ทำไมถึงเกลียดแม้ว ???
อืมมม...คำถามยอดฮิตจริงๆ
ก่อนหน้าที่แม้วจะเล่นการเมือง
การเมืองไทยอยู่กันแบบ "สำนวนโวหาร"
ปราศรัยหาเสียงกันแบบเอามันส์เข้าว่าโดยแทบไม่มี "กระบวนการคิด" ที่เป็นรูปธรรม
ในยุคเปรมนี่ยิ่งไม่มีนโยบายอะไรเลยครับ
เพราะเปรมไม่ได้เคยลงเลือกตั้งอะไรกับเขา
จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องมานั่งคิดนโยบายอะไรเพื่อจูงใจชาวบ้านให้ปวดหัว
เนื่องจากสมัยนั้น รธน.ไม่ระบุว่า "นายกฯต้องมาจาก สส."
พอมีการเลือกตั้งครั้งใด
ก็จะมีกลุ่มทหารที่มีอิทธิพล
ไป lobby นักการเมืองให้ยกมือสนับสนุนเปรมเป็นนายกฯทุกครั้ง
เมื่อไม่ต้องจูงใจให้ใครเลือก
เพราะยังไงก็ได้เป็นนายกฯแน่ๆอยู่แล้ว
การคิดนโยยายแบบสากลโลกก็เลยไม่ค่อยจะมี
เปลี่ยนผ่านมายุค "น้าชาติ" เป็นนายกฯ
ตอนนี้ก็เริ่มมีการ "คิด" กันมากขึ้นกว่าเก่า
อย่างน้อย "น้าชาติ" ก็ชัดเจนในนโยบาย "เปลี่ยนสนามรบ เป็นสนามการค้า"
แต่หลังจากนั้น
ไม่ว่าจะเป็น อานันท์ , สุจินดา ,
ชวน , บรรหาร , ชวลิต ล้วนแล้วแต่ไม่มีใครคิดนโยบายแบบเป็นชิ้นเป็นอันเลย
จวบจนแม้วตัดสายสะดือทางการทางการเมือง
ด้วยการตั้ง "พรรคไทยรักไทย" ออกมาสู่สนามการเมือง
คราวนี้แหละครับที่พรรคการเมืองไทยต้องถึงคราว "ปรับตัว" กันยกใหญ่
เพราะแม้วมันมีวิธีคิดแบบเอกชน
ที่มีการทำการวิจัยความต้องการของประชาชน
ถึงขนาดจ้างบริษัททำวิจัยมารับหน้าที่นี้ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ใกล้ความจริงมากที่สุด
อันนี้เป็นรูปแบบสากล
ที่ประเทศที่เจริญแล้วเขาทำกันครับ
เพราะเมื่อพรรคการเมืองรู้ว่า "ชาวบ้านต้องการอะไร"
เขาก็เอาสิ่งนั้นมาตั้งเป็นตุ๊กตาในการออกนโยบาย เพื่อเรียกคะแนนเสียง
เดโมแครต และ รีพับลิกัน ก็ทำ
พรรคแรงงาน และ พรรคอนุรักษ์นิยม ก็ทำ
เพราะมันเป็น "ฐานข้อมูล" ที่เป็นจริงมากกว่าที่จะให้ สส.ลงพื้นที่ และ รับฟังจากหัวคะแนน
พรรคแม้วยังทำโพลเพื่อสำรวจความคิดเห็นของประชาชน
มีการทำ SWOT ทางการเมืองในแบบที่อารยะประเทศเขาทำกัน
และ นำมาสรุปเพื่อหาผลลัพธ์ว่าจุดอ่อน จุดแข็ง ของตนเอง (และคู่ต่อสู้) เป็นอย่างไร
ก่อนที่จะเขียนออกมาเป็นนโยบาย เพื่อนำมาใช้เป็นจุดขาย ในแบบที่พรรคการเมืองยุคเก่าๆไม่ทำ (และไม่คิดจะทำ)
มีการใช้เอเจนซี่
ในการวางแผนออกแคมเปญต่างๆ
มีการใช้สื่อ ทั้งออนไลน์ , สิ่งพิมพ์ , บรอดแคสติ้ง เพื่อส่งสารที่ต้องการออกไป
มันเลยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของพรรคการเมืองไทยครับ
เพราะพรรคที่ทำงานแบบข้าราชการประจำ
พรรคที่ตกยุคตกสมัย พรรคที่เป็นไดโนเสาร์ ก็จะไม่มีที่ยืน
"การเมืองสมัยใหม่" ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าแม้วมันเป็นคนจุดประกายนั้น
มันทำให้พรรคการเมืองต่างๆต้อง "ปรับตัว" กันขนานใหญ่ ในการหานโยบายมา "ขาย"
เพราะมันหมดยุคที่จะใช้สำนวนโวหารหากิน หมดยุคที่เปิดเวทีปราศัยแบบ "เอาฮา" เหมือนเมื่อก่อน
แต่มันคือการเข้าสู่ยุคที่พรรคการเมืองต้องสู้กันด้วยนโยบาย และ ต้องทำงานแบบเอกชนที่เป็นมืออาขีพมากขึ้น
"ภาพจำ" ของแม้ว
เลยเป็นภาพของความทันสมัย ที่หมุนไปพร้อมๆกับโลก
อีกทั้งยังช่วยลบภาพแบบโบราณของ "การเมืองอำมาตย์"
ซึ่งเป็นความเชย , ตกยุค , คร่ำครึ ที่เคยมีอิทธิพลในการเมืองไทยออกไป
แถมพอนโยบายหลายอย่างของแม้วประสบความสำเร็จ
ประกอบกับแม้วทำงานรวดเร็วแบบเอกชน ไม่เช้าชามเย็นชาม
อีกทั้งโลกเราทุกวันนี้มันเปิดกว้างในเรื่องข้อมูลข่าวสาร จนสามารถรู้เห็นความเป็นไปของสากลโลก
มันก็ช่วยไม่ได้จริงๆที่เครือข่ายอำนาจเก่า และ คนที่เสียประโยชน์
จะพากันเกลียดแม้ว ที่ดันทะลึ่งนำพาการเมืองไทยให้พ้นจากยุคได้โนเสาร์
ความอิจฉา , เคืองแค้น และ หมั่นใส้ มันเลยตามมาอย่างช่วยไม่ได้ครับ
คนที่เกลียดแม้วมีหลายเหตุผลครับ
1.หมั่นใส้ในความใจร้อน และ ปากไวของแม้ว
2.เสียผลประโยชน์จากนโยบายของแม้ว (เช่น หวยใต้ดิน , ยาเสพติด)
3.ไม่คุ้นชินกับการบริหารงานของโลกยุคใหม่ เพราะติดกับระบอบเก่าๆที่เช้าชามเย็นชาม
4.ติดอยู่ในมายาคติที่เชื่อว่าคนรวยนั้นมักเข้ามาเพื่อกอบโกยให้รวยขึ้น และเชื่อโดยไม่พิสูจน์ว่า "มันโกง"
5.การชนะเลือกตั้งจนจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว หรือ การอยู่ในตำแหน่งจนครบ 4 ปี เป็น "ของใหม่" ที่มีคนบางกลุ่มหมั่นใส้
6.ข้าราชการที่ทำงานหนักขึ้นก็ไม่ชอบแม้ว เพราะชอบการทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม บ่าย 3 เตรียมเก็บของกลับบ้าน
7."ไอ้หัวขาว" รู้สึกไม่ชอบขี้หน้าแม้ว เพราะดันทำงานจนสร้าง "ภาพจำ" ของความเป็นนายกฯยุคใหม่ ผิดกับมันที่เป็น "นายกฯไดโนเสาร์"
8.แม้วเปลี่ยนการเมืองแบบไทยๆที่เคยหาเสียงกันด้วย "สำนวนโวหาร" มาเป็นการหาเสียงด้วยการ "เสนอนโยบาย" ทำให้นักการเมืองไดโนเสาร์เกลียดแม้ว เพราะคิดสู้แม้วไม่ได้
9.แม้วได้รับการยอมรับจากนานาชาติ ในความเป็นนักการเมืองที่มีวิสัยทัศน์ ขนาดตกเก้าอี้ไปแล้วยังมีคนเชิญไปบรรยายบ่อยๆ
ไอ้ 8-9 ข้อที่ว่านี้
คุณไม่สามารถหาได้จากนักการเมืองอำมาตย์ครับ !!!
แต่ไม่ว่าใครจะเกลียดแม้วแค่ไหน
การจะ "กำจัด" แม้วให้สิ้นซากมีทางเดียว
นั่นก็คือการชนะการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว...หาใช่การใช้รถถังออกมายึดอำนาจครับ !!!
เพราะต่อให้ยึดไปกี่ครั้ง
ต่อให้เขียนกติกาใหม่กี่ครั้ง
หากการทำงานที่ผ่านมาของแม้วมันยังประทับใจคนส่วนใหญ่
แถมยังบวกกับ "คะแนนสงสาร" ที่แม้วโดนจองกฐินจากฝ่ายอำมาตย์
ไม่ว่าใครจะมานำทัพ ......คนส่วนใหญ่มันก็ยังเลือกพรรคแม้วอยู่ดี !!!!
จะมียกเว้นก็แค่ว่า
วันใดที่พรรคแม้วเปลี่ยนไปอิง "เผด็จการ"
วันนั้นพรรคแม้วก็จะได้รับบทเรียนจากการ "ลงโทษ" ตามระบอบประชาธิปไตยอย่างแน่นอนครับ !!!
(เหมือนที่แม้วเคยโดนเสื้อแดงบางส่วนให้บทเรียนไปแล้วกรณี พรบ.สุดซอย ที่คนกลุ่มนี้ประกาศชัดว่าไม่เอาด้วย เพราะอยากให้ไอ้ฆาตกรติดคุก)
เพราะคนเลือกแม้ว
เขาเลือกที่นโยบาย
ไม่ได้เลือกเพราะตัวตนของแม้วครับ
ขอบคุณคุณธรรมดาสามัญ ที่ให้ยืมอมยิ้มตั้งกระทู้ครับ
++++++++++ .......... ผ ม ข อ "อ ว ย" แ ม้ ว ห น่ อ ย เ ถ อ ะ ว่ ะ !!!!!!!!!! .......... ++++++++++
อืมมม...คำถามยอดฮิตจริงๆ
ก่อนหน้าที่แม้วจะเล่นการเมือง
การเมืองไทยอยู่กันแบบ "สำนวนโวหาร"
ปราศรัยหาเสียงกันแบบเอามันส์เข้าว่าโดยแทบไม่มี "กระบวนการคิด" ที่เป็นรูปธรรม
ในยุคเปรมนี่ยิ่งไม่มีนโยบายอะไรเลยครับ
เพราะเปรมไม่ได้เคยลงเลือกตั้งอะไรกับเขา
จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องมานั่งคิดนโยบายอะไรเพื่อจูงใจชาวบ้านให้ปวดหัว
เนื่องจากสมัยนั้น รธน.ไม่ระบุว่า "นายกฯต้องมาจาก สส."
พอมีการเลือกตั้งครั้งใด
ก็จะมีกลุ่มทหารที่มีอิทธิพล
ไป lobby นักการเมืองให้ยกมือสนับสนุนเปรมเป็นนายกฯทุกครั้ง
เมื่อไม่ต้องจูงใจให้ใครเลือก
เพราะยังไงก็ได้เป็นนายกฯแน่ๆอยู่แล้ว
การคิดนโยยายแบบสากลโลกก็เลยไม่ค่อยจะมี
เปลี่ยนผ่านมายุค "น้าชาติ" เป็นนายกฯ
ตอนนี้ก็เริ่มมีการ "คิด" กันมากขึ้นกว่าเก่า
อย่างน้อย "น้าชาติ" ก็ชัดเจนในนโยบาย "เปลี่ยนสนามรบ เป็นสนามการค้า"
แต่หลังจากนั้น
ไม่ว่าจะเป็น อานันท์ , สุจินดา ,
ชวน , บรรหาร , ชวลิต ล้วนแล้วแต่ไม่มีใครคิดนโยบายแบบเป็นชิ้นเป็นอันเลย
จวบจนแม้วตัดสายสะดือทางการทางการเมือง
ด้วยการตั้ง "พรรคไทยรักไทย" ออกมาสู่สนามการเมือง
คราวนี้แหละครับที่พรรคการเมืองไทยต้องถึงคราว "ปรับตัว" กันยกใหญ่
เพราะแม้วมันมีวิธีคิดแบบเอกชน
ที่มีการทำการวิจัยความต้องการของประชาชน
ถึงขนาดจ้างบริษัททำวิจัยมารับหน้าที่นี้ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ใกล้ความจริงมากที่สุด
อันนี้เป็นรูปแบบสากล
ที่ประเทศที่เจริญแล้วเขาทำกันครับ
เพราะเมื่อพรรคการเมืองรู้ว่า "ชาวบ้านต้องการอะไร"
เขาก็เอาสิ่งนั้นมาตั้งเป็นตุ๊กตาในการออกนโยบาย เพื่อเรียกคะแนนเสียง
เดโมแครต และ รีพับลิกัน ก็ทำ
พรรคแรงงาน และ พรรคอนุรักษ์นิยม ก็ทำ
เพราะมันเป็น "ฐานข้อมูล" ที่เป็นจริงมากกว่าที่จะให้ สส.ลงพื้นที่ และ รับฟังจากหัวคะแนน
พรรคแม้วยังทำโพลเพื่อสำรวจความคิดเห็นของประชาชน
มีการทำ SWOT ทางการเมืองในแบบที่อารยะประเทศเขาทำกัน
และ นำมาสรุปเพื่อหาผลลัพธ์ว่าจุดอ่อน จุดแข็ง ของตนเอง (และคู่ต่อสู้) เป็นอย่างไร
ก่อนที่จะเขียนออกมาเป็นนโยบาย เพื่อนำมาใช้เป็นจุดขาย ในแบบที่พรรคการเมืองยุคเก่าๆไม่ทำ (และไม่คิดจะทำ)
มีการใช้เอเจนซี่
ในการวางแผนออกแคมเปญต่างๆ
มีการใช้สื่อ ทั้งออนไลน์ , สิ่งพิมพ์ , บรอดแคสติ้ง เพื่อส่งสารที่ต้องการออกไป
มันเลยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของพรรคการเมืองไทยครับ
เพราะพรรคที่ทำงานแบบข้าราชการประจำ
พรรคที่ตกยุคตกสมัย พรรคที่เป็นไดโนเสาร์ ก็จะไม่มีที่ยืน
"การเมืองสมัยใหม่" ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าแม้วมันเป็นคนจุดประกายนั้น
มันทำให้พรรคการเมืองต่างๆต้อง "ปรับตัว" กันขนานใหญ่ ในการหานโยบายมา "ขาย"
เพราะมันหมดยุคที่จะใช้สำนวนโวหารหากิน หมดยุคที่เปิดเวทีปราศัยแบบ "เอาฮา" เหมือนเมื่อก่อน
แต่มันคือการเข้าสู่ยุคที่พรรคการเมืองต้องสู้กันด้วยนโยบาย และ ต้องทำงานแบบเอกชนที่เป็นมืออาขีพมากขึ้น
"ภาพจำ" ของแม้ว
เลยเป็นภาพของความทันสมัย ที่หมุนไปพร้อมๆกับโลก
อีกทั้งยังช่วยลบภาพแบบโบราณของ "การเมืองอำมาตย์"
ซึ่งเป็นความเชย , ตกยุค , คร่ำครึ ที่เคยมีอิทธิพลในการเมืองไทยออกไป
แถมพอนโยบายหลายอย่างของแม้วประสบความสำเร็จ
ประกอบกับแม้วทำงานรวดเร็วแบบเอกชน ไม่เช้าชามเย็นชาม
อีกทั้งโลกเราทุกวันนี้มันเปิดกว้างในเรื่องข้อมูลข่าวสาร จนสามารถรู้เห็นความเป็นไปของสากลโลก
มันก็ช่วยไม่ได้จริงๆที่เครือข่ายอำนาจเก่า และ คนที่เสียประโยชน์
จะพากันเกลียดแม้ว ที่ดันทะลึ่งนำพาการเมืองไทยให้พ้นจากยุคได้โนเสาร์
ความอิจฉา , เคืองแค้น และ หมั่นใส้ มันเลยตามมาอย่างช่วยไม่ได้ครับ
คนที่เกลียดแม้วมีหลายเหตุผลครับ
1.หมั่นใส้ในความใจร้อน และ ปากไวของแม้ว
2.เสียผลประโยชน์จากนโยบายของแม้ว (เช่น หวยใต้ดิน , ยาเสพติด)
3.ไม่คุ้นชินกับการบริหารงานของโลกยุคใหม่ เพราะติดกับระบอบเก่าๆที่เช้าชามเย็นชาม
4.ติดอยู่ในมายาคติที่เชื่อว่าคนรวยนั้นมักเข้ามาเพื่อกอบโกยให้รวยขึ้น และเชื่อโดยไม่พิสูจน์ว่า "มันโกง"
5.การชนะเลือกตั้งจนจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว หรือ การอยู่ในตำแหน่งจนครบ 4 ปี เป็น "ของใหม่" ที่มีคนบางกลุ่มหมั่นใส้
6.ข้าราชการที่ทำงานหนักขึ้นก็ไม่ชอบแม้ว เพราะชอบการทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม บ่าย 3 เตรียมเก็บของกลับบ้าน
7."ไอ้หัวขาว" รู้สึกไม่ชอบขี้หน้าแม้ว เพราะดันทำงานจนสร้าง "ภาพจำ" ของความเป็นนายกฯยุคใหม่ ผิดกับมันที่เป็น "นายกฯไดโนเสาร์"
8.แม้วเปลี่ยนการเมืองแบบไทยๆที่เคยหาเสียงกันด้วย "สำนวนโวหาร" มาเป็นการหาเสียงด้วยการ "เสนอนโยบาย" ทำให้นักการเมืองไดโนเสาร์เกลียดแม้ว เพราะคิดสู้แม้วไม่ได้
9.แม้วได้รับการยอมรับจากนานาชาติ ในความเป็นนักการเมืองที่มีวิสัยทัศน์ ขนาดตกเก้าอี้ไปแล้วยังมีคนเชิญไปบรรยายบ่อยๆ
ไอ้ 8-9 ข้อที่ว่านี้
คุณไม่สามารถหาได้จากนักการเมืองอำมาตย์ครับ !!!
แต่ไม่ว่าใครจะเกลียดแม้วแค่ไหน
การจะ "กำจัด" แม้วให้สิ้นซากมีทางเดียว
นั่นก็คือการชนะการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว...หาใช่การใช้รถถังออกมายึดอำนาจครับ !!!
เพราะต่อให้ยึดไปกี่ครั้ง
ต่อให้เขียนกติกาใหม่กี่ครั้ง
หากการทำงานที่ผ่านมาของแม้วมันยังประทับใจคนส่วนใหญ่
แถมยังบวกกับ "คะแนนสงสาร" ที่แม้วโดนจองกฐินจากฝ่ายอำมาตย์
ไม่ว่าใครจะมานำทัพ ......คนส่วนใหญ่มันก็ยังเลือกพรรคแม้วอยู่ดี !!!!
จะมียกเว้นก็แค่ว่า
วันใดที่พรรคแม้วเปลี่ยนไปอิง "เผด็จการ"
วันนั้นพรรคแม้วก็จะได้รับบทเรียนจากการ "ลงโทษ" ตามระบอบประชาธิปไตยอย่างแน่นอนครับ !!!
(เหมือนที่แม้วเคยโดนเสื้อแดงบางส่วนให้บทเรียนไปแล้วกรณี พรบ.สุดซอย ที่คนกลุ่มนี้ประกาศชัดว่าไม่เอาด้วย เพราะอยากให้ไอ้ฆาตกรติดคุก)
เพราะคนเลือกแม้ว
เขาเลือกที่นโยบาย
ไม่ได้เลือกเพราะตัวตนของแม้วครับ
ขอบคุณคุณธรรมดาสามัญ ที่ให้ยืมอมยิ้มตั้งกระทู้ครับ