To my PM Yingluck Shinnawatra......สิ่งที่พวกเขามีน้อยและกำลังจะหมดลงก็คือเวลา!

กระทู้สนทนา
‘เพื่อไทย’ต้องปฏิเสธ‘ตุลาการรัฐประหาร’ / โดย รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์

On March 28, 2014




ผู้เขียน : รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ pichitlk@gmail.com



คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2557 ที่ให้การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ เป็นโมฆะนั้น ไม่ได้เกินกว่าความคาดหมายแต่อย่างใด เหตุผลในเบื้องต้นก็คือ พรรคประชาธิปัตย์ได้คว่ำบาตร ไม่ลงเลือกตั้งในครั้งนี้ ฉะนั้นถึงอย่างไรพวกจารีตนิยมก็จะไม่มีวันปล่อยให้มีสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่ที่ไม่มีพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นมือเท้าที่ไว้ใจได้ของพวกเขาคอยเคลื่อนไหวก่อกวนและบ่อนทำลายรัฐบาลพรรคเพื่อไทยจากในสภา

ยิ่งกว่านั้นหากพวกเขาปล่อยให้การเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์สามารถดำเนินไปจนเสร็จสมบูรณ์ แล้วสามารถเรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่ได้ ก็จะเป็นสภาที่พรรคเพื่อไทยมีเสียงข้างมากอย่างเด็ดขาดยิ่งกว่าสภาชุดที่แล้ว เพราะจะมีเพียงพรรคการเมืองขนาดเล็กเป็นฝ่ายค้านเท่านั้น พรรคเพื่อไทยจะสามารถเลือกประธานสภาและเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี ตลอดจนตั้งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างชอบธรรมและมีอำนาจเต็มได้ ซึ่งเท่ากับว่าแผนการของพวกเขาที่จะโค่นล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทยก็เป็นอันล้มเหลวในที่สุด

พวกเผด็จการจึงต้อง “ทำแท้ง” สภาผู้แทนราษฎรชุด 2 กุมภาพันธ์ 2557 เสียตั้งแต่ต้น!

แกนนำพรรคเพื่อไทยบางคนแสดงท่าทีอย่างชัดเจนสนับสนุนคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้การเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์เป็นโมฆะ โดยเชื่อว่านี่เป็นหนทางที่จะยุติความขัดแย้งเฉพาะหน้านี้ แกนนำพรรคเพื่อไทยยังเชื่ออีกว่า เนื่องจากฝ่ายจารีตนิยมไม่สามารถบรรลุแผนการเดิมในการโค่นล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เพราะการชุมนุมมวลชนของพรรคประชาธิปัตย์ในนาม กปปส. ที่พวกเขาสนับสนุนอยู่เบื้องหลังได้ตกอยู่ในสถานะโดดเดี่ยวและอ่อนแรงลงอย่างมาก ขณะที่ฝ่ายทหารก็ไม่ยินดีที่จะลงมือกระทำรัฐประหารตามที่พวกเขาต้องการ พวกจารีตนิยมจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องประนีประนอม โดยให้พรรคประชาธิปัตย์กลับมาลงเลือกตั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่แกนนำพรรคเพื่อไทยต้องการพอดี

เมื่อการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์เป็นโมฆะ ก็จะต้องมีการประกาศพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งทั่วไปใหม่ ซึ่งครั้งนี้แกนนำพรรคเพื่อไทยเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์จะกลับมาลงเลือกตั้งเพื่อต่อสู้ภายในสภาดังเดิม ขณะที่การชุมนุมของ กปปส. ก็จะยุติลง ทุกอย่างจะกลับเข้าสู่กรอบการเมืองรัฐสภาภายใต้รัฐธรรมนูญ 2550

แต่นี่เป็นกับดักอีกครั้งหนึ่งที่ฝ่ายจารีตนิยมขุดล่อตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทย เพราะเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นไม่ใช่เพียงแค่ให้ตระกูลชินวัตรถอยออกไปจากการเมืองเท่านั้น แต่เขาต้องการทำลายขบวนประชาธิปไตยทั้งขบวน ปราบปรามแกนนำและประชาชนฝ่ายประชาธิปไตย ยกเลิกระบบการเมืองแบบเลือกตั้งทั้งหมด แทนที่ด้วยนายกรัฐมนตรีและสภานิติบัญญัติแต่งตั้งภายใต้เสื้อคลุม “ระบอบปฏิรูป” พร้อมทั้งบรรดาบุคคลในตระกูลชินวัตรจะต้องถูกดำเนินคดีอาญาถึงจำคุกและถูกอายัดทรัพย์สินดังเช่นที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ถูกกระทำมาแล้ว


เป้าหมายของพวกเขาที่ทำให้การเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์เป็นโมฆะ จึงไม่ใช่เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง แล้วมีนายกรัฐมนตรี รัฐบาล และสภาที่มาจากการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน แต่เพื่อไม่ให้มีการเลือกตั้งใดๆอีกต่อไป เพื่อให้นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร และคณะรัฐบาลอยู่ในสภาพ “รักษาการ” ต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่มีอำนาจบริหาร ไม่มีอำนาจสั่งการและโยกย้ายข้าราชการ ไม่มีอำนาจแม้แต่จะสั่งจ่ายเงินหรือกู้เงินตามนโยบายรัฐบาล นัยหนึ่ง ให้เป็น “รัฐบาลเป็ดง่อย” ต่อไป เป็นการยื้อสถานการณ์ปัจจุบันเพื่อให้เวลาแก่ตุลาการของพวกเขาดำเนินขั้นตอนเชือดนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลชุดนี้


ซึ่งก็คือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สรุปสำนวนคดีและชี้มูลความผิดนายกรัฐมนตรีในกรณีโครงการรับจำนำข้าว คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ถ่วงเวลาไม่ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่ แต่กลับเร่งจัดการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาในวันที่ 30 มีนาคม ให้เสร็จสิ้น เพื่อเข้ามารับไม้ต่อจาก ป.ป.ช. ทำการถอดถอนนายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง ซึ่งจะทำให้คณะรัฐมนตรีทั้งชุดสิ้นสภาพในทันทีตามรัฐธรรมนูญมาตรา 180 และ 182


นายกฯยิ่งลักษณ์และแกนนำพรรคเพื่อไทยจะต้องไม่ตกไปในหลุมพรางของพวกเผด็จการที่มุ่งจะทำให้พรรคเพื่อไทยหลงทิศผิดทาง มุ่งแยกพรรคเพื่อไทยออกไปจากมวลชนฝ่ายประชาธิปไตย พรรคเพื่อไทยจะต้องเก็บรับบทเรียนจากอดีต นับแต่วิกฤตการเมืองครั้งนี้เริ่มต้นในปี 2549 พวกจารีตนิยมก็ใช้ทั้งมาตรการหลอกลวงให้มึนชาและหลงทาง สลับกับมาตรการรุนแรงมาโดยตลอด โดยพวกเขาจะหลอกลวงในยามที่พรรคเพื่อไทยและฝ่ายประชาธิปไตยเข้มแข็ง แต่จะใช้มาตรการรุนแรงเมื่อพรรคเพื่อไทยกระทำพลาดทางยุทธศาสตร์และแยกตัวจากมวลชนของตน ทั้งนี้ เป้าหมายที่เสมอต้นเสมอปลายของพวกเขาก็คือ การทำลายล้างตระกูลชินวัตรและขบวนประชาธิปไตยทั้งหมด


ในครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้การเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์เป็นโมฆะ ถึงแม้จะมีการออกพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งอีกครั้งก็ตาม แต่ในที่สุดก็จะไม่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่อย่างแน่นอน ตรงข้ามสิ่งที่จะตามมาคือ การชุมนุมมวลชนและอันธพาลติดอาวุธของพรรคประชาธิปัตย์จะยังคงดำเนินต่อไปและยิ่งรุกไล่กดดันนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลพรรคเพื่อไทยยิ่งขึ้น ทั้ง ป.ป.ช. กกต. ศาลรัฐธรรมนูญ และสมาชิกวุฒิสภากลุ่มสรรหาก็จะยิ่งเคลื่อนไหวประสานกันเร่งรัดกระบวนการถอดถอนนายกรัฐมนตรี ขณะที่ฝ่ายทหารก็ยังคงหนุนช่วยกลุ่มมวลชนอันธพาลและให้การปกป้องกลุ่มตุลาการต่อไป แล้วก็จะสิ้นสุดด้วยการโค่นล้มนายกฯยิ่งลักษณ์ รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ตลอดจนทำลายตระกูลชินวัตรและเครือข่ายพรรคเพื่อไทยทั้งหมด


พรรคเพื่อไทยจะต้องเลิก “ฝันหวานลมๆแล้งๆ” ชะเง้อรอคอยความเมตตาและ “สัญญาณบวก” จากพวกจารีตนิยมโดยสิ้นเชิง จะต้องเก็บรับบทเรียนจากการถูกหลอกลวงครั้งแล้วครั้งเล่า ตื่นขึ้นจากหลับ แสดงท่าทีอย่างชัดเจนคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรีจะต้องแสดงท่าทีชัดเจนไม่ยอมรับคำวินิจฉัยชี้ขาดใดๆของ ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญที่ขัดต่อหลักนิติธรรม ตลอดจนแสดงจุดยืนที่จะอยู่ในตำแหน่งต่อไป และจะไม่ออกจากตำแหน่งด้วยกระบวนการใดๆที่ขัดต่อหลักการประชาธิปไตย


ในการนี้ทุนทางการเมืองที่สำคัญที่สุดของนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทยก็คือ ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยหลายล้านคนทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนในภูมิภาคเหนือ-อีสาน-กลางที่มีประสบการณ์ผ่านการต่อสู้กับเผด็จการมานานถึง 8 ปี เป็น “ผนังทองแดงกำแพงเหล็กอันแท้จริง” ที่ปกป้องและค้ำยันพรรคเพื่อไทยตลอดมา


นายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทยจะต้องตระเตรียมการถอยออกจากสมรภูมิที่ฝ่ายเผด็จการเข้มแข็ง แต่ฝ่ายประชาธิปไตยอ่อนแอ ซึ่งก็คือพื้นที่กรุงเทพฯและภาคใต้ เพื่อย้ายฐานปฏิบัติการของรัฐบาลไปสู่ภูมิภาค อันเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายประชาธิปไตยเข้มแข็ง แต่ฝ่ายเผด็จการอ่อนแอ มุ่งไปสู่พื้นที่อันกว้างใหญ่ มวลชนไพศาลชูธงประชาธิปไตยต่อต้านอำนาจเผด็จการที่กำลังสถาปนาตนขึ้นในกรุงเทพฯ ทอดยาวรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอันชอบธรรมให้นานที่สุดด้วยการสนับสนุนจากประชาชนในพื้นที่และจากรัฐบาลมิตรต่างประเทศ


ยิ่งยืดเยื้อออกไปเท่าใด ฝ่ายประชาธิปไตยจะยิ่งเข้มแข็งขึ้น และฝ่ายเผด็จการในกรุงเทพฯก็จะไม่มีความชอบธรรมและอ่อนแรงลงจนพ่ายแพ้ในที่สุด เพราะแม้พวกเผด็จการจะมีมือเท้ามากมาย ทั้งทหาร ตุลาการ พรรคประชาธิปัตย์ และมวลชนจำนวนหนึ่ง แต่สิ่งที่พวกเขามีน้อยและกำลังจะหมดลงก็คือเวลา!

http://www.lokwannee.com/web2013/?p=62723

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่