปลดปล่อยชีวิต ออกจากพันธนาการของสสารและเวลา ทุกสิ่งที่พ่อมดเห็นขณะนี้คือทุกสิ่งที่เคยเป็น กำลังเป็น และที่จะเป็น ในอนาคต
มาเถอะ
“ข้าพเจ้าทำอะไรไม่ได่จริง ๆ”
ชีวิตเป็นเรื่องของคนเป็น ยังไงท่านก็ยกไม้เท้าของท่านให้เธอไปแล้ว
“อา จริงสินะ”
หมอตำแยมีชื่อว่า ยายฝน (**3) แล้วก็เป็นแม่มดด้วย ในย่านภูผา เสียดฟ้านี้ การเป็นแม่มดเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ได้มีใครพูดร้ายอะไรนัก เพราะอย่างน้อยกัยังไม่มีใครอยากตื่นขึ้นมากลายเป็นสัตว์ประหลาด
ตอนที่ยายแกลงมาอีกที ช่างตีเหล็กก็ยังนั่งมองสายฝนอยู่
“ข้าจะทำยังไงดียาย” ช่างตีเหล็กถาม
“แกเอาร่างของพ่อมดไปไว้ไหน”
“อยู่ในโรงเก็บของ คงไม่เป็นไรนะยาย"
The Discworld : Equal Rites (สิทธิเสมอภาค)
สิทธิเสมอภาค (Equal Rites)
โดย เทอรี แพรทเช็ต
----------------------------------------------------------------------------------------
นี่คือเรื่องราว ที่มาและที่ไปของเวทย์มนตร์ แม้ว่านี่อาจจะไม่ได้ตอบคำถามทั้งหมด อย่างน้อยมันก็อาจจะ อธิบายว่าทำไม แกนดอล์ฟถึงไม่มีเมีย หรือว่าทำไมเมอร์ลินถึงต้องเป็นผู้ชาย ทั้งนี้ก็โดยเหตุที่ว่านี่มีเรื่ิองเพศ เข้ามาเกี่ยวข้อง แม่ว่าจะไม่ใช่ในลักษณะที่โลดโผน ถึงกับต้องกับต้องนับจำนวนขาแล้วหารสองก็เุถอะ (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าตัวละครไม่ออกนอกบทที่ผู้แต่งเขียนไว้)
อันที่จริงนี่คือเรื่องราวของโลก โลกหนึ่ง
จับตาดูให้ดี มันใกล้เข้ามาแล้ว อย่ากระพริบตาล่ะ ฉากนี้ลงทุนไปเยอะสำหรับสเปเชียลเอฟเฟคท์
เสียงแตรกระหึ่ม ลึก และดังยิ่งกว่าดัง ความรู้สึกของผู้ฟังบอกให้รู้ว่าชั่วขณะใดขณะหนึ่งนี้แหละ แตรจะหยุดทันทีทันใด แล้วแทนด้วยเสียงโหมโรงอันแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของอวกาศ ประกอบกับฉากความมืดสนิทอันเวิ้งว้างที่ประดับประดาด้วยแสงดาวราวกับรังแคบน ไหล่ของพระเจ้า
เหนือหัวขึ้นไป มหึมาเหนือมหึมา ใหญ่เสียยิ่งกว่ายานพิฆาตดาราจินตนาการโดยผู้กำกับหมื่นล้าน เต่ายักษ์ขนาดกว่าหมื่นกิโลเมตรเยื้องย่างเข้ามาอย่างช้า ๆ นี่คือมหาเต่า “อาตูอิน” ความมหัศจรรย์อันไม่อาจอธิบายได้โดยดาราสัตวศาสตร์ หากอาจบรรยายได้เพียงโดยจินตนาการ บนกระดองอันเต็มไปด้วยหลุมอุกกาบาตยืนไว้ด้วยช้างยักษ์ 4 เชือก และบนหลังช้างยักษ์ทั้งสี่นี้คือจานกลมอันเป็นที่ตั้งของโลกแห่ง พิภพแบน
เมื่อเปลี่ยนมุมมองไปรอบ ๆ จะเห็นได้ว่าพุภพแบนแห่งนี้มีดวงอาทิตย์เล็ก ๆ โคจรอยู่โดยรอบ ทวีป ทะเล มหาสมุทร ทะเลทราย ภูเขา และแม้แต่พื้นที่ยอดแหลมที่ปกคลุมโดยหิมะก็อา่จสังเกตเห็นได้บนพิภพแบน แน่นอนเชียวว่าชาวพิภพแบนไม่ได้ใส่ใจอันใดกับความเป็นไปไม่ได้ในทางทฤษฏีของ โลกแห่งนี้ โลกแห่งพิภพแบนนี้ถูกล้อมรอบด้วยทะเลวงแหวน ซึ่งน้ำทะเลไหลล้นตกลงไปจากจานกลมราวกับแผ่นพิซซาอย่างบางอันเป็นที่ตั้งของ พิภพแบนอยู่ตลอดเวลา
มหัศจรรย์ภพ ที่เกิดขึ้นและคงอยู่ได้เพียงเพราะการล้อเล่นของพระเจ้าเช่นนี้ คงเป็นเพียงสถานที่เดียวเท่านั้น ที่เวทย์มนตร์อาจคงอยู่ได้ และก็แหงละ เรื่องเพศด้วย
------------------------------------------------------------------------------------
ชายคนหนึ่งกำลังเดินฝ่าพายุฟ่าคะนอง คุณบอกตัวเองได้ทันทีว่าชายคนนี้ต้องเป็นพ่อมดแน่นอน เหตุผลส่วนหนึ่งนั้นเนื่องจากเสื้อคลุมยาวที่เขาสวม และไม้เท้ายาวที่เขาใช้ แต่ที่แน่ ๆ ก็คือหยาดฝนทุกเม็ดมิได้แตะต้องตัวเขาแม้สักน้อย หากแต่เดือดเป็นไอไปเสียก่อนจะได้เข้าใกล้
พื้นที่บริเวณภูผาเสียดฟ้า(**1)นี้ เป็นพื้นที่ที่อุดมไปด้วยภูเขาสูงชันและป่าทึบ ร่องเหวที่แม่น้ำไหลผ่านก็ลึกกระทั่งกว่าแสงแดดจะส่องถึงก้นเหวก็ได้เวลาที่ ดวงอาทิตย์จะเคลื่อนพ้นไปอีกแล้ว หนึ่งในบริเวณยอดเขาที่ต่ำกว่านี้ิเองที่ชายผู้นี้กำลังปีนป่ายและลื่นไถล อยู่ แพะฝูงหนึ่งเฝ้ามองอยู่ใกล้ ๆ ด้วยความสนใจเล็กน่อย อันที่จริงแพะก็สนใจทุกอย่างนั่นแหละ
บางครั้งเขาจะหยุดเดิน แล้วก็โยนไม้เท้ายาวขึ้นไปในอากาศ ทุกครั้งมิได้พลาดไม้เท้าจะตกลงมาและชี้ ไปในทิศทางเดิม พ่อมดคงเพียงแต่ถอนหายใจพร้อมกับหยิบไม้เท้าขึ้นมาและมุ่งหน้าต่อไป
เมื่อพ่อมดเดินผ่านพ้นไป ฝูงแพะก็หันกลับไปใส่ใจกับละอองฝนอีกครั้ง ทว่าอะไรบางอย่างกระตุ้นความสนใจ ของมันให้หันกลับมาอีก อะไรบางอย่างซึ่งทำให้ฝูงแพะเบิกตากว้าง หายใจแรงด้วยความตระหนก อะไรบาง อย่างที่มันมองไม่เห็น แต่ก็จำต้องมองอยู่กระทั่งอะไรบางอย่างนั้นเคลื่อนผ่านพ้นไป
ในหุบเขาแคบ ๆ หว่างกลางป่านั้นเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านเล็ก ๆ เล็กเกินกว่าจะหาเจอได้ในแผนที่ของ ภูผาเสียดฟ้า อันที่จริงมันเล็กกระทั่งคุณอาจจะหามันไม่พบในแผนที่ของหมู่บ้านเอง คนรู้จักหมู่บ้านนี้เพียงเพราะว่าใครทุกคนต้องมาจากที่ไหนสักแห่ง จักรวาลเต็มไปด้วยสถานที่เช่นนี้ หมู่บ้านลึกลับซึ่งประวัติศาสตร์รู้จักเพียงเพราะว่าอะไรซักอย่างที่สำคัญ เกิดขึ้นที่นี่ บ่อยครั้งอาจเพียงป้ายเล็ก ๆ บอกให้รู้ว่านี่เป็นบ้านเกิดของคนสำคัญสักคน ก็เท่านั้น
สายหมอกทอดผ่านหมู่บ้าน ขณะที่พ่อมดเดินข้ามสะพานซึ่งทอดเหนือทางน้ำซึ่งเอ่อล้นและมุ่งหน้าไปยังโรง ตีเหล็ก โดยทั่วไปโรงตีเหล็กก็มีคนไปมาไม่นัอย เหตุผลหนึ่งนั้นก็เพราะโรงตีเหล็กนั้นอุ่นด้วยต้องติดไฟอยู่ ตลอดเวลา อีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะโรงตีเหล็กจำต้องมีคนเฝ้าซึ่งหมายถึงว่าวงสนทนาย่อมมี อยู่เสมอ วันนี้ก็เช่นกัน เมื่อพ่อมดเดินเข้าใกล้โรงตีเหล็ก วงสนทนาก็เงียบลง แต่ละคนนั่งตรงและพยายามทำตนให้ดูฉลาดถึงจะได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้างก็เถอะ
ช่างตีเหล็กไม่สนใจมากนัก เขาผงกหัวเล็กน้อยให้กับพ่อมด เล็กน้อยพอจะแสดงให้เห็นว่าอย่างน้อยช่างตีเหล็กก็มีศักดิ์ไม่ด้อยกว่าพ่อมด ซักเท่าไหร่ ในทางกลับกันพ่อมดก็น้อมคำนับ แมวขนฟูขาวซึ่งนอนอยู่ใกล้ ๆ ลุกนั่งและจ้องมองอย่างสนใจ
“ท่านที่เคารพ พอจะบอกชื่อสถานที่นี้ให้ทราบได้หรือไม่” พ่อมดกล่าว
ช่างตีเหล็ก ยักไหล่พร้อมกล่าวว่า “ไอ้งั่ง” (**2)
“ไอ้...”
“ไอ้งั่ง” น้ำเสียงช่างตีเหล็กแสดงให้เห็นว่าการคาดคั้นต่อไปคงไม่เป็นการดีนัก
“ข่าพเจ้าเชื่อว่า ชื่อเช่นนี้ย่อมมีเหตุผลที่ดีประกอบ” พ่อมดกล่าวหลังหยุดคิดไปพักหนึ่ง “หากนี่เป็นเวลาปรกติ ข้าพเจ้าคงอดไม่ได้ต้องสอบถามถึงเหตุผลเป็นแน่ ทว่าข้าพเจ้ามีเหตุสำคัญกว่า ข้าพเจ้าจะขอกล่าวกับท่านช่างตีเหล็กซักเล็กน้อยได้หรือไม่ เกี่ยวกับบุตรชายของท่าน”
“คนไหนล่ะ” ช่างตีเหล็กกล่าวตอบ พร้อมกันนั้นคนรอบ ๆ ก็เริ่มล้อมวงเข้ามาใกล้
“ท่านมีบุตรชายเจ็ดคน ใช่หรือไม่ และตัวท่านเองก็เป็นบุตรคนที่แปด จากพี่น้องชายล้วนแปดคน”
ช่างตีเหล็กสีหน้าเครียด กล่าวขึ้นกับกลุมชาวบ้านมุงในทันทีว่า “เฮ้ย ฝนก็ซาแล้ว กลับบ้านกลับช่องกันซะทีซีวะ” แล้วห้นมามองพ่อมดในทีท่าคาดคั้น
“ดรัม บิลเลตคือนามของข้าพเจ้า” พ่อมดตอบ
“เฮ้ย นี่เรื่องส่วนตัวระหว่างข้ากับนายบิลเลตโว้ย” ช่างตีเหล็กกล่าวดัง ๆ ให้กลุ่มชาวมุงรู้ว่าได้เวลาสลายวง แล้ว
ช่างตีเหล็กยกม้านั่งออกมา พร้อมกับขวดใสและจอกเล็ก หลังจากรินของเหลวใสจากขวดลงจอก และจ้องมองละอองฝนซักพัก ช่างตีเหล็กก็กล่าวขึ้น
“ผมรู้ว่าท่านถามหาลูกคนไหน หมอตำแยกำลังอยู่กับเมียผมข้างบน ลูกชายคนที่ 8 ของลูกชายคนที่ 8
ใช่ใหม เคยสะกิดใจเหมือนกัน แต่ไม่นึกว่ามันจะเกิดขึ้นจริง นี่ว่ากันจริง ๆ นะ ใครจะเชื่อ ลูกของช่างตีเหล็กจะกลายเป็นพ่อมด”
“ท่านเข้าใจถูกแล้ว”
“ฮะ ฮะ พ่อมดจากไอ้งั่งนี่อ่ะนะ”
“เป็นไปได้อย่างยิ่ง แน่นอนบุตรชายของท่านจะต้องผ่านการฝึกฝนจากมหาวิทยาลัยเสียก่อน เชื่อแน่ว่า
บุตรชายของท่านน่าจะทำได้ดีไม่มีปัญหา”
หลังจากไตร่ตรองอยู้พักใหญ่ ช่างตีเหล็กเริ่มเห็นว่านี่ก็ไม่เลวเหมือนกัน ทว่าความคิดหนึ่งดึงเขากลับมาสู่ความเป็นจริง
“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อน พ่อผมเคยบอกผมว่าพ่อมดที่รู้ตัวว่าตัวเองใกล้หมดเวลาน่ะสามารถถ่ายทอดอำนาจ ตัวเองให้ผู้สืบทอดได้ จริงหรือเปล่า”
“ก็ทำนองนั้น” พ่อมดยอมรับ
“งั้นก็หมายความว่าท่านกำลังจะตาย”
“ตรงเผง”
“เมื่อไหร่” ช่างตีเหล็กถามอย่างไม่สบายใจนัก
พ่อมดคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “๖ นาที ไม่มากไม่น้อย”
“โอ้”
“ไม่เป็นไร อันที่จริงข้าพเจ้าก็ทำใจไว้แล้ว ไม่น่าจะเจ็บปวดเท่าไรนักหรอก”
ช่างตีเหล็กนึกสักพัก “ท่านรู้ได้ไงน่ะ”
พ่อมดทำเป็นไม่ได้ยินคำถาม หากแต่จ้องมองลมหมุนในสายหมอก
“คือว่า” ช่างตีเหล็กกล่าวต่อ “ท่านคงต้องอธิบายผมอีกเยอะเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกให้เป็นพ่อมด ละแวกนี้น่ะไม่เคยมีใครเป็นพ่อมดมาก่อนเลยนะ”
“ทุกอย่างจะเป็นไปเองแหละ ไม่ต้องห่วง เวทย์มนตร์ชักนำข้าพเจ้ามาหาท่าน และเวทย์มนตร์จะดูแลทุกอย่างเอง ทุกทีก็เป็นอย่างนั้น นั่นเสียงเด็กร้องใช่มั้ย”
ช่างตีเหล็กมองขึ้นไปชั้นบน ภายใต้เสียงฟ้าร้อง เสียงร้องของเด็กเกิดใหม่ ยังสามารถได้ยินอย่างชัดเจน
พ่อมดยิ้มเล็กน้อยกล่าวว่า “โปรดนำบุตรของท่านมาพบข้าพเจ้าหน่อยเถอะ”
แมวขาวลุกขึ้นและมองไปทางประตูโรงตีเหล็ก กระโดดลงจากโต๊ะ และคลานเลียบตัวไปกับพื้น เสียงครางของมันฟังราวกับเสียงใบเลื่อย
ช่างตีเหล็กวิ่งขึ้นบันไดไปชั้นบน ก่อนจะกลับลงมาพร้อมหมอตำแย ซึ่งอุ้มทารกน้อยในห่อผ้าห่ม
“เดี๋ยวก่อน…” เสียงหมอตำแยประท้วง
“ไม่เป็นไรน่า นี่สำคัญมาก” ช่างตีเหล็กไม่ฟังเสียง “แล้วยังไงต่อไปครับท่าน”
พ่อมดยกไม้เท้าขึ้น ขนาดไม้เท้านั้นสูงประมาณช่วงคน และหนาเกือบเท่าข้อมือ รอบ ๆ ไม้เท้าสลักไว้ด้วยลวดลายที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาราวกับว่ามันไม่อยากให้ ใครเห็นลวดลายที่แท้จริง
“บุตรของท่านจะต้องจับไม้เท้านี้ไว้” พ่อมดกล่าว
ช่างตีเหล็กเข้าใจและจูงมือทารกให้ไปจับไม้เท้า เมื่อทารกแตะถูกไม้เท้า ก็จับไว้แน่น
“เดี๋ยวก่อน…” เสียงหมอตำแยประท้วงอีกแล้ว
“ไม่เป็นไรน่ายาย ผมรู้ว่าผมทำอะไรอยู่ คือเธอเป็นแม่มดครับท่าน ไม่ต้องสนใจ เอาล่ะ ทีนี้ยังไงต่อ”
ไม่มีเสียงตอบจากพ่อมด
“ว่าไงครับ …” ช่างตีเหล็กหยุดพูด เขาก้มลงดูสีหน้าของพ่อมด แม้จะเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของพ่อมด เขาก็รู้ได้ว่าเวลาของพ่อมดได้หมดลงแล้ว
ช่างตีเหล็กส่งทารกคืนให้หมอตำแย และด้วยความเคารพเป็นอย่างยิ่ง เขาก็แกะมือของพ่อมดออกจากไม้เท้าจนได้ ไม้เท้ามีสัมผัสประหลาด เหมือนกับมีไฟฟ้าสถิตย์ สีก็ดำสนิท ลวดลายที่สลักมีสีอ่อนกว่าเล็กน้อย ทว่าลวดลายที่เปลี่ยนแปลงก็ชวนให้ปวดตาเป็นอย่างยิ่งหากจ้องมองเป็นเวลานาน
“เสร็จแล้วใช่ไหม” หมอตำแยกระแทก
“อ้า เอ้อ มั้ง คิดว่างั้นนะ ทำไมเหรอ”
หมอตำแยแก้ผ้าห่อทารกออก ช่างตีเหล็กอ้าปากค้าง
“เป็นไปไม่ได้”
“แล้วนี่เขารู้หรือเปล่านี่” หมอตำแยพยักหน้าไปทางร่างของพ่อมด
“ก็เขาบอกเองว่าคนนี้จะเป็นผู้ชาย”
“ดูยังไงก็ไม่ใช่ผู้ชาย”
ช่างตีเหล็กทรุดตัวลงกับพื้น มือกุมหัว “ข้าทำอะไรลงไปเนี่ย”
“แกเพิ่งจะมีลูกเป็นพ่อมดหญิงคนแรกของโลกไง” หมอตำแยประชด “กุ๊ก กุ๋ย กุ๊ก กุ๋ย”
“อะไรนะ”
“ไม่ได้คุยกับแก ฉันคุยกับเด็ก”
แมวยังคงร้องครางและยืดตัวยาวราวกับมันกำลังเคล้าเคลียอยู่กับขาของคนเลี้ยง ซึ่งประหลาดนักเพราะไม่มีอะไรสักอย่างอยู่ที่นั่น
“ข้าพเจ้าทำพลาดไป ที่คิดไปว่าเวทย์มนตร์จะชักนำทุกอย่างได้อย่างถูกต้อง”
ก็ไม่แน่
“ถ้าเพียงแต่ข้าพเจ้าจะแก้ไขอะไรได้บ้าง”
ท่านกลับไปไม่ได้ เสียงที่กล่าวทุ้มหนักราวกับดังมาจากหลุมศพ
สิ่งที่เคยเป็นพ่อมดคิดสักพักก่อนจะกล่าวว่า “แม่หนูนั่นลำบากแน่”
ชีวิตก็อย่างนั้น เขาว่านะ ข้าไม่รู้หรอก
“ถ้าจะกลับชาติมาเกิดใหม่ล่ะ”
ความตายลังเล ลำบาก เชื่อข้าเถอะ
“ได้ยินว่ามีคนทำได้นี่”
ต้องฝึกเยอะ เริ่มตั้งแต่อะไรที่เล็กมากแล้วค่อย ๆ เพิ่มขนาดขึ้น เป็นมดน่ะไม่สนุกหรอกนะ
“แย่ขนาดนั้น”
แย่กว่านั้นอีก อีกอย่างด้วยกรรมขนาดท่าน เกิดเป็นมดยังจะหวังมากเกินไปด้วยซ้ำ
ถึงตอนนี้ทารกก็ถูกอุ้มกลับไปหาแม่ ขณะที่ช่างตีเหล็กยังคงนั่งเหม่อมอง สายฝน
พ่อมดยังคงเฝ้าคิดถึงช่วงชีวิตที่ผ่านมา บางสิ่งที่ทำลงไปก็ไม่น่าชื่นชมนัก
ถึงเวลาต้องไปแล้ว ข้าไม่มีเวลารอทั้งวันนะ
มนุษย์ไม่เคยสำนึกว่าชีวิตนั้นซับซ้อนขนาดไหน ความตายปลดปล่อยชีวิต ออกจากพันธนาการของสสารและเวลา ทุกสิ่งที่พ่อมดเห็นขณะนี้คือทุกสิ่งที่เคยเป็น กำลังเป็น และที่จะเป็น ในอนาคต
มาเถอะ
“ข้าพเจ้าทำอะไรไม่ได่จริง ๆ”
ชีวิตเป็นเรื่องของคนเป็น ยังไงท่านก็ยกไม้เท้าของท่านให้เธอไปแล้ว
“อา จริงสินะ”
หมอตำแยมีชื่อว่า ยายฝน (**3) แล้วก็เป็นแม่มดด้วย ในย่านภูผา เสียดฟ้านี้ การเป็นแม่มดเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ได้มีใครพูดร้ายอะไรนัก เพราะอย่างน้อยกัยังไม่มีใครอยากตื่นขึ้นมากลายเป็นสัตว์ประหลาด
ตอนที่ยายแกลงมาอีกที ช่างตีเหล็กก็ยังนั่งมองสายฝนอยู่
“ข้าจะทำยังไงดียาย” ช่างตีเหล็กถาม
“แกเอาร่างของพ่อมดไปไว้ไหน”
“อยู่ในโรงเก็บของ คงไม่เป็นไรนะยาย"