อาทิตย์อับแสง (บทที่ 25)
อากาศตอนสายๆ ช่วงที่แสงแดดเริ่มแผ่ประกายเจิดจ้า ช่างแสนสบายนัก การได้อยู่บ้านทำให้ใจของเธอสบาย คลายความล้าทั้งหมดทั้งปวง จนในที่สุดเกษราเผลอเอนหลังพิงพนักเก้าอี้โยกภายในห้องนอนขว้างด้านล่าง แล้วหลับไปจนได้
และเมื่อความเงียบเข้ามาแทนที่เสียงเจื้อยแจ้วที่เคยแว่วจากข้างในห้อง คนที่นั่งเหยียดขาตรงด้านนอกข้างประตูห้องจึงลุกขึ้นช้าๆ ภูเก็ตยืนนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ พยายามฟังเสียงที่อาจเล็ดลอดมาจากด้านใน
แต่…เงียบ!
ชายหนุ่มช่างใจ ลังเล แล้วในที่สุดจึงตัดสินใจค่อยๆ แตะลูกบิดผลักบานประตูห้องเข้าไปข้างใน
การวางเท้า…เบา เกรงจะปลุกสองยายหลานที่ต่างอยู่ในนิทรารมย์อันแสนสบาย
เวลาผ่านไปนานแค่ไหนก็สุดแต่คนที่หลับใหลจะรู้ได้ แต่คนที่เข้ามายังคงยืนนิ่งเพ่งพินิจพิจารณาดวงหน้าของหญิงสาวที่นอนพิงพนักม้าโยกแข็ง
ดวงตาคู่งามปิดสนิท ขยับเป็นครั้งคราว จนคนมองต้องเผลอยิ้มด้วยความเอ็นดู เป็นรอยยิ้มที่คนหลับไม่ได้เห็น เพียงแต่ว่าสักครู่เสียงเรียบเบาก็แว่วเข้ามาในห้วงพะวัง
“หนูปีบ…” เสียงทอดลงคุ้นเคย แฝงความอ่อนหวาน
แล้วไหนจะพริ้วสัมผัสจากมืออุ่นๆ ที่แตะเบาๆ บนใบหน้า ความรู้สึกนั่นทำให้เกษรากระพริบตาสองสามที สะกิดตัวเองให้ตื่น
ภาพที่เห็นในตอนแรกลางเลือน แต่ดวงหน้าคมคายที่แสนคุ้นเคยก็ดูชัด อาจเป็นเพราะเขาโน้มตัวก้มหน้าลงมาจนเกือบชิด รอยยิ้มอ่อนโยน…อ่อนหวาน แววตาเป็นประกาย ทุกอย่างคล้ายความฝัน จนหญิงสาวต้องปิดตาลงแน่นสนิท ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้ง
เกษราสะดุ้งเฮือก มือทั้งสองข้างยกขึ้นผลักหน้าอกดันตัวเขาออกไป ก่อนที่เธอจะถลาลุกขึ้นยืนอย่างเร็วจนเก้าอี้โยกโคลงเครงรัวตามแรง
“อูยๆๆ” ภูเก็ตร้องเสียงสั่นราวเจ็บปวด หากไม่กล้าเปล่งออกมาจนสุดเสียงเพราะหญิงชราที่นอนอยู่บนเตียง
เท้าเขย่ง ตัวโยกเหยงๆ ทำให้อีกฝ่ายปรี่เข้ามาด้วยความตกใจ
“เป็นอะไร โดนเหรอ” เกษราเข้าประคองเขา ก้มหน้าลงพยายามมองที่เท้าจรดสุดกางเกงขายาวสีทึบที่เขาสวมอยู่ “ใครใช้ให้มายืนซะชิดล่ะ”
“เท้าผม…” เขาร้องพยายามสะกดเสียงไม่ให้ดัง แขนใหญ่โอบร่างเล็กที่เข้ามาพยุงเพื่อประคองตัว มืออีกข้างกุมแน่นที่มือเล็กที่กำลังจับรอบเอวของเขา “เท้า...โอย...”
ร่างสูงลากตัวตามอ้อมแขนของหญิงสาวที่ประคองเขามาหน้าโซฟายาวที่อยู่อีกด้าน
“ภูเก็ต ไหวไหม ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” ท่าทางและแววตาฉายความเป็นกังวลที่สุด
เพียงแต่ว่าใบหน้าคมคายด้วยไรเคราอ่อนๆ ที่ก้มลง บวกกับไอ้ดวงตายิ้มพราวของเขาที่ราวคล้ายจะฟ้องอะไรบางอย่างนี่ล่ะซิ
แล้วไหนอ้อมกอดจากแขนหนาด้วยกล้ามเนื้อที่โอบตัวเธอ
“หนูปีบ…”
เกษรารู้สึกถึงแรงบีบบนมืออีกข้างของเธอไว้ ให้พยายามดึงมือออก ให้ขยับตัวไปมา ดันเขาออกไป แต่ก็ไม่เป็นผล
“นี่!” เสียงตวาดของหญิงสาวดังเพียงกระซิบ “ภูเก็ต! ไอ้คนเจ้าเล่ห์ ชีกอ”
“ว่าผมแบบนี้ได้ยังไงกันหนูปีบ ผมไม่ได้ทำอะไรนะ”
“ปล่อยฉัน” ข้อศอกที่พยายามกระทุ้งให้เขาเจ็บดูวี่แววว่าจะไม่เป็นผลเสียเลย
“คุณเป็นฝ่ายกอดผมก่อนนะหนูปีบ”
“ก็ม้าโยกทับขาไม่ใช่เหรอ”
“คุณคิดเอง เออเอง ผมไม่ได้พูดเลย”
“ก็ไหนบอกว่าเท้า...”
“ก็เท้าน่ะซิ” ภูเก็ตขึ้นเสียงสูงเพียงนิดยืนยัน “เท้าของผม ผมพูดผิดตรงไหนล่ะ หรือว่าเป็นเท้าของหนูปีบเหรอ”
“อีตาภูเก็ต!”
ว่าแล้วเธอก็ทั้งผลักทั้งดัน และดิ้นเพื่อจะหลุดออกไปจาก…ตรงนี้ เพียงแต่ว่า ยิ่งดิ้น ยิ่งพยายามหนี แต่ก็เหมือนว่าอ้อมแขนของเขารัดแน่นขึ้น พร้อมๆ กับที่ร่างของทั้งคู่ถลาทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวยาว
อีตาภูเก็ต...ไว
และไวพอที่จะปล่อยแขนข้างหนึ่งออกเพื่อยกมันขึ้นกันไม่ให้ศีรษะของเธอกระแทกกับผนักพิงด้านหลังของโซฟา
แต่ร่างของเขาก็ยังเบียดชิดไม่ห่างไปไหน
ทุกท่วงท่าของเขา แล้วไหนจะแววตาและรอยยิ้มบางๆ อะไรบางอย่างฟ้องตัวมันเอง จนเธอเพียรระวังตัวและหัวใจ
เกษราหายใจไม่คล่อง แม้ว่าร่างทั้งร่างของเธอจะนิ่งสนิทไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนกาย เห็นหรอกว่าเขาก็นิ่งเช่นกัน สายตายังจับจ้องที่ใบหน้าของเธอ
ใจที่เต้นแรงของหญิงสาว ก็คงไม่ต่างจากของเขานัก
“หนูปีบ อย่าโกรธผมนะ” เสียงกระซิบข้างหู มือที่รองรับศีรษะของอีกฝ่ายรู้สึกถึงเส้นผมยาวนุ่มมือ “ถ้าไม่ทำแบบนี้ก็ไม่รู้เมื่อไหร่จะมีโอกาส”
“ฉวยโอกาส” หญิงสาวสรุป มือเล็กที่ปลอดพันธนาการหยิกเบาๆ ที่อุ้งมือใหญ่ของเขา
“คุณให้โอกาสคนอื่นได้ แต่กับผมถ้าไม่ด่า ก็ต้องไล่ตะเพิดผมออกจากคอนโดทุกครั้ง”
“ไม่ทุกครั้ง”
“แต่ก็หลายครั้งใช่ไหมจ๊ะ” อีกแล้วดวงตาวาววับจับจิต เสียงทอดอ่อนหวานจับใจยิ่งนัก “อีกไม่กี่อาทิตย์ผมก็จะย้ายออกแล้ว อย่าบอกนะว่าคุณจะไม่คิดถึงผมเลย แต่ผมคงคิดถึงหนูปีบแทบขาดใจเชียวล่ะ”
“นี่! จะบ้าเหรอ” หญิงสาวพยายามเบาเสียงที่สุด เกรงว่าผู้เป็นยายที่กำลังหลับจะตื่นตกใจ “ใครเขาจะไปคิดถึงอะไร แล้วไอ้คำเลี่ยนๆ นะ เก็บไว้ไปอ้อนสาวๆ ของคุณเถอะ ฉันจะอ้วก”
“ก็บอกแล้วไง ผมไม่มีสาวที่ไหนนะหนูปีบ เลิกไปหมดแล้ว”
“สาวสวยยันสาวแก่แม่บ้านเต็มบ้านเต็มเมือง อาเจ๊ อาซ้อ กว่าจะเลิกหมดก็คงผมหงอกก่อนพอดี”
“เข้าใจอะไรผิดๆ อีกแล้ว ผมมีแต่สาวๆ ไม่เคยมีสาวแก่นะจ๊ะ”
“อย่างน้อยก็ป้าที่เอาถุงบรรณาการมาส่งให้คุณประจำ แล้วยังออกค่าเช่าห้องให้คุณมาตั้งสองเดือน พาคุณไปส่งโรงพยาบาลตอนที่คุณใกล้ตาย”
เกษราเท้าความจ้อยๆ รู้สึกว่า อ้อมแขนของเขาค่อยๆ ผ่อน คลายออกหลวมๆ เธอเห็นว่าเขานั่งตัวเกือบตรง สีหน้าดูเคร่งถนัดตา ยังดีที่เขาหันไปอีกทาง เลยไม่เห็นรอยกังวลบนใบหน้าของเธอ
“นั่นแม่ของผม” คำตอบอ่อนเบา สีหน้าเคร่งขรึมไม่ต่างจากน้ำเสียง “เราไม่สนิทกันนัก แม่จะทำกับข้าวมาให้ผมทุกๆ ครั้งเวลาที่เข้ากรุงเทพฯ แต่ผมไม่เคยกินอาหารพวกนั้นเลย ผมทิ้งมันไปทุกครั้ง ผมจำไม่ได้เลยว่ากินกับข้าวของแม่ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่”
และนั่นทำให้เกษรานิ่งไป สายตายังคงจับจ้องไปที่เขาที่ดูจริงจัง…เครียด
เพียงแต่ว่าบางอย่างทำให้เสียงของเธออ่อนโยนเมื่อเอ่ย “คุณแม่ของคุณเป็นห่วงคุณมากนะ”
หญิงสาวจำได้สนิทตา ว่าคุณป้าคนนั้นห่วงมาก...จนเธอคิดผิดไปเป็นอื่นเสียนี่ ในเวลานี้เธอทำได้เพียงแค่บอก
“คุณโชคดีที่อย่างน้อยมีแม่...ต่อให้ไม่สนิท แต่ก็มี”
คำบอกนั่นทำให้เขาหันมา แล้วค่อยๆ เอนหลังกอดอกพิงพนักโซฟา น้ำเสียงราบเรียบเกือบมีแววเศร้า
“แม่หย่ากับพ่อตอนที่ผมอายุเก้าขวบ หลังจากหย่าไม่กี่เดือน แม่ก็แต่งงานใหม่ หลังจากที่แม่ไปแล้ว พ่อก็เอาผมเข้าโรงเรียนประจำที่กรุงเทพฯ ผมไม่ได้เจอแม่อีกเลยจนกระทั่งตอนพ่อเสียอีกสามปีต่อมา ผมไม่เคยคิดและไม่เคยต้องการไปอยู่กับแม่ เลยขอให้แม่เซ็นมอบให้ผมอยู่ใต้การปกครองของคุณท่าน แต่แม่ไม่ยอม แม่…ไม่แม้แต่อยากที่จะให้ผมอยู่กับคุณท่าน และผมเองก็ไม่อยากอยู่ แต่ตอนนั้นผมบังคับให้แม่ยอม เพราะผมไม่อยากอยู่กับแม่มากกว่า”
การเล่าของเขาแฝงด้วยอารมณ์บางอย่างที่ปกปิดไว้ไม่มิด
“แต่ตอนนี้คุณควรอยู่นะ” เกษราขยับตัว เพียงเพื่อมองหน้าเขาให้ชัด “มัวแต่ทำตัวไม่มีใคร โดดเดี่ยวผู้น่ารักแต่เป็นหลานที่คุณหญิงผกามาศไม่รัก แม่ของคุณดูท่าจะรักและเป็นห่วงคุณมาก”
“จะรู้อะไร” เสียงเขาสะบัดคล้ายเด็กดื้อ
“รู้ซิ” ว่าหญิงสาวก็แตะที่แขนของเขา “ปล่อยฉันก่อน แล้วจะให้คุณดูอะไร”
“อะไร” คำถามบังเกิด แต่คนถามยังระแวงไม่ยอมละอ้อมแขน
เป็นห่วงนักว่า ถ้าปล่อยตอนนี้ แล้วจะคว้าคืนกลับมาในอ้อมแขนได้อีกเมื่อไรกัน
“ยายหลับอยู่ จะคุยกันตรงนี้เหรอ”
และเมื่อหญิงสาวอ้างเช่นนั้น อีกฝ่ายจึงผ่อนแขนออก เปลี่ยนเป็นการกุมมือ จูงร่างอรชรออกมาด้านนอก
การจูงนำค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเดินเคียงคู่ จนทั้งสองคนมาหยุดภายในห้องนั่งเล่น ที่คนในบ้านใช้เป็นบริเวณพักผ่อนของครอบครัว
เมื่อนั้น ภูเก็ตจึงหันมา ทว่ายังคงกุมมือของอีกฝ่ายแน่น รอยยิ้มละไม ท่วงท่าละมุน ที่ปรากฏแม้ในน้ำเสียงเมื่อเล่า
“ในชีวิตนี้ ผู้หญิงที่ผมรักที่สุดคือระริน รักมานาน และเคยคิดว่าจะรักตลอดไป”
“เรื่องของคุณ” เกษราพึมพำไม่สบตาเขา
“ระรินเป็นเพื่อนของผม” เขาลังเลนิดนึงดุจจะหาถ้อยคำที่เหมาะสม “เป็นเพื่อนชีวิตของผม เรารู้จักกันและคบกันมาตั้งแต่สมัยไฮสกูล เป็นผู้หญิงที่ผมรักที่สุด เป็นคนเดียวในชีวิตที่ผมคิดจะแต่งงานด้วย แล้วอยู่ๆ วันหนึ่งระรินก็จากผมไป…ทิ้งไว้เพียงจดหมายฉบับเดียว ทิ้งคำถามไว้มากมาย จนผมต้องถามตัวเองตลอดมาว่า…เราทำอะไรผิด เราแย่ขนาดนั้นเชียวเหรอ”
“นี่คุณไม่รู้ตัวเองเลยเหรอว่า…แย่แค่ไหน” หญิงสาวจงใจซ้ำเติม ไม่สนที่จะปลอบ
“ผมคงจะแย่จริงๆ นะหนูปีบ แต่ให้แย่แค่ไหน ผมก็ยินดีที่จะปรับปรุงตัวเองเพื่อคนที่ผมรัก เพียงแต่ว่าผมไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหน ระรินไม่เคยบอก”
“เอาไว้มีเวลาฉันจะเขียนออกมาให้ดีไหม”
“หนูปีบ” เสียงเรียก และแม้กระทั่งแววตา…สับสนไม่แน่ใจ
“แต่ชาตินี้ทั้งชาติฉันคงไม่ว่างทำอะไรไร้สาระอย่างนั้นหรอก” เมื่อรู้สึกตัว เกษราจึงอ้างไปเช่นนั้น มองสบตาอย่างแน่วแน่ ไม่สนใจสายตาผิดหวังของเขาเสียด้วยซ้ำ
“ว่าแต่ คุณรู้เรื่องระรินได้อย่างไร หรือว่าเจ้าสัว…”
คำถามของเขาไม่ทำให้เธอตกใจเท่ากับ…
“แล้วคุณรู้เรื่องฉันกับเจ้าสัวได้ยังไง!” หญิงสาวหันจ้องหน้าเขา…คาดคั้น มือเล็กที่ถูกกุม ตวัดแข็งเป็นกำปั้นระวังตัว
เรื่องระหว่างเธอกับเจ้าสัวเกรียงไกร มีไม่กี่คนที่รู้
แล้วนี่…
“ผมเคยเห็นคุณที่สนามบิน คุณลงมาจากเครื่องบินส่วนตัวของเจ้าสัว” ภูเก็ตนิ่งไป ก่อนจะเอ่ยเบาๆ “เราสองคนไม่ได้ต่างกันนะหนูปีบ”
“อีตาภูเก็ต!” เกษราขึ้นเสียง “กล้าดียังไงเอาฉันไปเปรียบ…”
“คุณมีหน้ากาก ผมก็ใส่หน้ากาก สิ่งที่คนอื่นเห็นว่าเราเป็นอยู่ มันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเรานัก ใช่ไหม…หนูปีบ” เขาทอดเสียงอ่อนได้สนิทนัก “เกด-เกษรา กับหนูปีบ…ต่างกัน เรามีสิ่งที่เป็นตัวเรา แล้วเราก็มีหน้าที่”
“นี่คุณหาว่าฉัน…”
ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นนักเพียงแต่ว่า อารมณ์ความแค้นผ่อนคลาย เมื่อเสียงทุ้มบอก
“ผมมั่นใจเลยว่าคุณกับเจ้าสัวไม่มีอะไรเกินเลย”
“สู่รู้…” กระนั้น หญิงสาวก็ยังทำเสียงฟึดฟัด
“ผมต้องรู้ซิ เพราะว่าคุณคล้ายระรินเกินไป”
“เกี่ยวอะไรด้วย” เสียงของเธอกร้าวอย่างไม่รู้ตัว ไม่ชอบที่จะถูกเปรียบเทียบ โดยเฉพาะกับผู้หญิงที่เธอไม่รู้จักคนนั้น
“ระรินเป็นลูกของเจ้าสัวเกรียงไกร” ภูเก็ตบอก “อีกอย่างเจ้าสัวก็เคยเป็นผู้ปกครองของผมตอนที่ผมเรียนอยู่เมืองนอก”
“โลกกลม”
“ไม่กลมนักหรอก หนูปีบ คุณยังไม่ตอบผมเลยนะว่า รู้เรื่องระรินได้ยังไง”
“เป็นความลับนักเหรอ”
“มั้ง” เขาถอนหายใจยาว คลายมือจากมือเล็ก เดินหลีกมาอีกทาง “ผมเคยรักระรินมากนะ จนไม่คิดว่าจะรักใครได้อีก”
“เรื่องของคุณ” หญิงสาวยักไหล่ หันไปยังชั้นวางของที่มีรูปภาพหลากหลายเรียงรายอยู่
‘นั่นหนูปีบเหรอ’ เสียงของเขาเคยหัวเราะเยาะเมื่อครั้งแรกที่ได้มาเยือน จนในตอนนั้นหญิงสาวรู้สึกผิดที่บังคับให้เขามา
แล้วยัง ‘ปืนไปได้ไง ดีนะไม่ตกลงมาขาหัก’
และอีกหลายอย่างที่เขาช่างวิจารณ์และสังเกต ต่อให้เคือง แต่เกษราก็ไม่เคยโกรธเคือง ซ้ำหลายคราวยังนึกขำไปกับเขาด้วย
เพียงแต่ว่าในเวลานี้ หญิงสาวหันหลังให้ร่างของเขา มองรูปภาพทุกอย่าง รอเวลาเพียงว่า เมื่อไหร่อีตาภูเก็ตจะไปเสียที
แต่ให้เวลาผ่านล่วงเลยมาเท่าไร…อีตาภูเก็ตก็ยังอยู่
อยู่…ให้เธอรับรู้ถึงอ้อมแขนสั่นสะท้านของเขา ที่รวบรัดร่างของเธอจากด้านหลัง
แล้วยังดวงหน้าที่ก้มลงมาจนแก้มแนบชิดแก้ม ช่างไม่ต่างจากหลายเดือนก่อน…คืนนั้น ที่เขาเมา…เหล้า เมาอารมณ์
‘อย่าทิ้งผมไปนะหนูปีบ อยู่เป็นเพื่อนกันก่อน’
เสียงอ้อนวอน และอ้อมแขนของเขาเคยรัดอย่างไม่ตั้งใจ รั้งให้เธออยู่…ทิ้งกายลงนอนข้างๆ
นอนเฉยๆ มองเขาจนกระทั่งเธอเองที่เผลอหลับไป
เพียงแต่ว่าในเวลานี้ อ้อมแขนนี้รัดแน่นเพราะความตั้งใจ…จงใจของเขา
แล้วยังเสียงเว้าวอนอ่อนละมุนลึกซึ้ง
“แต่ผมคิดจะรักคุณนะหนูปีบ”
(ต่อ)
อาทิตย์อับแสง (บทที่ 25) โดย มานัส
อากาศตอนสายๆ ช่วงที่แสงแดดเริ่มแผ่ประกายเจิดจ้า ช่างแสนสบายนัก การได้อยู่บ้านทำให้ใจของเธอสบาย คลายความล้าทั้งหมดทั้งปวง จนในที่สุดเกษราเผลอเอนหลังพิงพนักเก้าอี้โยกภายในห้องนอนขว้างด้านล่าง แล้วหลับไปจนได้
และเมื่อความเงียบเข้ามาแทนที่เสียงเจื้อยแจ้วที่เคยแว่วจากข้างในห้อง คนที่นั่งเหยียดขาตรงด้านนอกข้างประตูห้องจึงลุกขึ้นช้าๆ ภูเก็ตยืนนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ พยายามฟังเสียงที่อาจเล็ดลอดมาจากด้านใน
แต่…เงียบ!
ชายหนุ่มช่างใจ ลังเล แล้วในที่สุดจึงตัดสินใจค่อยๆ แตะลูกบิดผลักบานประตูห้องเข้าไปข้างใน
การวางเท้า…เบา เกรงจะปลุกสองยายหลานที่ต่างอยู่ในนิทรารมย์อันแสนสบาย
เวลาผ่านไปนานแค่ไหนก็สุดแต่คนที่หลับใหลจะรู้ได้ แต่คนที่เข้ามายังคงยืนนิ่งเพ่งพินิจพิจารณาดวงหน้าของหญิงสาวที่นอนพิงพนักม้าโยกแข็ง
ดวงตาคู่งามปิดสนิท ขยับเป็นครั้งคราว จนคนมองต้องเผลอยิ้มด้วยความเอ็นดู เป็นรอยยิ้มที่คนหลับไม่ได้เห็น เพียงแต่ว่าสักครู่เสียงเรียบเบาก็แว่วเข้ามาในห้วงพะวัง
“หนูปีบ…” เสียงทอดลงคุ้นเคย แฝงความอ่อนหวาน
แล้วไหนจะพริ้วสัมผัสจากมืออุ่นๆ ที่แตะเบาๆ บนใบหน้า ความรู้สึกนั่นทำให้เกษรากระพริบตาสองสามที สะกิดตัวเองให้ตื่น
ภาพที่เห็นในตอนแรกลางเลือน แต่ดวงหน้าคมคายที่แสนคุ้นเคยก็ดูชัด อาจเป็นเพราะเขาโน้มตัวก้มหน้าลงมาจนเกือบชิด รอยยิ้มอ่อนโยน…อ่อนหวาน แววตาเป็นประกาย ทุกอย่างคล้ายความฝัน จนหญิงสาวต้องปิดตาลงแน่นสนิท ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้ง
เกษราสะดุ้งเฮือก มือทั้งสองข้างยกขึ้นผลักหน้าอกดันตัวเขาออกไป ก่อนที่เธอจะถลาลุกขึ้นยืนอย่างเร็วจนเก้าอี้โยกโคลงเครงรัวตามแรง
“อูยๆๆ” ภูเก็ตร้องเสียงสั่นราวเจ็บปวด หากไม่กล้าเปล่งออกมาจนสุดเสียงเพราะหญิงชราที่นอนอยู่บนเตียง
เท้าเขย่ง ตัวโยกเหยงๆ ทำให้อีกฝ่ายปรี่เข้ามาด้วยความตกใจ
“เป็นอะไร โดนเหรอ” เกษราเข้าประคองเขา ก้มหน้าลงพยายามมองที่เท้าจรดสุดกางเกงขายาวสีทึบที่เขาสวมอยู่ “ใครใช้ให้มายืนซะชิดล่ะ”
“เท้าผม…” เขาร้องพยายามสะกดเสียงไม่ให้ดัง แขนใหญ่โอบร่างเล็กที่เข้ามาพยุงเพื่อประคองตัว มืออีกข้างกุมแน่นที่มือเล็กที่กำลังจับรอบเอวของเขา “เท้า...โอย...”
ร่างสูงลากตัวตามอ้อมแขนของหญิงสาวที่ประคองเขามาหน้าโซฟายาวที่อยู่อีกด้าน
“ภูเก็ต ไหวไหม ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” ท่าทางและแววตาฉายความเป็นกังวลที่สุด
เพียงแต่ว่าใบหน้าคมคายด้วยไรเคราอ่อนๆ ที่ก้มลง บวกกับไอ้ดวงตายิ้มพราวของเขาที่ราวคล้ายจะฟ้องอะไรบางอย่างนี่ล่ะซิ
แล้วไหนอ้อมกอดจากแขนหนาด้วยกล้ามเนื้อที่โอบตัวเธอ
“หนูปีบ…”
เกษรารู้สึกถึงแรงบีบบนมืออีกข้างของเธอไว้ ให้พยายามดึงมือออก ให้ขยับตัวไปมา ดันเขาออกไป แต่ก็ไม่เป็นผล
“นี่!” เสียงตวาดของหญิงสาวดังเพียงกระซิบ “ภูเก็ต! ไอ้คนเจ้าเล่ห์ ชีกอ”
“ว่าผมแบบนี้ได้ยังไงกันหนูปีบ ผมไม่ได้ทำอะไรนะ”
“ปล่อยฉัน” ข้อศอกที่พยายามกระทุ้งให้เขาเจ็บดูวี่แววว่าจะไม่เป็นผลเสียเลย
“คุณเป็นฝ่ายกอดผมก่อนนะหนูปีบ”
“ก็ม้าโยกทับขาไม่ใช่เหรอ”
“คุณคิดเอง เออเอง ผมไม่ได้พูดเลย”
“ก็ไหนบอกว่าเท้า...”
“ก็เท้าน่ะซิ” ภูเก็ตขึ้นเสียงสูงเพียงนิดยืนยัน “เท้าของผม ผมพูดผิดตรงไหนล่ะ หรือว่าเป็นเท้าของหนูปีบเหรอ”
“อีตาภูเก็ต!”
ว่าแล้วเธอก็ทั้งผลักทั้งดัน และดิ้นเพื่อจะหลุดออกไปจาก…ตรงนี้ เพียงแต่ว่า ยิ่งดิ้น ยิ่งพยายามหนี แต่ก็เหมือนว่าอ้อมแขนของเขารัดแน่นขึ้น พร้อมๆ กับที่ร่างของทั้งคู่ถลาทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวยาว
อีตาภูเก็ต...ไว
และไวพอที่จะปล่อยแขนข้างหนึ่งออกเพื่อยกมันขึ้นกันไม่ให้ศีรษะของเธอกระแทกกับผนักพิงด้านหลังของโซฟา
แต่ร่างของเขาก็ยังเบียดชิดไม่ห่างไปไหน
ทุกท่วงท่าของเขา แล้วไหนจะแววตาและรอยยิ้มบางๆ อะไรบางอย่างฟ้องตัวมันเอง จนเธอเพียรระวังตัวและหัวใจ
เกษราหายใจไม่คล่อง แม้ว่าร่างทั้งร่างของเธอจะนิ่งสนิทไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนกาย เห็นหรอกว่าเขาก็นิ่งเช่นกัน สายตายังจับจ้องที่ใบหน้าของเธอ
ใจที่เต้นแรงของหญิงสาว ก็คงไม่ต่างจากของเขานัก
“หนูปีบ อย่าโกรธผมนะ” เสียงกระซิบข้างหู มือที่รองรับศีรษะของอีกฝ่ายรู้สึกถึงเส้นผมยาวนุ่มมือ “ถ้าไม่ทำแบบนี้ก็ไม่รู้เมื่อไหร่จะมีโอกาส”
“ฉวยโอกาส” หญิงสาวสรุป มือเล็กที่ปลอดพันธนาการหยิกเบาๆ ที่อุ้งมือใหญ่ของเขา
“คุณให้โอกาสคนอื่นได้ แต่กับผมถ้าไม่ด่า ก็ต้องไล่ตะเพิดผมออกจากคอนโดทุกครั้ง”
“ไม่ทุกครั้ง”
“แต่ก็หลายครั้งใช่ไหมจ๊ะ” อีกแล้วดวงตาวาววับจับจิต เสียงทอดอ่อนหวานจับใจยิ่งนัก “อีกไม่กี่อาทิตย์ผมก็จะย้ายออกแล้ว อย่าบอกนะว่าคุณจะไม่คิดถึงผมเลย แต่ผมคงคิดถึงหนูปีบแทบขาดใจเชียวล่ะ”
“นี่! จะบ้าเหรอ” หญิงสาวพยายามเบาเสียงที่สุด เกรงว่าผู้เป็นยายที่กำลังหลับจะตื่นตกใจ “ใครเขาจะไปคิดถึงอะไร แล้วไอ้คำเลี่ยนๆ นะ เก็บไว้ไปอ้อนสาวๆ ของคุณเถอะ ฉันจะอ้วก”
“ก็บอกแล้วไง ผมไม่มีสาวที่ไหนนะหนูปีบ เลิกไปหมดแล้ว”
“สาวสวยยันสาวแก่แม่บ้านเต็มบ้านเต็มเมือง อาเจ๊ อาซ้อ กว่าจะเลิกหมดก็คงผมหงอกก่อนพอดี”
“เข้าใจอะไรผิดๆ อีกแล้ว ผมมีแต่สาวๆ ไม่เคยมีสาวแก่นะจ๊ะ”
“อย่างน้อยก็ป้าที่เอาถุงบรรณาการมาส่งให้คุณประจำ แล้วยังออกค่าเช่าห้องให้คุณมาตั้งสองเดือน พาคุณไปส่งโรงพยาบาลตอนที่คุณใกล้ตาย”
เกษราเท้าความจ้อยๆ รู้สึกว่า อ้อมแขนของเขาค่อยๆ ผ่อน คลายออกหลวมๆ เธอเห็นว่าเขานั่งตัวเกือบตรง สีหน้าดูเคร่งถนัดตา ยังดีที่เขาหันไปอีกทาง เลยไม่เห็นรอยกังวลบนใบหน้าของเธอ
“นั่นแม่ของผม” คำตอบอ่อนเบา สีหน้าเคร่งขรึมไม่ต่างจากน้ำเสียง “เราไม่สนิทกันนัก แม่จะทำกับข้าวมาให้ผมทุกๆ ครั้งเวลาที่เข้ากรุงเทพฯ แต่ผมไม่เคยกินอาหารพวกนั้นเลย ผมทิ้งมันไปทุกครั้ง ผมจำไม่ได้เลยว่ากินกับข้าวของแม่ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่”
และนั่นทำให้เกษรานิ่งไป สายตายังคงจับจ้องไปที่เขาที่ดูจริงจัง…เครียด
เพียงแต่ว่าบางอย่างทำให้เสียงของเธออ่อนโยนเมื่อเอ่ย “คุณแม่ของคุณเป็นห่วงคุณมากนะ”
หญิงสาวจำได้สนิทตา ว่าคุณป้าคนนั้นห่วงมาก...จนเธอคิดผิดไปเป็นอื่นเสียนี่ ในเวลานี้เธอทำได้เพียงแค่บอก
“คุณโชคดีที่อย่างน้อยมีแม่...ต่อให้ไม่สนิท แต่ก็มี”
คำบอกนั่นทำให้เขาหันมา แล้วค่อยๆ เอนหลังกอดอกพิงพนักโซฟา น้ำเสียงราบเรียบเกือบมีแววเศร้า
“แม่หย่ากับพ่อตอนที่ผมอายุเก้าขวบ หลังจากหย่าไม่กี่เดือน แม่ก็แต่งงานใหม่ หลังจากที่แม่ไปแล้ว พ่อก็เอาผมเข้าโรงเรียนประจำที่กรุงเทพฯ ผมไม่ได้เจอแม่อีกเลยจนกระทั่งตอนพ่อเสียอีกสามปีต่อมา ผมไม่เคยคิดและไม่เคยต้องการไปอยู่กับแม่ เลยขอให้แม่เซ็นมอบให้ผมอยู่ใต้การปกครองของคุณท่าน แต่แม่ไม่ยอม แม่…ไม่แม้แต่อยากที่จะให้ผมอยู่กับคุณท่าน และผมเองก็ไม่อยากอยู่ แต่ตอนนั้นผมบังคับให้แม่ยอม เพราะผมไม่อยากอยู่กับแม่มากกว่า”
การเล่าของเขาแฝงด้วยอารมณ์บางอย่างที่ปกปิดไว้ไม่มิด
“แต่ตอนนี้คุณควรอยู่นะ” เกษราขยับตัว เพียงเพื่อมองหน้าเขาให้ชัด “มัวแต่ทำตัวไม่มีใคร โดดเดี่ยวผู้น่ารักแต่เป็นหลานที่คุณหญิงผกามาศไม่รัก แม่ของคุณดูท่าจะรักและเป็นห่วงคุณมาก”
“จะรู้อะไร” เสียงเขาสะบัดคล้ายเด็กดื้อ
“รู้ซิ” ว่าหญิงสาวก็แตะที่แขนของเขา “ปล่อยฉันก่อน แล้วจะให้คุณดูอะไร”
“อะไร” คำถามบังเกิด แต่คนถามยังระแวงไม่ยอมละอ้อมแขน
เป็นห่วงนักว่า ถ้าปล่อยตอนนี้ แล้วจะคว้าคืนกลับมาในอ้อมแขนได้อีกเมื่อไรกัน
“ยายหลับอยู่ จะคุยกันตรงนี้เหรอ”
และเมื่อหญิงสาวอ้างเช่นนั้น อีกฝ่ายจึงผ่อนแขนออก เปลี่ยนเป็นการกุมมือ จูงร่างอรชรออกมาด้านนอก
การจูงนำค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเดินเคียงคู่ จนทั้งสองคนมาหยุดภายในห้องนั่งเล่น ที่คนในบ้านใช้เป็นบริเวณพักผ่อนของครอบครัว
เมื่อนั้น ภูเก็ตจึงหันมา ทว่ายังคงกุมมือของอีกฝ่ายแน่น รอยยิ้มละไม ท่วงท่าละมุน ที่ปรากฏแม้ในน้ำเสียงเมื่อเล่า
“ในชีวิตนี้ ผู้หญิงที่ผมรักที่สุดคือระริน รักมานาน และเคยคิดว่าจะรักตลอดไป”
“เรื่องของคุณ” เกษราพึมพำไม่สบตาเขา
“ระรินเป็นเพื่อนของผม” เขาลังเลนิดนึงดุจจะหาถ้อยคำที่เหมาะสม “เป็นเพื่อนชีวิตของผม เรารู้จักกันและคบกันมาตั้งแต่สมัยไฮสกูล เป็นผู้หญิงที่ผมรักที่สุด เป็นคนเดียวในชีวิตที่ผมคิดจะแต่งงานด้วย แล้วอยู่ๆ วันหนึ่งระรินก็จากผมไป…ทิ้งไว้เพียงจดหมายฉบับเดียว ทิ้งคำถามไว้มากมาย จนผมต้องถามตัวเองตลอดมาว่า…เราทำอะไรผิด เราแย่ขนาดนั้นเชียวเหรอ”
“นี่คุณไม่รู้ตัวเองเลยเหรอว่า…แย่แค่ไหน” หญิงสาวจงใจซ้ำเติม ไม่สนที่จะปลอบ
“ผมคงจะแย่จริงๆ นะหนูปีบ แต่ให้แย่แค่ไหน ผมก็ยินดีที่จะปรับปรุงตัวเองเพื่อคนที่ผมรัก เพียงแต่ว่าผมไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหน ระรินไม่เคยบอก”
“เอาไว้มีเวลาฉันจะเขียนออกมาให้ดีไหม”
“หนูปีบ” เสียงเรียก และแม้กระทั่งแววตา…สับสนไม่แน่ใจ
“แต่ชาตินี้ทั้งชาติฉันคงไม่ว่างทำอะไรไร้สาระอย่างนั้นหรอก” เมื่อรู้สึกตัว เกษราจึงอ้างไปเช่นนั้น มองสบตาอย่างแน่วแน่ ไม่สนใจสายตาผิดหวังของเขาเสียด้วยซ้ำ
“ว่าแต่ คุณรู้เรื่องระรินได้อย่างไร หรือว่าเจ้าสัว…”
คำถามของเขาไม่ทำให้เธอตกใจเท่ากับ…
“แล้วคุณรู้เรื่องฉันกับเจ้าสัวได้ยังไง!” หญิงสาวหันจ้องหน้าเขา…คาดคั้น มือเล็กที่ถูกกุม ตวัดแข็งเป็นกำปั้นระวังตัว
เรื่องระหว่างเธอกับเจ้าสัวเกรียงไกร มีไม่กี่คนที่รู้
แล้วนี่…
“ผมเคยเห็นคุณที่สนามบิน คุณลงมาจากเครื่องบินส่วนตัวของเจ้าสัว” ภูเก็ตนิ่งไป ก่อนจะเอ่ยเบาๆ “เราสองคนไม่ได้ต่างกันนะหนูปีบ”
“อีตาภูเก็ต!” เกษราขึ้นเสียง “กล้าดียังไงเอาฉันไปเปรียบ…”
“คุณมีหน้ากาก ผมก็ใส่หน้ากาก สิ่งที่คนอื่นเห็นว่าเราเป็นอยู่ มันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเรานัก ใช่ไหม…หนูปีบ” เขาทอดเสียงอ่อนได้สนิทนัก “เกด-เกษรา กับหนูปีบ…ต่างกัน เรามีสิ่งที่เป็นตัวเรา แล้วเราก็มีหน้าที่”
“นี่คุณหาว่าฉัน…”
ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นนักเพียงแต่ว่า อารมณ์ความแค้นผ่อนคลาย เมื่อเสียงทุ้มบอก
“ผมมั่นใจเลยว่าคุณกับเจ้าสัวไม่มีอะไรเกินเลย”
“สู่รู้…” กระนั้น หญิงสาวก็ยังทำเสียงฟึดฟัด
“ผมต้องรู้ซิ เพราะว่าคุณคล้ายระรินเกินไป”
“เกี่ยวอะไรด้วย” เสียงของเธอกร้าวอย่างไม่รู้ตัว ไม่ชอบที่จะถูกเปรียบเทียบ โดยเฉพาะกับผู้หญิงที่เธอไม่รู้จักคนนั้น
“ระรินเป็นลูกของเจ้าสัวเกรียงไกร” ภูเก็ตบอก “อีกอย่างเจ้าสัวก็เคยเป็นผู้ปกครองของผมตอนที่ผมเรียนอยู่เมืองนอก”
“โลกกลม”
“ไม่กลมนักหรอก หนูปีบ คุณยังไม่ตอบผมเลยนะว่า รู้เรื่องระรินได้ยังไง”
“เป็นความลับนักเหรอ”
“มั้ง” เขาถอนหายใจยาว คลายมือจากมือเล็ก เดินหลีกมาอีกทาง “ผมเคยรักระรินมากนะ จนไม่คิดว่าจะรักใครได้อีก”
“เรื่องของคุณ” หญิงสาวยักไหล่ หันไปยังชั้นวางของที่มีรูปภาพหลากหลายเรียงรายอยู่
‘นั่นหนูปีบเหรอ’ เสียงของเขาเคยหัวเราะเยาะเมื่อครั้งแรกที่ได้มาเยือน จนในตอนนั้นหญิงสาวรู้สึกผิดที่บังคับให้เขามา
แล้วยัง ‘ปืนไปได้ไง ดีนะไม่ตกลงมาขาหัก’
และอีกหลายอย่างที่เขาช่างวิจารณ์และสังเกต ต่อให้เคือง แต่เกษราก็ไม่เคยโกรธเคือง ซ้ำหลายคราวยังนึกขำไปกับเขาด้วย
เพียงแต่ว่าในเวลานี้ หญิงสาวหันหลังให้ร่างของเขา มองรูปภาพทุกอย่าง รอเวลาเพียงว่า เมื่อไหร่อีตาภูเก็ตจะไปเสียที
แต่ให้เวลาผ่านล่วงเลยมาเท่าไร…อีตาภูเก็ตก็ยังอยู่
อยู่…ให้เธอรับรู้ถึงอ้อมแขนสั่นสะท้านของเขา ที่รวบรัดร่างของเธอจากด้านหลัง
แล้วยังดวงหน้าที่ก้มลงมาจนแก้มแนบชิดแก้ม ช่างไม่ต่างจากหลายเดือนก่อน…คืนนั้น ที่เขาเมา…เหล้า เมาอารมณ์
‘อย่าทิ้งผมไปนะหนูปีบ อยู่เป็นเพื่อนกันก่อน’
เสียงอ้อนวอน และอ้อมแขนของเขาเคยรัดอย่างไม่ตั้งใจ รั้งให้เธออยู่…ทิ้งกายลงนอนข้างๆ
นอนเฉยๆ มองเขาจนกระทั่งเธอเองที่เผลอหลับไป
เพียงแต่ว่าในเวลานี้ อ้อมแขนนี้รัดแน่นเพราะความตั้งใจ…จงใจของเขา
แล้วยังเสียงเว้าวอนอ่อนละมุนลึกซึ้ง
“แต่ผมคิดจะรักคุณนะหนูปีบ”
(ต่อ)