ตอนแรกคิดว่า อำมาตย์ กับ ไพร่ เป็นเพียงวาทกรรมของเหล่าแกนนำ

กระทู้สนทนา
แต่พอมาถึงวันนี้ ผมเชื่อโดยสนิทใจแล้วครับว่า อำมาตยาธิปไตย มันมีจริงๆ
มันไม่ใช่แค่วาทกรรม เพื่อหวังปลุกเร้ามวลชน
มันไม่ใช่แค่วาทกรรม เพื่อหวังสร้างกระแส
มันไม่ใช่แค่วาทกรรม เพื่อหวังดิสเครดิต
และมันก็ไม่ใช่แค่วาทกรรม เพื่อหวังผลทางการเมือง

แม้นว่าการยึดอำนาจคุณทักษิณ อาจเป็นเพราะหวังดีต่อประเทศชาติก็เป็นได้
แม้นว่าการมอบดอกไม้ให้กับคณะรัฐประหาร อาจเป็นเพราะเราไม่รู้ทันทักษิณก็เป็นได้
แม้นว่าการดำเนินคดีกับคุณทักษิณอย่างรวดเร็ว อาจต้องการสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับนักการเมืองก็เป็นได้
แม้นว่าการร่างรัฐธรรมนูญปี 50 อาจต้องการอุดช่องโหว่ของรัฐธรรมนูญปี 40 ก็เป็นได้
และอาจเป็นเพราะต้องการการเมืองแบบใหม่ ที่ไม่มีการคอรัปชั่นจากนักการเมือง ไม่มีแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ไม่มีการหมิ่นพระบรมราชานุภาพและไม่มีการแทรกแซงองค์กรอิสระก็เป็นได้

แต่พอพบว่า แกนนำพันธมิตรฯยังไม่ถูกดำเนินคดีแม้แต่คดีเดียว มันชักจะแปล่งๆ
แต่พอพบว่า การยุบพรรค แล้วตัดสิทธินักการเมืองย้อนหลัง มันชักจะแปล่งๆ
แต่พอพบว่า มีการใช้พจนานุกรมถอดถอนนายกฯในเรื่องทำกับข้าวออกทีวี มันชักจะแปล่งๆมากขึ้น
แต่พอพบว่า คดีที่ดินรัชดาที่คนซื้อคนขายไม่มีใครผิด แต่คนเซ็นชื่อให้เมียต้องติดคุก 2 ปี มันแปล่งๆยิ่งขึ้น
แต่พอพบว่า การยุบพรรคพลังประชาชน โดยที่ยังสอบพยานไม่ครบ มันแปล่งๆมากเกินไปเสียแล้ว
และยิ่งได้เห็นความพยายามที่จะช่วยให้พรรคการเมืองอีกพรรครอดพ้นจากการถูกยุบพรรค แล้วสุดท้ายก็ยกฟ้อง เพราะคดีหมดอายุความกับนายทะเบียนพรรคการเมืองไม่ยอมแสดงความคิดเห็น ตามบทที่ได้ดูจากคลิป ความแปล่งๆยิ่งทวีคูณอีกหลายเท่าตัว

แล้วก็มาถึงการสังหารหมู่ประชาชนที่มาเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา โดยไม่ต้องมีใครรับผิดชอบด้วยการลาออกเหมือนครั้งก่อนๆ ทำให้ผมเริ่มหายแปล่ง

แล้วก็มาถึงการวินิจฉัยคำว่า “และ”กับ “หรือ”มีความหมายเดียวกัน เพื่อที่จะได้รับเรื่องโดยตรงโดยไม่จำเป็นต้องผ่านการกลั่นกรองจากอัยการ ทำให้ผมเริ่มเข้าใจ

แล้วก็มาถึงการวินิจฉัยการแก้ไข สว.ทั้งหมดให้มาจากการเลือกตั้งโดยรัฐสภา กลายเป็นการล้มการปกครอง เริ่มทำให้ตาผมหายขุ่นมัว

แล้วก็มาถึงการวินิจฉัยการชุมนุมที่มีทั้งอาวุธ ทั้งใช้มวลชนข่มขู่ข้าราชการ ทั้งการปิดสถานที่ราชการ ทั้งขัดขวางการเลือกตั้ง ทั้งตัดน้ำตัดไฟ เป็นการชุมนุมที่สงบ สันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธ ยิ่งทำให้ผมตาเริ่มสว่าง

แล้วก็มาถึงการไม่ยอมรับวินิจฉัยความพยายามที่จะตั้งองค์รัฎฐาธิปัตย์ ตั้งนายกฯคนกลาง แล้วจะเป็นคนสนองพระราชโองการเอง ขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ ยิ่งทำให้ผมตาสว่างใสแน๋ว

แล้วก็มาถึงการรับเรื่องของผู้ตรวจการฯที่ไม่มีหน้าที่ในการยื่นเรื่องการเลือกตั้งเป็นโมฆะหรือไม่มาวินิจฉัย ทำให้ผมเริ่มรู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น

แล้วก็มาถึงการวินิจฉัยการเลือกตั้งเป็นโมฆะ เพราะจัดการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จในวันเดียวกันไม่ได้ ทั้งๆที่เป็นเพราะไม่พยายามจัดการเลือกตั้งของ กกต. เมื่อมีคนขัดขวางการเลือกตั้ง ผมเริ่มรู้แล้วว่าบ้านเมืองไม่ปกติ

แล้วก็มาถึงการสรรหา กกต.ชุดใหม่เข้ามา โดยไม่ได้มีจุดมุ่งหมายในการจัดการการเลือกตั้ง เพื่อเป็นทางออกของประเทศ แต่กลับเพียรพยายามที่จะเลื่อนการเลือกตั้ง เพื่อรอให้การเมืองสู่สุญญากาศ ผมยิ่งเห็นชัดเจนยิ่งขึ้น

แล้วก็มาถึงความพยายามที่จะชี้มูลความผิดนายกฯ ที่เป็นเพียงนายกฯรักษาการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ทั้งๆที่นักวิชาการหลายฝ่ายพากันท้วงติง ยังไม่นำพา ผมเริ่มมั่นใจว่าผมเข้าใจถูกต้อง

แล้วก็มาถึงการเร่งชี้มูลความผิดนายกฯที่เป็นเพียงผู้ออกนโยบาย ทั้งๆที่ยังไม่ได้ชี้มูลความผิดของคนที่ถูกกล่าวหาทุจริตจากนโยบายที่ออกมา ยิ่งทำให้ผมยิ่งรู้ถึงความไม่ชอบมาพากล

แล้วก็มาถึงการตัดพยานที่ผู้ถูกกล่าวหาอย่างนายกฯได้มีโอกาสชี้แจง แล้วบอกสังคมว่าได้รับข้อมูลครบถ้วน พร้อมที่จะชี้มูลคนระดับนายกฯในวันนั้นวันนี้ อย่างนี้แล้วจะไม่ทำให้ผมหายสงสัยได้อย่างไรกัน

แล้วก็มาถึงการปฏิบัติของกองทัพต่อมวลชนคนเสื้อแดงกับมวลมหาประชาชนของคุณสุเทพแล้ว ยิ่งเห็นความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด อีกฝ่ายใช้กำลังเข้าปราบปราม ส่วนอีกฝ่ายส่งกำลังเข้าปกป้อง อย่างนี้แล้วจะไม่ให้ผมตาสว่างละก้อ ผมคงใจมืดบอดเกินเยียวยาแล้วล่ะครับ

ดังนั้นเมื่อถึงวันนี้ ผมจึงกล้าพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่า อำมาตย์กับไพร่นั้นมันมีจริงในสังคมไทยอย่างแน่นอน เพราะถ้าไม่มีอำนาจนอกระบบแล้วไซร้
คงไม่มีใครกล้าทำอะไรที่ฝืนความรู้สึกคนส่วนใหญ่อย่างนี้
คงไม่มีใครกล้าใช้อำนาจบาตรใหญ่โดยไม่กลัวเกรงกฎหมายบ้านเมืองอย่างนี้
และคงไม่มีใครกล้าเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง โดยไม่แคร์กับคนไทยค่อนประเทศและสายตาประชาคมโลกที่จับจ้องอยู่ขณะนี้หรอกนะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่