อาทิตย์อับแสง (บทที่ 24)
“นี่มันอะไรกันหนูปีบ…คุณภูเก็ต”
เสียงถามฉงนสงสัยของคุณมัลลิกาดังมาจากประตูรั้ว ทำให้เกษราสะดุ้งโหยง ไม่กล้าที่จะหันหน้าไปทางผู้เป็นป้า สายตาของดาราสาวจับอยู่ที่คู่กรณีตรงหน้า มองราวให้อีกฝ่ายมอดไหม้ละลายหายไป
เพียงแต่ระหว่างที่เธอทำอะไรไม่ถูก หาคำพูดบอกออกมาอธิบายให้ผู้เป็นป้าไม่ได้ เขาเสียอีกที่เป็นฝ่ายสาวเท้าก้าวเข้าไปหาคุณมัลลิกา
“ผมกำลังจะกลับกรุงเทพฯ ครับ พอดีเป็นห่วงทางนี้ก็เลยแวะมาดูอีกรอบ”
ข้ออ้างของเขาไหลลื่น เรียบง่ายไม่ขาดแม้เพียงช่องหายใจทำให้คู่กรณีหันควับมอง ก่อนที่เธอจะสาวเท้าตามมา กระชากเสียงถาม
“ห่วงอะไร”
และคำถามนั่นทำให้ภูเก็ตชะงัก ไม่มีคำตอบออกมาเป็นคำพูดใดๆ จะมีก็แต่เพียงสีหน้าและแววตาแฝงรอยบางอย่างที่คุณมัลลิกาก็จับถึงได้แม้จากแสงร่ำไรหน้าบ้าน
ภูเก็ตไม่ไว้ใจเพื่อนร่วมงานของตน ซึ่งมันก็เป็นความรู้สึกเดียวกันกับที่คนทั้งบ้าน และพีทซี่รู้สึก จะคิดต่างก็คงมีเพียง…
“เปลี่ยนอาชีพจากแบงก์เกอร์มาเป็นยามเฝ้าบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่”
เกษราถากถางหางเสียงไม่พยายามปกปิดความรู้สึก…หงุดหงิด จนคุณมัลลิกาต้องหันไปตำหนิด้วยสายตา ก่อนจะบอกแขกที่มาในยามวิกาล
“ดึกแล้ว ถ้าไม่รังเกียจคุณภูเก็ตก็ค้างที่นี่เถอะ”
คำเชิญของผู้ใหญ่เรียบง่าย การพยักหน้ารับของเขาก็ง่ายๆ จะมีปัญหาก็แค่…
“ขับกลับกรุงเทพฯ แค่ชั่วโมงกว่าๆ เอง ไม่จำเป็นต้องค้าง” การค้านของหญิงสาวมาพร้อมกับอาการนิ่วหน้าแหย...ไม่ชอบใจ
และขัดใจ เมื่อรู้ว่าเสียงค้านของตนไร้ผล เพราะคุณมัลลิกากลับพยักหน้าคล้ายเชิญให้เขาเข้าไปข้างใน
ถ้าร้องกรี๊ดดังๆ ได้ เกษราก็คงทำไปแล้ว ตอนนี้ได้แต่ทำใจ รู้สึกขัดใจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมาที่เห็นว่าไม่เพียง…ป้าลิ หาเสื้อผ้าที่เคยเป็นของลูกชายผู้เสียชีวิตไปเมื่อหลายสิบปีก่อนให้เขาใส่
นี่ป้าลิยังยอมให้เขาอาศัยห้องนอนขอลูกชายคนเดียวพักค้างคืน
ให้ผ่านมาหลายสิบปี แต่ห้องนี้ไม่เคยเปิดให้ใครเข้าพักเลย แม้แต่พีทซี่ซึ่งถ้าจะค้างคืน ก็ต้องนอนบนพื้นในห้องของเกษรา หรือไม่ก็นอนที่โซฟาของห้องนั่งเล่นติดเครื่องปรับอากาศที่อยู่ชั้นล่าง ไม่เช่นนั้น แม้แต่ผู้จัดการดาราดังก็ต้องถ่อสังขารกลับกรุงเทพฯ
‘ป้าลิอย่าไปหลงกล อย่าใจอ่อนเชียวนะคะ อีตานั่นเจ้าเล่ห์ เป็นพวกปากหวานเพราะผลประโยชน์’ เกษรามักจะเตือนผู้เป็นป้าเสมอเกี่ยวกับภูเก็ต
เพียงแต่ว่าไม่ได้ผล เพียงเพราะ
‘แล้วหนูปีบล่ะ ใจอ่อนหรือเปล่าลูก’
เกษรามั่นใจว่าเธอไม่เคยใจอ่อน
นางเอกสาว...แกร่ง...แรง ที่มักปรากฏความมั่นใจในตัวเองอย่างเต็มเปี่ยมเมื่ออยู่หน้ากล้อง หรือท่ามกลางนักข่าว เกษราเรียนรู้สู้ชีวิตมามากนัก ไม่เคยมีสักครั้งที่เธอจะไม่มั่นใจ
แม้เมื่อตอนปฏิเสธข้อเสนออันแสนยั่วยวนของนักการเมืองและมหาเศรษฐีหลายๆ คน เธอก็ไม่เคยสักครั้งที่จะลังเล
เพียงแต่ว่าคราวนี้ เธอกลับลังเลยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าห้องของญาติผู้พี่ที่บัดนี้…อีตาภูเก็ตใช้เป็นที่นอนหนึ่งคืน และในที่สุดหญิงสาวจึงมั่นใจว่าเธอคิดผิด เมื่อประตูห้องนั้นถูกเปิดออก
เป็นการยากเสียแล้วที่เธอจะหลบไปทางไหน ทำได้แค่เพียงแสดงให้เหมือนว่าเธอกำลังเดินผ่านไปเท่านั้น ไม่ใช่หยุดอยู่หน้าห้องของเขามาหลายนาทีแล้ว
ประตูห้องที่ถูกเปิดโชยพัดเอาความเย็นของเครื่องปรับอากาศที่ถูกเปิดไว้ด้านใน พร้อมกลิ่นกรุ่นสบู่ราคาถูกแต่หอมละมุนเย็นๆ เตะจมูกของคนที่เฝ้าจับผิดอยู่หน้าห้องนอนของบ้านไม้ในต่างจังหวัด
“หนูปีบ” คำเรียกขานอ่อนหวานนัก เสียงแซมรอยยิ้มละไม เพียงแต่แววตาฉาบประกายนั่น มันบ่งบอกชัดเจน ใครแพ้ ใครชนะ
“อะไร! แล้วนี่จะเดินเข้าเดินออกไปไหน นี่บ้านไม้นะ ตัวใหญ่เท้าหนักเดินดัง คิดถึงคนที่เขานอนข้างล่างบ้าง”
ท่าทางขึงขังหาเรื่องของคนพูดทำให้อีกฝ่าย มองด้วยดวงตาพราว สาวเท้าเข้าไปใกล้
“ไม่พอใจอะไรผมอีกเหรอหนูปีบ อีกแค่อึดใจเดียวก็จะได้คอนโดคืนแล้ว บัญชีของคุณก็มีคนอื่นดูแลแล้ว ต่อไปผมก็จะออกจากชีวิตคุณเสียที เราก็ไม่ได้เจอกัน…บ่อย” เขาทอดเสียงอ่อน ฟังละมุนรื่นหู แล้วไหนรอยยิ้มที่ยังคงแย้มน้อยๆ จับประกาย “เวลาที่เจอกันหลังจากนี้ คุณจะพูดดีๆ กับผมบ้างได้ไหม อย่าดีแค่เฉพาะตอนที่ผมเอาไวน์หรือเอาเสียเปียโนมาล่อคุณเลยนะ”
“วันหลังก็คงไม่เจอกันแล้ว”
นั่นทำให้เขานิ่งไป ก่อนพึมพำแผ่วเบา “ก็คงจริง”
“และต่อไปก็อย่ามาที่บ้านนี้อีก” เสียงอ่อนไม่ได้ตวัดออกมาเป็นคำสั่งอย่างที่เจ้าตัวคิด
“ไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือหนูปีบ อย่างน้อยก็ให้ผมมาเยี่ยมคุณป้ากับคุณยาย…”
“ไม่จำเป็น อยากหาคนแก่ ก็ไปหาสาวแก่แม่ม่ายของคุณโน่น…ไป”
“ผมไม่มีสาวคนไหนอีกแล้วนะ” เขาสารภาพ “เลิกไปหมดแล้ว”
“อะไร? อย่างคุณเนี่ยนะ อมพระทั้งวัดมาพูดก็ไม่มีใครเขาเชื่อหรอก” แววเสียงหาเรื่องชัดเจน “หรือว่าคุณจะไปหาระรินอะไรนั่นของคุณ”
การเอ่ยชื่อ…ผู้หญิงคนนั้น ที่เธอเคยได้ยินโดยไม่ตั้งใจ เพราะการละเมอพ้อพกของเขา บัดนี้ทำให้เขาสะดุ้ง แววตาเบิ่งโพลงไม่คาดคิด
เกษราเห็นแล้ว ไรกรามของเขาขบแน่น ริมฝีปากเหยียดเป็นเส้นตรง ไม่เคยเลยที่จะเห็นภูเก็ตแสดงท่าทีเช่นนี้
เป็นอาการที่เธอดูไม่ออก…โกรธเคือง เศร้า สะท้านใจ ผิดหวัง
เขารู้สึกอย่างไรกันแน่!
“ราตรีสวัสดิ์หนูปีบ”
เสียงเบาของเขาแหบแห้ง ไม่ต่างจากเธอที่พยายามกลืนความรู้สึกขมขื่นบางอย่างที่ปลาบขึ้นมาในอก
เกษรายืนกอดอกนิ่ง มองคนร่างสูงที่หันกลับเข้าไปในห้อง และแม้ว่าประตูไม้ของห้องจะถูกปิดลงแล้ว แต่หญิงสาวก็ยังคงยืนนิ่ง มองอยู่นาน รับรู้ความรู้สึกหลายอย่าง
และในความรู้สึกเหล่านั้น มันทำให้เธอต้องถาม…ถูกแล้วหรือ ที่พูดกับเขาเช่นนั้น
บอกเขาไปอย่างนั้น
แล้วยัง…ระริน! ผู้หญิงคนนั้นมีอิทธิพลต่อจิตใจเขามาก และเกษราไม่อยากจะยอมรับเลยว่ามีอิทธิพลต่อหัวใจของเธอเช่นกัน
มากพอที่จะทำให้หญิงสาวนอนกระสับกระส่าย ข่มตาหลับ…แต่ไม่สามารถหลับสนิท จนในเวลาตีห้ากว่าๆ
รุ่งเช้าของวันนี้ก็เหมือนเช่นในวันพระของทุกๆ ครั้งที่เธอกลับมาบ้าน ป้าลิจะตื่นมาตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อเตรียมทำกับข้าวตักบาตร และเกษราเองก็จะตื่น…หรือถ้ากลับมาจากกองถ่าย ก็ข่มตาตื่น ไม่ยอมหลับ เพื่อใส่บาตร
‘การทำบุญไม่เพียงต้องทำด้วยใจ แต่ต้องไม่เป็นการฝืน ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ทำให้สม่ำเสมอเท่าที่จะทำได้ นั่นแหละคือบุญ ถ้าฝืนบังคับใจกัน…มันไม่ใช่บุญ แต่มันคือบาป’
ป้าลิและยายจ๋าสอนเตือนเสมอ และตั้งแต่เล็กจนโตเกษราก็ไม่เคยรู้สึกเลยว่าเป็นการฝืน
‘ทำบุญทำทาน ทำด้วยใจ ให้เพราะใจอยากจะให้ ไม่ใช่ให้เพราะมีกล้อง มีนักข่าว มีแฟนคลับ’
และการทำบุญทำทานของเกษราเกือบทุกครั้งมักทำโดยไม่มีกล้อง ไม่มีแฟนคลับ
ทำด้วยใจ
และถ้าได้อยู่บ้าน เธอก็จะตื่นโดยไม่ต้องมีใครปลุก ช่วยป้าลิกับเด็กจุ๋มเพื่อเตรียมกับและข้าวตักบาตร
กับข้าว…ทำเอง แม้เพียงสองสามอย่าง แต่เกษรารู้…ป้าลิเหนื่อย เรี่ยวแรงของป้าลิอ่อนโรยไปตามอายุและกาลเวลา
จากที่เคยทะมัดทะแมงแข็งขันรวดเร็ว ตอนนี้ช้าลงกว่าเดิมนัก
‘หนูปีบอยากลับไปเป็นเด็กจัง ป้ากับยายจะได้ไม่แก่’
เกษรามักออดอ้อน ทว่าความรู้สึกต้องการเช่นนั้นจริงๆ
“ป้าข้าวหอมมะลิจ๋า หนูปีบมาแล้ว”
ในเวลาตีห้ากว่าๆ เช่นนี้ หญิงสาวส่งเสียงใสแจ้วเมื่อถลาตัวเข้ามาในครัว เป็นเสียงใสที่เธอมีทุกๆ ครั้ง พร้อมรอยยิ้มประกายอ่อนโยนของเด็กหญิงขี้อ้อนที่คนภายนอกไม่มีวันเห็นจากนางเอกหมายเลขหนึ่ง
เพียงแต่ว่าคนที่กำลังขะมักเขม้นกับการเด็ดใบกะเพรากำใหญ่ เงยหน้าขึ้นมาพอดี
หากนั่นก็เพียงชั่วครู่ ก่อนที่เขาจะรีบก้มหน้าก้มตาจัดการกับหน้าที่ตรงหน้า และนั่นก็ทำให้รอยยิ้มและแววสดใสของหญิงสาวพลันหายไปทันที ดวงหน้าสะสวยบึ้งตึง การเดินทอดย่างกรายช้าๆ
“ข้าวสุกแล้วลูก หนูปีบเปิดฝาหม้อ แล้วตักเอามาพอจัดสำรับใส่บาตรด้วย” เสียงของคุณมัลลิกาสั่ง ไม่ละสายตาจากมือที่กำลังเคี่ยวน้ำแกงในหม้อใหญ่
“เต้าเจี้ยวยังมีอีกสองขวดค่ะ”
เด็กจุ๋มรายงาน ในบางอย่างที่คุณมัลลิกาคงสั่งไปก่อนหน้า และนั่นทำให้เกษราเดินไปรับหนึ่งในขวดเต้าเจี้ยวจากเด็กจุ๋ม มาเปิดอย่างทะมัดทะแมง
“ผัดผักบุ้งแต่เช้าเชียวนะ” หญิงสาวเข้าไปสวมกอดผู้เป็นป้า ก่อนจะจัดแจงคดข้าวที่หุงสุกเป็นเม็ดงาม
ตลอดเวลาเธอไม่ได้มองไปทาง…เขา จะรับรู้แค่เพียงเสียงสั่งการจากคุณมัลลิกาเท่านั้น
แต่เสียงสั่งของผู้เป็นป้า…อ่อนโยน ไม่ติดขัด เพียงเพราะ…อีตาภูเก็ตทำได้ตามที่สั่งไม่ผิดจังหวะ ไม่ผิดขั้นตอน จนในที่สุด เกษราเองที่เป็นฝ่ายเหลืออด ถึงกลับต้องบอก
“ปีบไปดูยายก่อนนะจ๊ะ”
เพียงแต่ว่าไม่มีใครสนใจเธอ ทุกคนวุ่นอยู่กับการจัดเตรียมของ แล้วไหนจะคุณมัลลิกาจะวุ่นกับการรับชามเต็มไปด้วยใบกะเพราจาก…อีตาภูเก็ต
เกษราถอนหายใจยาวเหยียด
ผัดผักบุ้ง ผัดกะเพรา ทอดไข่ดาว
น่าจะทั้งผัด ทั้งทอด อีตาภูเก็ตไปด้วยเสียเลย!
(ต่อ)
อาทิตย์อับแสง (บทที่ 24) โดย มานัส
“นี่มันอะไรกันหนูปีบ…คุณภูเก็ต”
เสียงถามฉงนสงสัยของคุณมัลลิกาดังมาจากประตูรั้ว ทำให้เกษราสะดุ้งโหยง ไม่กล้าที่จะหันหน้าไปทางผู้เป็นป้า สายตาของดาราสาวจับอยู่ที่คู่กรณีตรงหน้า มองราวให้อีกฝ่ายมอดไหม้ละลายหายไป
เพียงแต่ระหว่างที่เธอทำอะไรไม่ถูก หาคำพูดบอกออกมาอธิบายให้ผู้เป็นป้าไม่ได้ เขาเสียอีกที่เป็นฝ่ายสาวเท้าก้าวเข้าไปหาคุณมัลลิกา
“ผมกำลังจะกลับกรุงเทพฯ ครับ พอดีเป็นห่วงทางนี้ก็เลยแวะมาดูอีกรอบ”
ข้ออ้างของเขาไหลลื่น เรียบง่ายไม่ขาดแม้เพียงช่องหายใจทำให้คู่กรณีหันควับมอง ก่อนที่เธอจะสาวเท้าตามมา กระชากเสียงถาม
“ห่วงอะไร”
และคำถามนั่นทำให้ภูเก็ตชะงัก ไม่มีคำตอบออกมาเป็นคำพูดใดๆ จะมีก็แต่เพียงสีหน้าและแววตาแฝงรอยบางอย่างที่คุณมัลลิกาก็จับถึงได้แม้จากแสงร่ำไรหน้าบ้าน
ภูเก็ตไม่ไว้ใจเพื่อนร่วมงานของตน ซึ่งมันก็เป็นความรู้สึกเดียวกันกับที่คนทั้งบ้าน และพีทซี่รู้สึก จะคิดต่างก็คงมีเพียง…
“เปลี่ยนอาชีพจากแบงก์เกอร์มาเป็นยามเฝ้าบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่”
เกษราถากถางหางเสียงไม่พยายามปกปิดความรู้สึก…หงุดหงิด จนคุณมัลลิกาต้องหันไปตำหนิด้วยสายตา ก่อนจะบอกแขกที่มาในยามวิกาล
“ดึกแล้ว ถ้าไม่รังเกียจคุณภูเก็ตก็ค้างที่นี่เถอะ”
คำเชิญของผู้ใหญ่เรียบง่าย การพยักหน้ารับของเขาก็ง่ายๆ จะมีปัญหาก็แค่…
“ขับกลับกรุงเทพฯ แค่ชั่วโมงกว่าๆ เอง ไม่จำเป็นต้องค้าง” การค้านของหญิงสาวมาพร้อมกับอาการนิ่วหน้าแหย...ไม่ชอบใจ
และขัดใจ เมื่อรู้ว่าเสียงค้านของตนไร้ผล เพราะคุณมัลลิกากลับพยักหน้าคล้ายเชิญให้เขาเข้าไปข้างใน
ถ้าร้องกรี๊ดดังๆ ได้ เกษราก็คงทำไปแล้ว ตอนนี้ได้แต่ทำใจ รู้สึกขัดใจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมาที่เห็นว่าไม่เพียง…ป้าลิ หาเสื้อผ้าที่เคยเป็นของลูกชายผู้เสียชีวิตไปเมื่อหลายสิบปีก่อนให้เขาใส่
นี่ป้าลิยังยอมให้เขาอาศัยห้องนอนขอลูกชายคนเดียวพักค้างคืน
ให้ผ่านมาหลายสิบปี แต่ห้องนี้ไม่เคยเปิดให้ใครเข้าพักเลย แม้แต่พีทซี่ซึ่งถ้าจะค้างคืน ก็ต้องนอนบนพื้นในห้องของเกษรา หรือไม่ก็นอนที่โซฟาของห้องนั่งเล่นติดเครื่องปรับอากาศที่อยู่ชั้นล่าง ไม่เช่นนั้น แม้แต่ผู้จัดการดาราดังก็ต้องถ่อสังขารกลับกรุงเทพฯ
‘ป้าลิอย่าไปหลงกล อย่าใจอ่อนเชียวนะคะ อีตานั่นเจ้าเล่ห์ เป็นพวกปากหวานเพราะผลประโยชน์’ เกษรามักจะเตือนผู้เป็นป้าเสมอเกี่ยวกับภูเก็ต
เพียงแต่ว่าไม่ได้ผล เพียงเพราะ
‘แล้วหนูปีบล่ะ ใจอ่อนหรือเปล่าลูก’
เกษรามั่นใจว่าเธอไม่เคยใจอ่อน
นางเอกสาว...แกร่ง...แรง ที่มักปรากฏความมั่นใจในตัวเองอย่างเต็มเปี่ยมเมื่ออยู่หน้ากล้อง หรือท่ามกลางนักข่าว เกษราเรียนรู้สู้ชีวิตมามากนัก ไม่เคยมีสักครั้งที่เธอจะไม่มั่นใจ
แม้เมื่อตอนปฏิเสธข้อเสนออันแสนยั่วยวนของนักการเมืองและมหาเศรษฐีหลายๆ คน เธอก็ไม่เคยสักครั้งที่จะลังเล
เพียงแต่ว่าคราวนี้ เธอกลับลังเลยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าห้องของญาติผู้พี่ที่บัดนี้…อีตาภูเก็ตใช้เป็นที่นอนหนึ่งคืน และในที่สุดหญิงสาวจึงมั่นใจว่าเธอคิดผิด เมื่อประตูห้องนั้นถูกเปิดออก
เป็นการยากเสียแล้วที่เธอจะหลบไปทางไหน ทำได้แค่เพียงแสดงให้เหมือนว่าเธอกำลังเดินผ่านไปเท่านั้น ไม่ใช่หยุดอยู่หน้าห้องของเขามาหลายนาทีแล้ว
ประตูห้องที่ถูกเปิดโชยพัดเอาความเย็นของเครื่องปรับอากาศที่ถูกเปิดไว้ด้านใน พร้อมกลิ่นกรุ่นสบู่ราคาถูกแต่หอมละมุนเย็นๆ เตะจมูกของคนที่เฝ้าจับผิดอยู่หน้าห้องนอนของบ้านไม้ในต่างจังหวัด
“หนูปีบ” คำเรียกขานอ่อนหวานนัก เสียงแซมรอยยิ้มละไม เพียงแต่แววตาฉาบประกายนั่น มันบ่งบอกชัดเจน ใครแพ้ ใครชนะ
“อะไร! แล้วนี่จะเดินเข้าเดินออกไปไหน นี่บ้านไม้นะ ตัวใหญ่เท้าหนักเดินดัง คิดถึงคนที่เขานอนข้างล่างบ้าง”
ท่าทางขึงขังหาเรื่องของคนพูดทำให้อีกฝ่าย มองด้วยดวงตาพราว สาวเท้าเข้าไปใกล้
“ไม่พอใจอะไรผมอีกเหรอหนูปีบ อีกแค่อึดใจเดียวก็จะได้คอนโดคืนแล้ว บัญชีของคุณก็มีคนอื่นดูแลแล้ว ต่อไปผมก็จะออกจากชีวิตคุณเสียที เราก็ไม่ได้เจอกัน…บ่อย” เขาทอดเสียงอ่อน ฟังละมุนรื่นหู แล้วไหนรอยยิ้มที่ยังคงแย้มน้อยๆ จับประกาย “เวลาที่เจอกันหลังจากนี้ คุณจะพูดดีๆ กับผมบ้างได้ไหม อย่าดีแค่เฉพาะตอนที่ผมเอาไวน์หรือเอาเสียเปียโนมาล่อคุณเลยนะ”
“วันหลังก็คงไม่เจอกันแล้ว”
นั่นทำให้เขานิ่งไป ก่อนพึมพำแผ่วเบา “ก็คงจริง”
“และต่อไปก็อย่ามาที่บ้านนี้อีก” เสียงอ่อนไม่ได้ตวัดออกมาเป็นคำสั่งอย่างที่เจ้าตัวคิด
“ไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือหนูปีบ อย่างน้อยก็ให้ผมมาเยี่ยมคุณป้ากับคุณยาย…”
“ไม่จำเป็น อยากหาคนแก่ ก็ไปหาสาวแก่แม่ม่ายของคุณโน่น…ไป”
“ผมไม่มีสาวคนไหนอีกแล้วนะ” เขาสารภาพ “เลิกไปหมดแล้ว”
“อะไร? อย่างคุณเนี่ยนะ อมพระทั้งวัดมาพูดก็ไม่มีใครเขาเชื่อหรอก” แววเสียงหาเรื่องชัดเจน “หรือว่าคุณจะไปหาระรินอะไรนั่นของคุณ”
การเอ่ยชื่อ…ผู้หญิงคนนั้น ที่เธอเคยได้ยินโดยไม่ตั้งใจ เพราะการละเมอพ้อพกของเขา บัดนี้ทำให้เขาสะดุ้ง แววตาเบิ่งโพลงไม่คาดคิด
เกษราเห็นแล้ว ไรกรามของเขาขบแน่น ริมฝีปากเหยียดเป็นเส้นตรง ไม่เคยเลยที่จะเห็นภูเก็ตแสดงท่าทีเช่นนี้
เป็นอาการที่เธอดูไม่ออก…โกรธเคือง เศร้า สะท้านใจ ผิดหวัง
เขารู้สึกอย่างไรกันแน่!
“ราตรีสวัสดิ์หนูปีบ”
เสียงเบาของเขาแหบแห้ง ไม่ต่างจากเธอที่พยายามกลืนความรู้สึกขมขื่นบางอย่างที่ปลาบขึ้นมาในอก
เกษรายืนกอดอกนิ่ง มองคนร่างสูงที่หันกลับเข้าไปในห้อง และแม้ว่าประตูไม้ของห้องจะถูกปิดลงแล้ว แต่หญิงสาวก็ยังคงยืนนิ่ง มองอยู่นาน รับรู้ความรู้สึกหลายอย่าง
และในความรู้สึกเหล่านั้น มันทำให้เธอต้องถาม…ถูกแล้วหรือ ที่พูดกับเขาเช่นนั้น
บอกเขาไปอย่างนั้น
แล้วยัง…ระริน! ผู้หญิงคนนั้นมีอิทธิพลต่อจิตใจเขามาก และเกษราไม่อยากจะยอมรับเลยว่ามีอิทธิพลต่อหัวใจของเธอเช่นกัน
มากพอที่จะทำให้หญิงสาวนอนกระสับกระส่าย ข่มตาหลับ…แต่ไม่สามารถหลับสนิท จนในเวลาตีห้ากว่าๆ
รุ่งเช้าของวันนี้ก็เหมือนเช่นในวันพระของทุกๆ ครั้งที่เธอกลับมาบ้าน ป้าลิจะตื่นมาตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อเตรียมทำกับข้าวตักบาตร และเกษราเองก็จะตื่น…หรือถ้ากลับมาจากกองถ่าย ก็ข่มตาตื่น ไม่ยอมหลับ เพื่อใส่บาตร
‘การทำบุญไม่เพียงต้องทำด้วยใจ แต่ต้องไม่เป็นการฝืน ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ทำให้สม่ำเสมอเท่าที่จะทำได้ นั่นแหละคือบุญ ถ้าฝืนบังคับใจกัน…มันไม่ใช่บุญ แต่มันคือบาป’
ป้าลิและยายจ๋าสอนเตือนเสมอ และตั้งแต่เล็กจนโตเกษราก็ไม่เคยรู้สึกเลยว่าเป็นการฝืน
‘ทำบุญทำทาน ทำด้วยใจ ให้เพราะใจอยากจะให้ ไม่ใช่ให้เพราะมีกล้อง มีนักข่าว มีแฟนคลับ’
และการทำบุญทำทานของเกษราเกือบทุกครั้งมักทำโดยไม่มีกล้อง ไม่มีแฟนคลับ
ทำด้วยใจ
และถ้าได้อยู่บ้าน เธอก็จะตื่นโดยไม่ต้องมีใครปลุก ช่วยป้าลิกับเด็กจุ๋มเพื่อเตรียมกับและข้าวตักบาตร
กับข้าว…ทำเอง แม้เพียงสองสามอย่าง แต่เกษรารู้…ป้าลิเหนื่อย เรี่ยวแรงของป้าลิอ่อนโรยไปตามอายุและกาลเวลา
จากที่เคยทะมัดทะแมงแข็งขันรวดเร็ว ตอนนี้ช้าลงกว่าเดิมนัก
‘หนูปีบอยากลับไปเป็นเด็กจัง ป้ากับยายจะได้ไม่แก่’
เกษรามักออดอ้อน ทว่าความรู้สึกต้องการเช่นนั้นจริงๆ
“ป้าข้าวหอมมะลิจ๋า หนูปีบมาแล้ว”
ในเวลาตีห้ากว่าๆ เช่นนี้ หญิงสาวส่งเสียงใสแจ้วเมื่อถลาตัวเข้ามาในครัว เป็นเสียงใสที่เธอมีทุกๆ ครั้ง พร้อมรอยยิ้มประกายอ่อนโยนของเด็กหญิงขี้อ้อนที่คนภายนอกไม่มีวันเห็นจากนางเอกหมายเลขหนึ่ง
เพียงแต่ว่าคนที่กำลังขะมักเขม้นกับการเด็ดใบกะเพรากำใหญ่ เงยหน้าขึ้นมาพอดี
หากนั่นก็เพียงชั่วครู่ ก่อนที่เขาจะรีบก้มหน้าก้มตาจัดการกับหน้าที่ตรงหน้า และนั่นก็ทำให้รอยยิ้มและแววสดใสของหญิงสาวพลันหายไปทันที ดวงหน้าสะสวยบึ้งตึง การเดินทอดย่างกรายช้าๆ
“ข้าวสุกแล้วลูก หนูปีบเปิดฝาหม้อ แล้วตักเอามาพอจัดสำรับใส่บาตรด้วย” เสียงของคุณมัลลิกาสั่ง ไม่ละสายตาจากมือที่กำลังเคี่ยวน้ำแกงในหม้อใหญ่
“เต้าเจี้ยวยังมีอีกสองขวดค่ะ”
เด็กจุ๋มรายงาน ในบางอย่างที่คุณมัลลิกาคงสั่งไปก่อนหน้า และนั่นทำให้เกษราเดินไปรับหนึ่งในขวดเต้าเจี้ยวจากเด็กจุ๋ม มาเปิดอย่างทะมัดทะแมง
“ผัดผักบุ้งแต่เช้าเชียวนะ” หญิงสาวเข้าไปสวมกอดผู้เป็นป้า ก่อนจะจัดแจงคดข้าวที่หุงสุกเป็นเม็ดงาม
ตลอดเวลาเธอไม่ได้มองไปทาง…เขา จะรับรู้แค่เพียงเสียงสั่งการจากคุณมัลลิกาเท่านั้น
แต่เสียงสั่งของผู้เป็นป้า…อ่อนโยน ไม่ติดขัด เพียงเพราะ…อีตาภูเก็ตทำได้ตามที่สั่งไม่ผิดจังหวะ ไม่ผิดขั้นตอน จนในที่สุด เกษราเองที่เป็นฝ่ายเหลืออด ถึงกลับต้องบอก
“ปีบไปดูยายก่อนนะจ๊ะ”
เพียงแต่ว่าไม่มีใครสนใจเธอ ทุกคนวุ่นอยู่กับการจัดเตรียมของ แล้วไหนจะคุณมัลลิกาจะวุ่นกับการรับชามเต็มไปด้วยใบกะเพราจาก…อีตาภูเก็ต
เกษราถอนหายใจยาวเหยียด
ผัดผักบุ้ง ผัดกะเพรา ทอดไข่ดาว
น่าจะทั้งผัด ทั้งทอด อีตาภูเก็ตไปด้วยเสียเลย!
(ต่อ)