ในชีวิตของเรามีทางเลือกอยู่สองทาง คือคล้อยตามไปกับโลก หรือพยายามปฏิบัติให้อยู่เหนือโลก
พระพุทธเจ้านั้น ท่านทรงปฏิบัติจนพระองค์ทรงพ้นโลกด้วยการตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ
ในทำนองเดียวกัน ปัญญาก็มีสอง คือ ปัญญาโลกีย์กับปัญญาโลกุตตระ
หากเราไม่ภาวนาฝึกปฏิบัติอบรมตนเอง ถึงจะมีปัญญาปานใด ก็เป็นเพียงปัญญาโลกีย์ เป็นโลกียวิสัย จะหลุดพ้นโลกไปไม่ได้
เพราะโลกียวิสัยนั้น มันเวียนไปตามโลกไปไม่ได้ เพราะโลกียวิสัยนั้น มันเวียนไปตามโลก เมื่อเวียนคล้อยไปตามโลก จิตก็เป็นโลก
คิดอยู่แต่จะหามาใส่ตัวอยู่ไม่เป็นสุข หาไม่รู้จักพอ วิชาโลกีย์เลยกลายเป็นอวิชชา หาใช่วิชชาความรู้แจ้งไม่ มันจึงเรียนไม่จบสักที
เพราะมัวไปตามลาภ ตามยศ ตามสรรเสริญ ตามสุข พาใจให้ติดข้อง เป็นกิเลสกองใหญ่
--------------------------
ที่ไม่สงบทุกวันนี้ ก็เพราะของเก่ามันมากวนอยู่ไม่หยุด มันตามมาพัวพัน เพราะมันติดตัวเคยชินเสียแล้ว
จะแสวงหาทางออกทางไหน มันก็คอยมาผูกไว้ดึงไว้มากินกันอยู่อย่างนั้น
ผู้หญิงก็มีผู้ชายเป็นอุปสรรค ผู้ชายก็มีผู้หญิงเป็นอุปสรรค มันพอปานกัน
ถ้าผู้ชายอยู่กับผู้ชายด้วยกันมันก็ไม่มีอะไร หรือผู้หญิงอยู่กับผู้หญิงด้วยกัน มันก็อย่างนั้นแหละ
แต่พอผู้ชายไปเห็นผู้หญิงเข้า หัวใจมันเต้นติ๊กตั๊กๆ ผู้หญิงเห็นผู้ชายเข้าก็เหมือนกันหัวใจก็เต้นติ๊กตั๊กๆ
เพราะมันดึงดูดซึ่งกันและกัน
นี่ก็เพราะไม่เห็นโทษของมัน หากไม่เห็นโทษแล้วก็ละไม่ได้ ต้องเห็นโทษในกามและเห็นประโยชน์ในการละกามแล้ว จึงจะทำได้
หากปฏิบัติยังไม่พ้น แต่พยายามอดทนปฏิบัติต่อไป ก็เรียกว่าทำได้ในเพียงระดับของศีลธรรม
แต่ถ้าปฏิบัติได้เห็นชัดแล้ว จะไม่ต้องอดทนเลย ที่มันยากมันลำบาก ก็เพราะยังไม่เห็น
ในทางโลกนั้น สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เราทำไว้ ถ้าจวนเสร็จเรียบร้อยเราก็สบาย ถ้ายังไม่เสร็จก็เป็นห่วงผูกพัน
นี่คือโลกีย์ มันผูกพันตามไปอยู่เรื่อย ว่าจะทำให้หมดนั้น มันหมดไม่เป็นหรอก
เหมือนกันกับพ่อค้า พบใครก็ว่า ถ้าหมดหนี้หมดสินแล้วจะบวช เมื่อไรมันจะหมดเป็นเพราะพอหมดหนี้เก่า ก็กู้มาใหม่อีก
พ่อค้าก็ไม่มีวันหมดหนี้หมดสิน เมื่อกู้ไม่หยุด แล้วจะหมดได้อย่างไร นี่แหละปัญญาโลกีย์
การปฏิบัติของเรานี่ก็ให้เฝ้าดูจิตใจไว้ ข้อวัตรข้อใดมันหย่อน พอเห็น พอรู้สึก ก็ให้ตั้งขึ้นใหม่
ถ้ามันหย่อนอีก ผู้มีสติก็ต้องจับมันตั้งขึ้นอีก ส่วนผู้ไม่มีสติก็จะปล่อยไปเลย ผู้มีสติก็ดึงขึ้นมา ทำอยู่อย่างนั้นแหละ
เรียกว่าทำไม่รู้จักแล้ว เพราะว่ามันเป็นโลกีย์ มันจึงดึงไปดึงมาอยู่นั่นแหละ
สองหน้าของสัจธรรม
พระธรรมเทศนา(บางส่วน) ของหลวงปู่ชา สุภัทโท
http://www.baanjomyut.com/pratripidok/cha/14.html
กุญแจภาวนา - หลวงปู่ชา สุภัทโท
http://anuchah.com/key-to-mind-power/
สองหน้าของสัจธรรม - หลวงปู่ชา สุภัทโท
พระพุทธเจ้านั้น ท่านทรงปฏิบัติจนพระองค์ทรงพ้นโลกด้วยการตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ
ในทำนองเดียวกัน ปัญญาก็มีสอง คือ ปัญญาโลกีย์กับปัญญาโลกุตตระ
หากเราไม่ภาวนาฝึกปฏิบัติอบรมตนเอง ถึงจะมีปัญญาปานใด ก็เป็นเพียงปัญญาโลกีย์ เป็นโลกียวิสัย จะหลุดพ้นโลกไปไม่ได้
เพราะโลกียวิสัยนั้น มันเวียนไปตามโลกไปไม่ได้ เพราะโลกียวิสัยนั้น มันเวียนไปตามโลก เมื่อเวียนคล้อยไปตามโลก จิตก็เป็นโลก
คิดอยู่แต่จะหามาใส่ตัวอยู่ไม่เป็นสุข หาไม่รู้จักพอ วิชาโลกีย์เลยกลายเป็นอวิชชา หาใช่วิชชาความรู้แจ้งไม่ มันจึงเรียนไม่จบสักที
เพราะมัวไปตามลาภ ตามยศ ตามสรรเสริญ ตามสุข พาใจให้ติดข้อง เป็นกิเลสกองใหญ่
--------------------------
ที่ไม่สงบทุกวันนี้ ก็เพราะของเก่ามันมากวนอยู่ไม่หยุด มันตามมาพัวพัน เพราะมันติดตัวเคยชินเสียแล้ว
จะแสวงหาทางออกทางไหน มันก็คอยมาผูกไว้ดึงไว้มากินกันอยู่อย่างนั้น
ผู้หญิงก็มีผู้ชายเป็นอุปสรรค ผู้ชายก็มีผู้หญิงเป็นอุปสรรค มันพอปานกัน
ถ้าผู้ชายอยู่กับผู้ชายด้วยกันมันก็ไม่มีอะไร หรือผู้หญิงอยู่กับผู้หญิงด้วยกัน มันก็อย่างนั้นแหละ
แต่พอผู้ชายไปเห็นผู้หญิงเข้า หัวใจมันเต้นติ๊กตั๊กๆ ผู้หญิงเห็นผู้ชายเข้าก็เหมือนกันหัวใจก็เต้นติ๊กตั๊กๆ
เพราะมันดึงดูดซึ่งกันและกัน
นี่ก็เพราะไม่เห็นโทษของมัน หากไม่เห็นโทษแล้วก็ละไม่ได้ ต้องเห็นโทษในกามและเห็นประโยชน์ในการละกามแล้ว จึงจะทำได้
หากปฏิบัติยังไม่พ้น แต่พยายามอดทนปฏิบัติต่อไป ก็เรียกว่าทำได้ในเพียงระดับของศีลธรรม
แต่ถ้าปฏิบัติได้เห็นชัดแล้ว จะไม่ต้องอดทนเลย ที่มันยากมันลำบาก ก็เพราะยังไม่เห็น
ในทางโลกนั้น สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เราทำไว้ ถ้าจวนเสร็จเรียบร้อยเราก็สบาย ถ้ายังไม่เสร็จก็เป็นห่วงผูกพัน
นี่คือโลกีย์ มันผูกพันตามไปอยู่เรื่อย ว่าจะทำให้หมดนั้น มันหมดไม่เป็นหรอก
เหมือนกันกับพ่อค้า พบใครก็ว่า ถ้าหมดหนี้หมดสินแล้วจะบวช เมื่อไรมันจะหมดเป็นเพราะพอหมดหนี้เก่า ก็กู้มาใหม่อีก
พ่อค้าก็ไม่มีวันหมดหนี้หมดสิน เมื่อกู้ไม่หยุด แล้วจะหมดได้อย่างไร นี่แหละปัญญาโลกีย์
การปฏิบัติของเรานี่ก็ให้เฝ้าดูจิตใจไว้ ข้อวัตรข้อใดมันหย่อน พอเห็น พอรู้สึก ก็ให้ตั้งขึ้นใหม่
ถ้ามันหย่อนอีก ผู้มีสติก็ต้องจับมันตั้งขึ้นอีก ส่วนผู้ไม่มีสติก็จะปล่อยไปเลย ผู้มีสติก็ดึงขึ้นมา ทำอยู่อย่างนั้นแหละ
เรียกว่าทำไม่รู้จักแล้ว เพราะว่ามันเป็นโลกีย์ มันจึงดึงไปดึงมาอยู่นั่นแหละ
สองหน้าของสัจธรรม
พระธรรมเทศนา(บางส่วน) ของหลวงปู่ชา สุภัทโท
http://www.baanjomyut.com/pratripidok/cha/14.html
กุญแจภาวนา - หลวงปู่ชา สุภัทโท
http://anuchah.com/key-to-mind-power/