อาทิตย์อับแสง (บทที่ 41) โดย มานัส

กระทู้สนทนา
อาทิตย์อับแสง (บทที่ 41)




เกรียงไกรไม่สนใจ…เพื่อน และเหมือนว่าเขาจะไม่เห็นเกษราเสียด้วยซ้ำ คนที่เขามองคือผู้หญิงวัยเลยกลางคนที่เขาจำได้ว่าเคยเห็นครั้งหนึ่งเมื่อสามสิบกว่าปีมาแล้ว

ตอนนั้นเห็นเพียงผ่านไม่สนใจ ไม่เคยอยากจะรู้ด้วยซ้ำว่าใคร แต่ตอนนี้ เขามีคำถามมากมายที่รอคำตอบ เป็นคำถามที่เขาเฝ้าเพียรถามตัวเอง ทั้งๆ ที่ไม่ว่าจะหลายปีก่อน หรือว่าเดี๋ยวนี้ เขาไม่เคยได้รับคำตอบเลยสักครั้ง

“เจ้าสัวมาทำอะไรที่นี่” ในเวลานี้กลับเป็นนางเอกสาวที่เป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นก่อน แววตาและสีหน้ามีแววฉงนสงสัย โดยเฉพาะเมื่อสังเกตว่า “เจ้าสัวถามถึงแม่ดิฉันทำไม”

ยังไม่ทันสิ้นเสียง เกษราก็รู้สึกถึงการกระตุกเบาๆ ที่แขน เธอหันมองคุณมัลลิกาที่ก้าวไปข้างหน้าเพียงก้าวเดียว ประจัญหน้ากับเจ้าสัวเกรียงไกร

“หนูปีบเข้าไปในบ้านเดี๋ยวนี้” เสียงสั่งลงหนัก เหมือนเช่นทุกครั้งที่คุณมัลลิกาเอาจริง เอาเรื่อง พร้อมกับดันตัวของหลานสาวในชุดไว้ทุกข์สีดำให้ถอยไปสองสามก้าว

“แม่…” เกรียงไกรทวนในสิ่งที่ได้ยิน ลำคอตืบตัน “ปัทเป็นแม่ของเกษราเหรอ แล้วปัทอยู่ไหน”

เขากวาดสายตามองไปรอบๆ หันซ้ายขวาด้วยความหวังว่าจะพบดวงหน้าที่คุ้นเคย

ทว่า…ไม่มี

“ไม่ต้องถาม เพราะคุณไม่มีสิทธิ์มาถาม ไม่มีสิทธิ์มาเหยียบที่นี่ ไป!” คุณมัลลิกาโบกมือราวไล่สัตว์ร้ายที่หลงเข้ามาในบ้านก็ ไม่สนใจการห้ามเบาๆ ของหลานสาว

“แต่ผมมีสิทธิ์พบปัท มีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าปัทอยู่ไหน”


เขาทรมานมาสามสิบกว่าปี เจ็บปวดแสนสาหัสโดยไม่สามารถปริปากบอกใครคนอื่นได้ แม้แต่กับเพื่อนเช่นเกษรา

เกรียงไกรเข้าใจความเจ็บปวดนี้ดี

เจ็บจนชิน จนปกปิดได้เพราะควาเจ็บปวดในหัวใจกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปโดยปริยาย ดังนั้นเขาถึงเข้าใจและเข้าข้างภูเก็ต แต่ภูเก็ตโชคดีกว่าเขานัก เพราะแค่เพียงไม่กี่ปี ในที่สุดระรินก็กลับมา

แต่เขาซิ…ผ่านมาเกินครึ่งขีวิต ไม่มีหวังเลยว่าปัทมาจะกลับมา

และดูจากเรื่องราว และเหตุการณ์ในตอนนี้ ปัทมาอาจะไม่มีวันกลับมาหาเขาอีกเลยตลอดกาล

“สิทธิ์…” คุณมัลลิกาทำเสียงในลำคอ “คิดดูดีๆ นะท่านเจ้าสัว สิทธิ์ของคุณอยู่ที่ครอบครัวของคุณ เงินทองของคุณ แต่ไม่ใช่ที่น้องสาวของฉัน ไม่ใช่ครอบครัวของฉัน”

“นี่มันอะไรกันคะ ป้าลิ เจ้าสัว” เกษราพยายามสังเกต ฟังเหตุการณ์ตรงหน้า ทำความเข้าใจกับทุกอย่าง คิ้วสวยราวคันศรขมวดตึง “เจ้าสัวรู้จักแม่ของดิฉันเหรอ”

“เกษรา…” การเรียกพร้อมกับมือที่เอื้อมขึ้นหา เพียงแต่ว่าปฎิกิริยารุนแรงรวดเร็วของคุณมัลลิกาทำให้เกรียงไกรต้องชักมือกลับ “มิน่า…ฉันถึงรู้สึกคุ้นเคยกับเธอนัก ยิ่งคิดถึงปัททุกครั้งเวลาที่อยู่กับเธอ”

ยังไม่ทันจบประโยคของเขา สีหน้าคุณมัลลิกาก็ซีดเผือกตกใจหวาดกลัว พลันหันไปคาดคั้นกับหลานสาว น้ำเสียงสะอื้นไห้อย่างหนัก “หนูปีบ! นี่มันอะไร หนูปีบ…กับ…ทำไม? ป้าเคยบอก เคยเตือน ทั้งขอร้อง ทำไมหนูปีบทำเช่นนี้…”

“หนูปีบกับเจ้าสัวเป็นเพียงเพื่อนที่ดีต่อกันนะคะป้า เราคุยกันถูกคอ และหนูปีบก็สบายใจเวลาอยู่กับเจ้าสัว เลยแอบขัดคำสั่งของป้า แต่เราสองคนไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่านั้นค่ะ”

“โธ่…หนูปีบจะทำให้ป้าอกแตกตายใช่ไหม ป้าเคยห้ามแล้วทำไม…” น้ำเสียงของผู้เป็นป้าลดลงต่ำอย่างขมขื่น ไม่ต่างจากดวงตาที่มองบ่งบอกว่า…ผิดหวังเป็นที่สุด!

“การเป็นเพื่อนกันมันไม่ผิดนะคะ” เกษราแย้งเพราะความไม่เข้าใจ

ไม่เข้าใจว่าทำไมตลอดหลายปีที่ผ่านมาป้าลิต้องห้ามนักหนา จนทำเคยทำให้เธอไม่กล้าข้องแวะทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งรับงานที่เกี่ยวข้องกับเจ้าสัวเกรียงไกร แต่ในที่สุด เพราะความใคร่รู้ สงสัย ทำให้เธอกล้าแอบขัดใจ และพอรู้จัก…รู้ใจ ก็ยิ่งทำให้เธองุนงง

เจ้าสัวไม่ใช่คนเลว เขาเป็นสุภาพบุรุษ เป็นผู้ใหญ่ใจดี มีเหตุผล และวางใจได้

“เกด…” เกรียงไกรกล้ำกลืนก้อนแข็งๆ ลงคอ หันไปทางคุณมัลลิกาเพื่อถาม “ตอนนั้นปัทท้องหรือ ถ้าเป็นเช่นนั่นแล้วทำไมต้องหนี”

“กลับไปถามเมียคุณซิว่าทำไม ทำอะไรกับน้องฉันไว้บ้าง”

“ถ้าถามได้ผมก็จะถามแน่นอน เมียผมตายไปเมื่อหลายปีก่อน”

“แต่หลังน้องของฉันแน่ๆ”

“ปัท…จากไปตั้งแต่เมื่อไหร่” มันเป็นความจริงที่เขารับได้แสนยากเย็น การระบายลมหายใจอย่างหนักอกยืนยันเช่นนั้น

“ไม่ใช่เรื่องของคุณ”

“ผมอาจจะเคยผิด…ทำผิด แต่คุณรู้ไว้เถอะครับว่า ในชีวิตของผม ผมอาจมีทางเลือกในหลายสิ่งหลายอย่าง แต่บางอย่างผมเลือกไม่ได้ ผมทำไม่ได้ แต่ทั้งชีวิตของผม ผมพูดได้เต็มหัวใจว่าผมรักปัทเพียงคนเดียวเท่านั้น”

“รัก…จะมีประโยชน์อะไร” เสียงของคุณมัลลิกาอ่อนลงมาก หากก็พลันแข็งกร้าว ไม่ต่างจากท่าทาง มีเพียงหยดน้ำตาที่ไหลคลอเป้าแสดงถึงความอ่อนแอชอกช้ำ “คุณมีครอบครัว ลูกเมีย น้องฉันเป็นได้แค่เมียน้อย…เมียที่คุณไม่มีปัญญาปกป้อง ปล่อยให้คนอื่นย่ำยี”

“ป้าลิ…” เกษราเสียงเครือ แววตาเต็มไปด้วยคำถาม “นี่มันอะไร”

“อายุของเกด…สามสิบเอ็ด ถ้าเกดเป็นลูกของปัท ถ้าอย่างนั้นก็เป็น…” สายตาของเกรียงไกรมองสองคนป้าหลานสลับไปมา

“ไม่! เกษรามีแม่ มีลุงมีป้า มียาย แต่ไม่มีพ่อ!”

“หมายความว่าอย่างไรคะป้าลิ” เสียงครางสงสัยแกมเจ็บปวด

“ปัทเองก็ไม่เคยแน่ใจเสียด้วยซ้ำว่าใครคือพ่อของเกษรา ก็เพราะเมียคุณไง เพราะคุณ!”

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เกษราเห็นคุณมัลลิกาชี้หน้าว่ากล่าวใครด้วยความแค้นจัด จนหญิงสาวโผเข้ากอดผู้เป็นป้า เพื่อปลอบ เพื่อเตือนให้สงบอารมณ์ และเพื่อให้ป้าลิรู้ว่าในตอนนี้…หนูปีบอยู่ข้างๆ ป้าลิ

“คุณกลับไปได้แล้ว และอย่ายุ่งกับเกษราอีก อย่ารื้อฟื้นอะไรอีกเลย ปัทต้องเจ็บปวดแสนสาหัส อดสูอับอาย คุณอย่าสร้างความเจ็บปวดอะไรให้ลูกของปัทเลย ถือว่าฉันขอร้อง”

คุณมัลลิกาคว้ามือของหลานสาวกระตุกลากกลับเข้าไปข้างในบ้าน ทิ้งให้เจ้าสัวเกรียงไกรยืนนิ่ง ใต้ร่มเงาของต้นปีบสูง ดวงหน้าบ่งบอกถึงความเจ็บปวด มันเป็นความรู้สึกที่ติดค้างในใจเขา คล้ายๆ กับความทรงจำระหว่างเขากับปัทมาที่ไม่เคยจางหายไป พร้อมกับความคิด…ถ้า

…ถ้าช่วงนั้นเขาไม่ต้องเดินทางไปดูแลสาขาที่ธนาคารเริ่มทยอยเปิดในต่างประเทศ

ถ้าเขาใจแข็งพอที่จะหย่ากับภรรยาหลวง โดยไม่ฟังคำทัดทานของผู้ใหญ่

ถ้าเขาไม่เห็นแก่ฐานะเจ้าสัวน้อย และมรดกมากมายที่ผู้เป็นพ่อใช้ข่มขู่ไม่ให้เขาหย่า

ถ้า…ถ้า…ถ้า…

คิดเช่นนั้น เกรียงไกรก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องของภูเก็ตและระริน

เด็กสองคนนั่นโชคดีกว่าเขานัก

การรอคอยเพียง 5-6 ปี ช่างสั้นเหลือเกินเมื่อเทียบกับเขา ภูเก็ตโชคดีกว่าเขามากมาย และภูเก็ตก็…ยอมมากกว่าเขานัก

ยอมสละงานและเงินอันแสนยั่วโยนของวอลล์สตรีท เพื่อใช้เวลาตามหาระริน ยอมกระทั่งกลับมาตั้งหลัก…คอยระรินที่กรุงเทพ

แล้วเขาล่ะเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน เขายอมทำอะไรบ้างเพื่อปัทมา








เพราะไม่เข้าใจในความเป็นจริงและเหตุ…ผล หลายอย่าง และการจมอยู่กับความคิดต่างๆ ยิ่งทำให้ดวงหน้าซีดของนางเอกสาวแลดูเซียวซูบยิ่งหมองเศร้ายิ่งกว่าเดิม

เกษราพยายามทำทุกอย่างให้เป็นเพียงละครฉากหนึ่ง การยิ้มทัก ต้อนรับแขก และการสนทนากับผู้ที่มาร่วมงานสวดคืนสุดท้าย แต่ถ้าถามว่าคุยอะไรกับใครบ้าง เธอจำไม่ได้

จะจำได้ก็เพียงเหตุการณ์เรื่องเจ้าสัวเกรียงไกรเมื่อบ่ายเท่านั้นจำความถาม ความสงสัยที่ค้างคาในใจของเธอ

ความสัมพันธ์เจ้าสัวเกรียงไกรกับแม่ของเธอ

แล้วยัง…ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเจ้าสัว

ความคิดหลายอย่างทำให้เธอไม่ได้จำแม้กระทั่งว่าคืนนี้ภูเก็ตมาถึงงานกี่โมงและกลับไปเมื่อไร หรือมากับใคร

จนกระทั่งพระสวดเสร็จแล้ว และบรรดาแขกเหรื่อต่างทยอยกลับ เกษณาจึงปลีกตัวมานั่งหน้าโลงศพของยายจ๋า

ในใจมีคำถามมากมาย ถ้ายายยังอยู่…เธออาจจะคาดคั้นเอาคำตอบได้ แต่นี่…ยายจ๋าไปแล้ว พรุ่งนี้ก็ลาลับเหลือเพียงเถ้าธุลี ไม่อยู่เป็นที่พึ่งให้หนูปีบอีกแล้ว

เมื่อเป็นเช่นนั้น…หนูปีบต้องทำอย่างไร

ควรทำอย่างไร




เกษราจมอยู่กับความคิด ความรู้สึก และความคิดถึง จนไม่สังเกตว่ามีใครอีกคนค่อยๆ เดินตรงเข้ามาจากด้านหลัง จะรู้ตัวอีกทีเขาคนนั้นก็เข้าคุกเข่ามานั่งพับเพียบข้างๆ เธอ

สูทสีดำเนื้อดีแล้วยังท่วงท่ากิริยาทำให้หญิงสาวรู้เลยว่า…ใคร

เมื่อนั้นเธอจึงรีบใช้นิ้วชี้ปราดหยดน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้ม สายตาของหญิงสาวจับแน่นที่โลงบนแท่น คิดถึงเพียง…ยายจ๋าที่นอนหลับอยู่ในนั้น

ทว่าพลิ้วลมพัดเข้ามาในศาลาพลันที่ภูเก็ตก้มตัวลงกราบกับพื้น พร้อมๆ กับที่เทียนไขสองด้ามที่ถูกจุดต่างดับลงในคราเดียวกัน

เขาไม่เห็นและไม่สังเกต แต่เกษราเห็นจนหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอเห็นกระทั่งรอยยิ้มประกายแจ่มใสกึ่งปลอบกึ่งห่วงใยนั่น แล้วยังแววตาระยิบที่ทอดความเป็นห่วงหนักหนา

“คืนผมออกจากงานเร็วเพราะต้องรีบไปส่งแม่ที่ปราจีน” เขากล่าวเสียงขรึม ทำให้คนฟังนึกตกใจ…เธอเบลอขนาดลืมกระทั่งว่าภูเก็ตและยุวดีก็มางานสวดในคืนนี้ด้วย “ผมต้องกลับกรุงเทพคืนนี้ พรุ่งนี้มีคุยกับตำรวจและแอลทัสทั้งเช้า เลยแวะเข้ามาลาคุณยายอีกครั้ง ก็ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ผมจะมาทันก่อนมีโอกาสลาหรือไม่ หนูปีบมีอะไรหรือเปล่า ทำไมวันนี้…ดูทุกข์กว่าทุกๆ วัน”

“ไม่…” เธอแข็งใจพูด หางเสียงไม่วายสั่นเครือแม้พยายามปกปิด

“ตอนนี้เหลือแค่เราสองคนอยู่กับคุณยาย ส่วนคุณป้า จุ๋ม พีทซี่และเหมียวเปรี้ยวอยู่ด้านนอก ไม่มีคนอื่น ไม่มีนักข่าว ไม่มีกล้อง ถ้าคุณมีอะไร บอกผมได้เสมอนะหนูปีบต่อให้คุณไม่รักผม เกลียดผมไม่ว่าเพราะเหตุผลอะไรก็ตามแต่ แต่ผมก็มีเพียงความปรารถนาดีให้เสมอ”

คำพูดของเขา…วิธีการพูดนั้นแสนง่าย ไม่ปรุงแต่งมากมาย แต่ก็บาดจิตบาดใจเธอยิ่งนัก จนเกษราพลันลุกขึ้น เดินหลบไปนั่งบนโซฟาสีดำตัวยาวที่ถูกจัดไว้ให้เจ้าภาพและแขกผู้ใหญ่ที่มางานสวด

หญิงสาวสูดลมหายใจเข้า รู้สึกติดขัดที่จมูกและในลำคอ แล้วยังหยดน้ำตาที่ไหลรินร่วงมาอีกครั้ง และในม่านน้ำตาเธอเห็นเขาเขยิบลากเข่าค่อยๆ เข้ามาหา คุกเข่าอยู่ต่อหน้า ก่อนยกตัวขึ้นนั่งชิดกับเธอบนเบาะโซฟาใหญ่

“หนูปีบ…เข้มแข็งไว้นะจ๊ะ” ภูเก็ตไม่เพียงบอก แต่เขายังยกมือขึ้น แตะนิ้วเบาๆ ซับหยดน้ำตาบนพวงแก้มของเธอ ก่อนที่ฝ่ามือของเขาจะแตะบนซีกหน้านวล “เมื่อก่อนเวลาที่ผมแวะมาเยี่ยมคุณยายกับคุณป้า คุณยายก็มักจะขอให้ผมท่องบทจากพระอภัยมณีเสมอ ผมท่องผิดๆ ถูกๆ เสียงไม่ได้ไพเราะเหมือนคุณ ก็เลยโดนเอ็ดประจำ ท่องหลายบท แทบจะไม่ซ้ำกันเลยสักครั้ง ผมประติประต่อเรื่องไม่ได้ก็เลยต้องเข้าเน็ตอ่านเรื่องย่อ” เสียงทุ้มเคล้ารอยหัวเราะเพียงนิดเดียว มือของเขาลดลงเปลี่ยนมากุมมือของหญิงสาวแทน “ไอ้บทที่ผมจำได้…คำมั่นสัญญา…ก็ไม่เคยได้ท่องหรอก คุณยายจัดหนักแทบทุกครั้ง แต่มีบทหนึ่งที่ผมจำได้ เพราะเคยได้ยินหนูปีบอ่านให้คุณยาย วันนั้น…ตอนเช้า อากาศสดใส จนผมอยากให้ในทุกวันของผมเป็นเช่นนั้น แต่…มันก็มีแค่วันนั้นวันเดียว”

เสียงของเขาทุ้มเบา อ่อนโยน สำหรับคนที่ได้ยินนัก

การท่อง…มิใช่ดั่งคนที่ท่องจำมาอย่างดี แต่มันเป็นของคนที่ตราตรึงประทับความทรงจำอันสวยงามไว้จนลืมไม่ลง

ต้อยตะริดติดตี่เจ้าพี่เอ๋ย
จะละเลยเร่ร่อนไปนอนไหน
แอ้อีอ่อยสร้อยฟ้าสุมาลัย
แม้นเด็ดได้แล้วไม่ร้างให้ห่างเชย

ฉุยฉายชื่นรื่นรวยระทวยทอด
จะกล่อมกอดกว่าเจ้าหลับกับเขนย
หนาวน้ำค้างพร่างพรมลมรำเพย
ใครจะเชยโฉมน้องประคองนวล

[พระอภัยมณี” ประพันธ์โดย สุนทรภู่]


และนั่นทำให้โดยไม่รู้ตัว เกษราวางมือลงทาบมือของเขา

หญิงสาวจำได้ว่า ดวงไฟในศาลาสวดค่อยๆ ดับลงทีละดวงราวว่า…เวลาของเราหมดแล้ว

ยายจ๋า…ร่างระหงเดินไปหลังโลงศพของผู้เป็นยาย ซบแนบหน้ากับตัวโลง นิ่งไปนานเท่านาน จะรู้ตัวอีกทีก็เมื่อภูเก็ตเข้ามาโอบพยุงเธอออกมาด้านนอก

“กลับบ้านเถอะลูก”

เสียงคุณมัลลิกาบอก และเมื่อนั้นเกษราจึงรู้สึกว่ามือของภูเก็ตคลายออกจากรอบเอวของเธอ

สังเกตถึงสายตาวาววับของทั้งพีทซี่ เหมียวเปรี้ยวและเด็กจุ๋มที่มอง

ถ้าเป็นเวลาอื่น เกษราคงดันตัวอีตาภูเก็ตออกห่าง แต่ในเวลานี้ อ้อมแขนของเขาอบอุ่นยิ่งนัก

เขาเดินมาส่งเธอถึงที่รถ แตะเบาๆ ที่ต้นแขนราวรั้งเธอไว้ก่อน รอจนกระทั่งคนอื่นๆ ขึ้นนั่งบนรถตู้คันงามแล้ว เมื่อนั้นเกษณาจึงได้ยินเสียงกระซิบอ่อนโยน

“ไม่ว่าอดีตเคยเป็นเช่นไร ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร หรือคิดอะไร แต่หนูปีบจำเอาไว้นะว่า ในตอนนี้และตลอดไป ผมรักหนูปีบคนเดียวเท่านั้น”




(ต่อ)
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  แต่งนิยาย
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่