อาทิตย์อับแสง (บทที่ 20) โดย มานัส

กระทู้สนทนา
อาทิตย์อับแสง (บทที่ 20)



ห้องพักผู้ป่วยหรูหราตกแต่งไม่ต่างจากโรงแรมห้าดาวชั้นนำ ทำให้ไม่รู้สึกว่านี่คือห้องคนไข้ของโรงพยาบาล

ทุกครั้งที่เข้ามาในห้องนี้ ระรินก็อดเปรียบเทียบไม่ได้กับความแตกต่างจากสิ่งที่เธอเคยได้ประสบเมื่อหลายปีก่อน

ห้องพักเดี่ยวมีเครื่องมือแพทย์และเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน จอโทรทัศน์ใหญ่เปิดทิ้งไว้แต่ปิดเสียงให้เงียบสนิท จะมีก็เพียงเสียงเพลงคลาสสิกคลอเบาๆ จากเครื่องเสียงราคาแพงที่ตั้งอยู่อีกมุม

ร่างสูงนอนนิ่งบนเตียงนอนใหม่ฟูกหนาพร้อมผ้าปูสีขาวสะอาด ไม่ต้องนอนรวมกับคนไข้คนอื่น ไม่ต้องทนกับเสียงโหวกเหวก

เครื่องมือแพทย์ทันสมัยมีให้บริการทั้งน้ำเกลือและยาสำคัญในการเจาะเข้าเส้นเลือดครั้งเดียว

ภูเก็ตโชคดีนัก

แต่คนที่นอนบนเตียนผู้ป่วยก็ยังไม่รู้สึกตัวใดๆ เช่นเคย ไม่ต่างจากในหลายๆ วันที่ผ่านมา

ระรินหยุดยืนข้างเตียงคนไข้ พลางมองไปรอบๆ ก่อนที่สายตาของเธอจะจับอยู่ที่ดวงหน้าคมคายหลับตาพริ้ม

…My Love, My Huckleberry Friend…


นิ้วชี้เรียวบอบบางของคนที่เล่นเปียโนมาทั้งชีวิตแตะที่แก้มหยาบตามไรเคราของคนเจ็บ ก่อนจะไล่ลงมาถึงแนวคางแข็งแรงเป็นสัน

ความรู้สึก…ไม่ต่างจากหลายปีก่อนที่เธอมักทำเป็นประจำ ในทุกๆ วันที่เราอยู่ด้วยกัน

‘ผมจะอยู่ข้างระรินเสมอ เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป’

เพียงแต่ว่า…เราต่างมีความฝันที่มิอาจบรรจบกันได้

ทว่าในที่สุด…เธอก็เลือกที่จะกลับมา บรรจบพบเจอกันอีก

มีวันนี้…แม้ว่าวันของเราจะเป็นเพียงเวลาสั้นๆ

Here’s to love;
To its soft brilliance
And ever so gentle touch;
Like a cool breeze on a twinkling summer’s night;
Like the warmth of the sun’s morning light.


มือใหญ่แข็งแรง ทว่าอ่อนนุ่มด้วยความรู้สึกพลันคว้ามือของเธอไว้ ระรินสะดุ้งเฮือก สะบัดมือออกถอยล่นห่างด้วยความไม่ไว้วางใจ ด้วยความกลัวว่า เขาจะรู้สึกตัว

ถ้าเขาลืมตาตื่นขึ้นมา เธอ…ควรทำอย่างไร

ทว่าคนที่นอนบนเตียงคนไข้ก็ไม่มีทีท่าจะขยับอะไรไปมากกว่านั้น

หญิงสาวกลั้นลมหายใจแล้วค่อยๆ ผ่อนมันออก มองเขาที่นอนนิ่ง สีหน้ายังคงซีดเซียวด้วยพิษไข้

Here’s to love;
To the wonderful
Glimpse of Darling within sight;
Like a classic verse imprinted in precious memory;
Like a masterpiece being ever so unique.



“หนาว…”

การเปรยครั้งนี้มิใช่ครั้งแรกที่เธอได้ยินจากเขา

เมื่อนานมาแล้ว…เด็กไทยคนใหม่ ที่เพิ่งเข้ามาเรียนในโรงเรียนเอกชนราคาแพง บอกเช่นนั้น ตอนที่เขาล้มหมอนนอนเสื่อในต่างแดนเป็นครั้งแรก

‘ไม่มีคนที่บ้านติดต่อมาเลย’

เพื่อนคนหนึ่งของเธอที่ช่างแสนรู้ ช่างสืบ จัดแจงเล่าเมื่อได้ข้อมูล

นักเรียนไทยคนใหม่ คนที่สอง…ของโรงเรียนในเทอมนี้ มีเพียงเธอกับเขาสองคนเท่านั้น

ระรินจำได้ว่าเคยเห็นเขาแค่ไม่กี่ครั้งในเทอมแรก เพราะถ้ามีนักเรียนไทย…เธอก็มักเลือกที่จะหลบ

ลูกสาวคนเดียวของเจ้าสัวเกรียงไกร นายธนาคารชื่อดัง ที่ทุกคนก็อยากรูจัก อย่าว่าแต่คนไทยเลย คนต่างชาติบางคนก็ยังรู้เลยว่าเธอ…ลูกใคร

และภูเก็ตก็ไม่ละเลยที่จะแสดงออกว่าเขา…รู้ว่าเธอเป็นใคร

การทักทายในเทอมแรกมีเพียงรอยยิ้มและการพยักหน้า เธอได้แต่มองเขาเพียงห่างๆ สนใจในการปรับตัวของนักเรียนไทยคนใหม่ยิ่งนัก

และการปรับตัวของภูเก็ตนั้นง่ายๆ แสนง่าย รอยยิ้มสบายๆ จริงใจบนดวงหน้าเกลี้ยงเกลาชวนมองดูเป็นกันเอง แววตาจริงจังและจริงใจมีเผื่อให้ทุกคน กลบความปวดร้าว อ้างว้างบางอย่างที่หลายคนมักไม่ทันสังเกต

แต่ระรินเห็น และเห็นเสมอมา

เห็นแม้แต่ตอนที่เขายิ้ม

ภูเก็ต…ยามยิ้ม มักยิ้มเป็นประกายตาวาวใส สว่างทั้งใบหน้า เพียงแต่ว่าหลายครา ไม่ได้ยิ้มด้วยหัวใจ นอกเสียจากตอนที่เขายิ้มให้เธอ

ยิ้ม…ที่พอคลี่ออกก็กระจ่างชัดในแววตาและหัวใจ เมื่อได้เห็นก็คล้ายกระจกเงาสะท้อนความรู้สึกเดียวกัน

ช่างแตกต่างจากริมฝีหากบางๆ ที่ตึงแน่นด้วยอารมณ์แลความเจ็บปวดในเวลานี้ ภูเก็ตร้าวราญ เจ็บปวด

แล้วเธอล่ะ…

ระรินเอื้อมมือวางทาบทรวงอกของเขา ลมหายใจแน่นอึกอัก ติดขัด

มือของเขาที่ยกสูงขึ้นได้เพียงไม่กี่นิ้ว คล้ายจะยกขึ้นคว้ามือของเธอไว้ และแม้ว่าคราวนี้ระรินตัดสินใจไม่ละมือออก แต่ว่าเขาเองเลือกที่จะวางมือลงทาบตัวอีกครั้ง แล้วแน่นิ่งไปนานแสนนาน

นานเท่าไร ก็สุดที่คนไข้จะรู้ได้ แต่หญิงสาวก็ยังคงมองเขา คล้ายดั่งคืนสุดท้ายที่เราอยู่ด้วยกันเมื่อหลายปีก่อน

และเหมือนเช่นคืนนั้น การตัดใจ…จาก มันแสนยากเย็น

ยาก…จนตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น เธอเลือกที่จะออกมานอกบ้าน แทนที่จะอยู่ดูแล ส่งเขาออกไปทำงานเช่นเคย

ยาก…แม้เมื่อตอนบ่ายของวันที่อากาศหดหู่ พระอาทิตย์บดเบียดใต้แผ่นเมฆหนา ที่ในที่สุดเธอตัดสินใจเดินออกมาจากห้องพักหรูหราแสนสบายนั่น…ตลอดกาล

มันเคยเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ที่ถูกต้องที่สุด…for you and for me, my darling.

หญิงสาวกลั้นเสียงสะอื้น แตะเบาๆ ที่ขอบตาตัวเองอีกครั้ง ก่อนตัดสินใจหันเดินออก เพียงแต่ว่าเมื่อถึงประตูห้อง เธอกลับต้องหันเหลียวมองยังคนที่นอนนิ่งอีกครั้ง

ไม่ต่างจากเช้าของวันนั้นที่เธอเห็นเขาเป็นครั้งสุดท้าย

We're after the same rainbow’s end
Waitin' 'round the bend
My Huckleberry friend…

[“Moon River” ประพันธ์คำร้องโดย Johnny Mercer]



ประตูห้องพักผู้ป่วยปิดลงเบาๆ เช่นเคย เหมือนตอนที่คนมาเยี่ยมเข้ามาในทุกๆ ครั้ง ทว่าครั้งนี้ เมื่อประตูห้องปิดลงสนิท ทิ้งไว้เพียงความเงียบวังเวง มือข้างที่ไร้สายโยงยางอุปกรณ์แพทย์ของคนไข้ก็คล้ายจะยกขึ้นอีกครั้ง

ดวงตาที่ปิดสนิทสั่นสะท้านเบาๆ

หากก็เพียงเท่านั้นเอง!








ตารางเวลาของการถ่ายละคร ผนวกกับบางคืนที่เธอแวะไปค้างที่บ้านของพีทซี่ สลับกับบ้านแปดริ้ว ทำให้สองสามอาทิตย์ที่ผ่านมา เกษราไม่ได้กลับมาที่คอนโดแห่งนี้บ่อยนัก

จะมาก็แค่เวลามีงานหรืองานสังสรรค์ในเมืองเท่านั้นที่เธอจำต้องพักค้าง เพื่อความสะดวกหลีกเลี่ยงการจราจรที่ติดขัดแสนสาหัส สุดแล้วแต่สถานการณ์จะเอื้ออำนวย

ร่างระหงเดินช้าๆ ด้วยความคิดหลากหลายอย่างที่แล่นเข้ามา ก่อนจะหยุดหน้าห้องของเขา

ข่าวคราวของคนข้างห้องพอผ่านหูบ้าง เกษรารู้หรอกว่า อีตาภูเก็ต…ออกจากโรงพยาบาลมาหลายวันแล้ว แต่ยังไม่กลับเข้าออฟฟิศ คนที่เพิ่งป่วยปางจะขาดลมหายใจ เมื่อได้ทีก็ลาพักร้อนต่อ แล้วหายตัวไปเกือบอาทิตย์แล้ว

ไม่มีใครรู้ว่าไปไหน

คงมีแต่เพื่อนสนิทเช่นสาธิณี ที่กระเย้ากระแหย่กับลูกค้าที่สนิทเช่นเธอและพีทซี่ ‘สงสัยไปตามหาหัวใจ พ่อเจ้าประคุณไปทุกปี บางปี ก็สองสามครั้ง แล้วแต่เงินและโอกาสจะเอื้ออำนวย’

เกษรายิ้มบางๆ ให้กับตัวเอง ตัดสินใจเดินไปที่ห้องพักของตน เพียงแต่ว่าเสียงก๊อกแก๊กที่ประตูห้องนั้น ทำให้เธอหยุดอีกครั้ง หันกลับมาทันพอดีที่ประตูห้องถูกเปิดออก

ท่าทางของเขามีแววตกใจไม่แพ้เธอเลย

รูปร่างสูงล่ำสันด้วยกล้ามเนื้อ ดูผ่ายผอมไปนักเมื่อเทียบกับภาพที่เธอคุ้นเคย

แต่สีหน้าของเขาดูดีกว่าที่เธอเห็นตอนที่เขาโดนหิ้วปีกออกมา หรือจากรูปภาพที่พีทซี่ผู้อาสาไปเยี่ยมไข้ถ่ายมาให้ดู

“หนูปีบ…” เสียงทอดลงอ่อนคล้ายกระซิบยามเรียกชื่อเล่น…ลับๆ ของอีกฝ่าย รอยยิ้มพราย ดูเก้อๆ “เพิ่งกลับบ้านเหรอ ไม่เห็นตั้งหลายวัน”

“อือ” เกษราทำเสียงในลำคอ รู้สึกว่าบรรยากาศที่เธอกำลังเผชิญมันช่างแสนอึดอัดเหลือเกิน

“นี่เพิ่งเสร็จจากงานใช่ไหม หน้าตาดูเหนื่อยๆ แต่ถ้าไม่เหนื่อยนัก ผมขอคุยแป๊ปเดียวได้ไหม ขอผมเอาขยะนี่ไปทิ้งก่อนนะ เดี๋ยวมา”

การพูดแบบนี้ สายตาแบบนี้…ไม่ใช่ของผู้เช่าห้องที่ดื้อด้าน

ไม่ใช่ของนายธนาคารที่พยายามจะขายของ

ไม่ใช่ของหนุ่มพรายเสน่ห์ที่กำลังตกเบ็ดเพศตรงข้าม

ไม่ใช่ของคนที่มีแผลอดีต จนเมามายไม่รู้สึกตัว

การพูดแบบนี้ สายตาแบบนี้…มันแปลก

“ฉันขออีกสองชั่วโมงก็แล้วกัน” เกษราบอกสั้นๆ แค่นั้น ก่อนจะหันไขกุญแจเปิดประตูเข้าห้องชุดใหญ่ของตัวเอง แล้วเดินหายเข้ามา

อาการถอยหายใจเบา ไม่ต่างจากการย่างกรายของร่างระหงผ่านแกรนด์เปียโนตัวใหญ่ เดินเข้ามาในห้องเสื้อผ้ากว้างที่อยู่ติดกับห้องนอน แล้ววางกระเป๋ายี่ห้อดังจากอิตาลีบนชั้นที่เรียงรายด้วยกระเป๋าราคาแพงจากยุโรป ก่อนที่หญิงสาวจะกลับออกมาด้านนอก มุ่งไปยังห้องครัว รินน้ำเย็นให้ตัวเองหนึ่งแก้ว

ใจ…ยังคิดถึงสีหน้าและท่าทางของผู้ชายข้างห้อง ช่างดูแปลกนัก แต่นั่นอาจเป็นเพราะว่าเขารู้สึกผิดที่เกือบทำให้เธอต้องเสียงาน

เกษราเดินมานั่งหน้าแกรนด์เปียโนใหญ่ หยิบแฟ้มที่มีโน้ตเพลงออกมาพลิกดู ก่อนจะเลือกหยิบหนึ่งในสองโน้ตเพลง…Moon River

โน้ตเพลงแบบง่ายเธอเล่นได้แล้ว แม้ไม่พลิ้วเท่าครูที่สอนเล่นให้ฟัง แต่ก็สามารถออกสื่อได้ไม่อายใคร ก็เหมือนที่เธอได้เล่นกลางห้างสรรพสินค้าเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน เพียงแต่ว่า version ที่ยากกว่า ไพเราะกว่า คล้ายที่…เขาเล่นมากกว่านั้น มันช่างยากนัก

ดาราดังที่มีงานรัดตัว มักไม่ค่อยมีเวลาฝึกซ้อม แต่สามารถเล่นโน๊ตแบบง่าย ในที่สาธารณะก็ถือว่าดีโขแล้ว เพียงแต่ว่าถ้าเล่น แบบที่ยากได้ ฝีมือของเธอก็คงเทียบเท่าอีตาภูเก็ตเชียวล่ะ

หญิงสาวขมักเขม้นกับโน้ตเพลงตรงหน้า ไล่นิ้วไปตามแป้นคีย์ เพียงแต่ว่าเล่นเท่าไรก็ไปได้ไม่กี่ตัวโน๊ต เสียงเปียโนไม่กังวานใสเหมือนที่ครูผู้สอน ไม่ได้แม้เพียงเสี้ยวของอีตาภูเก็ต และเมื่อนั้น เธอจึงถอนหายใจ…ถอดใจ กดโทรศัพท์มือถือ

“พรุ่งนี้ว่างไหมคะ เกดจะอยู่ที่คอนโดสองสามวันนี้ค่ะ จะรบกวนครูโรสมาช่วยติวให้หน่อยค่ะ”

การเรียนเปียโนเคยมีสม่ำเสมออาทิตย์ละสองสามครั้ง แต่พักหลังเกษรายุ่งวุ่นกับการถ่ายละคร แล้วไหนจะงานโชว์ตัวที่มีไม่ขาดสาย ดังนั้น การเรียนจึงขาดหาย

ตอนนี้พอมีเวลา ก็ต้องใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ก่อนที่จะหมดเวลาเสียก่อน




หลังวางสายจากครูเปียโน หญิงสาวบิดขี้เกียจรอบใหญ่ ก่อนตัดสินใจอาบน้ำให้สบายตัว

สายน้ำอุ่นๆ ที่ไหลลงมาผ่านผักบัว ให้ความสดชื่นกอปรกับกลิ่นหอมละมุ่นของสบู่และเครื่องบำรุงผิวชั้นดี ทำให้ร่างกายของเธอผ่อนคลาย ปลดปล่อยความเหนื่อยล้าของตารางเวลางานอันแสนน่าปวดหัว

ใครหนอว่ากันนักว่าเป็นอาชีพดาราสุดแสนสบาย เพราะเกษรายังไม่เคยรู้สึกสบายเลยตลอดสิบกว่าปีในวงการบันเทิง

เงินมากมายได้มาง่ายแสนง่าย แต่เธอก็ต้องจำอดทนในหลายๆ อย่าง ลำบากฝ่าฟันในหลายๆ สิ่ง เสียสละทั้งชีวิตและหัวใจ

แต่ก็เพราเงินที่ได้มาไม่ใช่หรือ ที่เธอสามารถเลี้ยงดู ผู้เป็นที่รักทั้งสองของเธอได้…ป้าลิกับยายไม่ต้องลำบากอีกต่อไปไงจ๊ะ

ผู้หญิงทั้งสองลำบากเพื่อเธอมานักต่อนักแล้ว และเธอก็ตั้งใจว่า ทั้งลมหายใจที่เหลือ เธอจะไม่ยอมให้ผู้หญิงสองคนผู้เป็นที่รักยิ่งต้องลำบากตรากตรำ

เงิน…ซื้อความสบายได้

เงิน…คว้าบ้านของเราคืนกลับมาได้

‘มันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดค่ะ’ เกษราเคยยืนยันเช่นนั้น

และแม้แต่ในบัดนี้ เธอก็มั่นใจอย่างนั้น

เงิน…ที่ภายในวันเดียวเธอสามารถหามาได้นั้น มันมากมายเหลือเกิน…เกินกว่าที่เธอคิดจะได้มาตอนที่ตัดสินใจก้าวเข้าวงการบันเทิง




(ต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่