โทษของกามสุข
กามสุข ที่เกิดจากกามตัณหาความอยากในกาม เราก็ต้องปล่อยวาง ต้องเห็นว่าสิ่งที่เราไปรักไปชอบนั้น ไม่ใช่สิ่งที่สวยงาม รูปร่างหน้าตาของคนเรานั้น พอดูได้แต่เพียงเฉพาะเปลือกนอก คือผิวหนังเท่านั้นเอง
ถ้ามองทะลุเข้าไปใต้ผิวหนังแล้ว ก็จะเห็นอวัยวะต่างๆ น้อยใหญ่ ที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในของร่างกาย รวมถึงสิ่งที่เป็นปฏิกูลต่างๆ ที่ร่างกายจะต้องขับถ่ายออกมา
ถ้าพิจารณาอย่างสม่ำเสมอด้วยปัญญา ด้วยความแยบคาย ก็จะเห็นว่าร่างกายนี้ไม่สวยงามเลย ไม่สะอาดหมดจด แต่เป็นร่างกายที่สกปรก มีความไม่สวยไม่งามซ่อนเร้นอยู่ ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ยังเป็นอย่างนี้ ในขณะที่ตายไป ยิ่งสกปรก ยิ่งน่าเกลียด น่ากลัวขึ้นไปใหญ่
แต่เป็นสิ่งที่พวกเราไม่ค่อยพิจารณากัน ไม่ค่อยคิดกัน ก็เลยเกิดความรักความยินดีในร่างกาย เห็นเพศตรงกันข้ามแล้ว เกิดความอยากจะอยู่ใกล้ด้วย อยากจะสัมผัสด้วย เพราะเห็นเพียงแต่อาการภายนอก ไม่เห็นอาการภายใน จึงทำให้มีความยึดติดกับร่างกายของเพศตรงกันข้าม
แต่ถ้าได้ศึกษาได้พิจารณาอย่างต่อเนื่อง อย่างสม่ำเสมอ ต่อไปเวลาเห็นร่างกายของเพศตรงกันข้าม หรือเพศเดียวกันก็ตาม จะเห็นทะลุไปถึงอาการทั้ง ๓๒ อาการ ทำให้เกิดความเบื่อหน่าย คลายความกำหนัดยินดีในร่างกายของผู้อื่น
เมื่อคลายความกำหนัดความยินดี จิตก็หลุดพ้นจากความเป็นทาสของกามตัณหา ความอยากในกาม สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ตามลำพัง โดยไม่ต้องมีคู่ครองอีกต่อไป
คนที่อยู่ตามลำพังได้เป็นคนมีบุญมีกุศล เพราะไม่ต้องทุกข์กับคู่ครอง เพราะเวลามีคู่แล้วถึงแม้จะมีความสุขบ้าง แต่ถ้าเปรียบเทียบกับความทุกข์ที่ได้มาแล้ว มันเปรียบเทียบกันไม่ได้เลยทีเดียว
เพราะเมื่ออยู่ด้วยกันก็ต้องมีการทะเลาะเบาะแว้งกัน มีการขัดใจกัน มีความไม่พอใจกัน หรือถ้าไม่มีการทะเลาะกัน ไม่มีการขัดแย้งกัน มีแต่ความรักต่อกัน ก็ต้องมีความห่วงใยกัน กลัวว่าเขาจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ไปเป็นต้น ล้วนแต่เป็นความทุกข์ทั้งนั้น
แต่เนื่องจากว่าเรายังอยู่ตามลำพังไม่ได้ ยังมีความหลงอยู่ ยังมีความยินดีในกามอยู่ จึงทำให้ ไม่สามารถที่จะอยู่ตามลำพังได้ จึงต้องยอมรับความทุกข์ ที่มาจากความสุขที่เกิดจากการเสพกาม
ถ้าเป็นคนฉลาด ก็จะเจริญธรรม ให้เห็นว่าร่างกายนี้ เป็นร่างกายที่ไม่สวยงาม เป็นปฏิกูลของสกปรก จนปล่อยวางได้ ก็จะไม่ยินดีกับการมีคู่ครองอีกต่อไป ก็จะสามารถอยู่ตามลำพังได้ เพราะจิตที่ไม่มีกามตัณหานั้น เป็นจิตที่สงบสงัดจากกาม เป็นจิตที่มีความสงบนิ่ง เป็นสมาธิ เป็นจิตที่มีความสุขโดยธรรมชาติของจิตเอง เป็นความสุขที่ประเสริฐ เป็นความสุขที่เลิศกว่าความสุขที่ได้จากการเสพกาม
ดังที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่า ไม่มีความสุขอันใดในโลกนี้ จะดีเท่ากับความสุขที่เกิดจากความสงบของจิต ที่เรียกว่าสันติสุข นี่แหละคือความสุขที่แท้จริง เป็นความสุขที่อยู่กับเราไปตลอด เพราะอยู่ในจิตของเรา ไม่ต้องอาศัยสิ่งหนึ่งสิ่งใด มาทำให้จิตมีความสุข
ไม่มีใครสามารถแย่งชิงความสุขนี้จากเราไปได้ ไม่เหมือนกับกามสุข ที่ต้องอาศัยบุคคลอื่น เป็นเครื่องให้ความสุขกับเรา ถ้าเผลอก็อาจจะถูกคนอื่นแย่งคนๆ นั้น จากเราไปก็ได้ ถ้าถูกแย่งไป เราก็จะต้องเศร้าโศกเสียใจ เป็นความทุกข์ขึ้นมาทันที
นี่แหละคือโทษของกามสุข กามสุขไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง
กามสุขมีโทษซ่อนอยู่ มีความทุกข์ซ่อนอยู่ เปรียบเหมือนกับระเบิดเวลาที่จะระเบิดขึ้นมา เวลาไหนเราก็ไม่รู้ สามีของเรา ภรรยาของเรา จะจากเราไปแบบไหน เมื่อไร เราก็ไม่รู้ จะหย่ากัน จะไปมีสามีใหม่ ภรรยาใหม่ หรือจะตายจากเราไป อย่างใดอย่างหนึ่ง เราก็ไม่รู้
แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ถ้าเรายังหวง ยังยึด ยังติดกับเขาอยู่ เราก็จะต้องเศร้าโศกเสียใจ ร้องห่มร้องไห้ไปเป็นธรรมดา นี่คือปัญหาของพวกเรา เพราะไม่ใช้ลิ้นของเราให้เป็นประโยชน์ กลับไปใช้ทัพพี คือใจของเรานั้น เป็นได้ทั้ง ๒ อย่าง เป็นทัพพีก็ได้ เป็นลิ้นก็ได้ ถ้าเป็นลิ้นก็ต้องสำเหนียก เตือนสติสอนใจเราอยู่เสมอ ต้องเข้าหาธรรมอยู่เสมอ ฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่เสมอ ถ้าไม่มีโอกาสได้ฟังเทศน์ฟังธรรม ก็หาหนังสือธรรมะมาอ่านอยู่เสมอ เพราะเมื่อได้อ่านแล้ว ก็จะได้จดจำ แล้วธรรมก็จะไม่ห่างจากใจของเรา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้จากหนังสือ กำลังใจ 9 ตอนทำดี ละชั่ว พระจุลนายก (สุชาติ อภิชาโต)
นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ (ขุ.ธ. ๒๕/๔๒) " ความสุขอื่น ยิ่งกว่าความสงบ ไม่มี "
สุขจากการมีชีวิตคู่ ยังไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง
กามสุข ที่เกิดจากกามตัณหาความอยากในกาม เราก็ต้องปล่อยวาง ต้องเห็นว่าสิ่งที่เราไปรักไปชอบนั้น ไม่ใช่สิ่งที่สวยงาม รูปร่างหน้าตาของคนเรานั้น พอดูได้แต่เพียงเฉพาะเปลือกนอก คือผิวหนังเท่านั้นเอง
ถ้ามองทะลุเข้าไปใต้ผิวหนังแล้ว ก็จะเห็นอวัยวะต่างๆ น้อยใหญ่ ที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในของร่างกาย รวมถึงสิ่งที่เป็นปฏิกูลต่างๆ ที่ร่างกายจะต้องขับถ่ายออกมา
ถ้าพิจารณาอย่างสม่ำเสมอด้วยปัญญา ด้วยความแยบคาย ก็จะเห็นว่าร่างกายนี้ไม่สวยงามเลย ไม่สะอาดหมดจด แต่เป็นร่างกายที่สกปรก มีความไม่สวยไม่งามซ่อนเร้นอยู่ ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ยังเป็นอย่างนี้ ในขณะที่ตายไป ยิ่งสกปรก ยิ่งน่าเกลียด น่ากลัวขึ้นไปใหญ่
แต่เป็นสิ่งที่พวกเราไม่ค่อยพิจารณากัน ไม่ค่อยคิดกัน ก็เลยเกิดความรักความยินดีในร่างกาย เห็นเพศตรงกันข้ามแล้ว เกิดความอยากจะอยู่ใกล้ด้วย อยากจะสัมผัสด้วย เพราะเห็นเพียงแต่อาการภายนอก ไม่เห็นอาการภายใน จึงทำให้มีความยึดติดกับร่างกายของเพศตรงกันข้าม
แต่ถ้าได้ศึกษาได้พิจารณาอย่างต่อเนื่อง อย่างสม่ำเสมอ ต่อไปเวลาเห็นร่างกายของเพศตรงกันข้าม หรือเพศเดียวกันก็ตาม จะเห็นทะลุไปถึงอาการทั้ง ๓๒ อาการ ทำให้เกิดความเบื่อหน่าย คลายความกำหนัดยินดีในร่างกายของผู้อื่น
เมื่อคลายความกำหนัดความยินดี จิตก็หลุดพ้นจากความเป็นทาสของกามตัณหา ความอยากในกาม สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ตามลำพัง โดยไม่ต้องมีคู่ครองอีกต่อไป
คนที่อยู่ตามลำพังได้เป็นคนมีบุญมีกุศล เพราะไม่ต้องทุกข์กับคู่ครอง เพราะเวลามีคู่แล้วถึงแม้จะมีความสุขบ้าง แต่ถ้าเปรียบเทียบกับความทุกข์ที่ได้มาแล้ว มันเปรียบเทียบกันไม่ได้เลยทีเดียว
เพราะเมื่ออยู่ด้วยกันก็ต้องมีการทะเลาะเบาะแว้งกัน มีการขัดใจกัน มีความไม่พอใจกัน หรือถ้าไม่มีการทะเลาะกัน ไม่มีการขัดแย้งกัน มีแต่ความรักต่อกัน ก็ต้องมีความห่วงใยกัน กลัวว่าเขาจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ไปเป็นต้น ล้วนแต่เป็นความทุกข์ทั้งนั้น
แต่เนื่องจากว่าเรายังอยู่ตามลำพังไม่ได้ ยังมีความหลงอยู่ ยังมีความยินดีในกามอยู่ จึงทำให้ ไม่สามารถที่จะอยู่ตามลำพังได้ จึงต้องยอมรับความทุกข์ ที่มาจากความสุขที่เกิดจากการเสพกาม
ถ้าเป็นคนฉลาด ก็จะเจริญธรรม ให้เห็นว่าร่างกายนี้ เป็นร่างกายที่ไม่สวยงาม เป็นปฏิกูลของสกปรก จนปล่อยวางได้ ก็จะไม่ยินดีกับการมีคู่ครองอีกต่อไป ก็จะสามารถอยู่ตามลำพังได้ เพราะจิตที่ไม่มีกามตัณหานั้น เป็นจิตที่สงบสงัดจากกาม เป็นจิตที่มีความสงบนิ่ง เป็นสมาธิ เป็นจิตที่มีความสุขโดยธรรมชาติของจิตเอง เป็นความสุขที่ประเสริฐ เป็นความสุขที่เลิศกว่าความสุขที่ได้จากการเสพกาม
ดังที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่า ไม่มีความสุขอันใดในโลกนี้ จะดีเท่ากับความสุขที่เกิดจากความสงบของจิต ที่เรียกว่าสันติสุข นี่แหละคือความสุขที่แท้จริง เป็นความสุขที่อยู่กับเราไปตลอด เพราะอยู่ในจิตของเรา ไม่ต้องอาศัยสิ่งหนึ่งสิ่งใด มาทำให้จิตมีความสุข
ไม่มีใครสามารถแย่งชิงความสุขนี้จากเราไปได้ ไม่เหมือนกับกามสุข ที่ต้องอาศัยบุคคลอื่น เป็นเครื่องให้ความสุขกับเรา ถ้าเผลอก็อาจจะถูกคนอื่นแย่งคนๆ นั้น จากเราไปก็ได้ ถ้าถูกแย่งไป เราก็จะต้องเศร้าโศกเสียใจ เป็นความทุกข์ขึ้นมาทันที
นี่แหละคือโทษของกามสุข กามสุขไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง
กามสุขมีโทษซ่อนอยู่ มีความทุกข์ซ่อนอยู่ เปรียบเหมือนกับระเบิดเวลาที่จะระเบิดขึ้นมา เวลาไหนเราก็ไม่รู้ สามีของเรา ภรรยาของเรา จะจากเราไปแบบไหน เมื่อไร เราก็ไม่รู้ จะหย่ากัน จะไปมีสามีใหม่ ภรรยาใหม่ หรือจะตายจากเราไป อย่างใดอย่างหนึ่ง เราก็ไม่รู้
แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ถ้าเรายังหวง ยังยึด ยังติดกับเขาอยู่ เราก็จะต้องเศร้าโศกเสียใจ ร้องห่มร้องไห้ไปเป็นธรรมดา นี่คือปัญหาของพวกเรา เพราะไม่ใช้ลิ้นของเราให้เป็นประโยชน์ กลับไปใช้ทัพพี คือใจของเรานั้น เป็นได้ทั้ง ๒ อย่าง เป็นทัพพีก็ได้ เป็นลิ้นก็ได้ ถ้าเป็นลิ้นก็ต้องสำเหนียก เตือนสติสอนใจเราอยู่เสมอ ต้องเข้าหาธรรมอยู่เสมอ ฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่เสมอ ถ้าไม่มีโอกาสได้ฟังเทศน์ฟังธรรม ก็หาหนังสือธรรมะมาอ่านอยู่เสมอ เพราะเมื่อได้อ่านแล้ว ก็จะได้จดจำ แล้วธรรมก็จะไม่ห่างจากใจของเรา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ (ขุ.ธ. ๒๕/๔๒) " ความสุขอื่น ยิ่งกว่าความสงบ ไม่มี "