เล่ม 1
เล่ม 2
บทนำ
บทที่
1 2 3 4 5 6
ต่อกันเลย
2 บทต่อจากนี้จะสั้นหน่อยนะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บทที่ 7 ริษยา
りんき
ชิชิมิยะคือคนที่ผมเคยให้ความนับถือชื่นชม
ยิ่งในช่วงม.1 ที่ผมอยากมีชีวิตอยู่แต่กับเรื่องเพ้อฝันด้วยแล้ว การที่เธอซึ่งเปรียบเหมือนกับร่างหลอมรวมของเรื่องเพ้อฝันมาปรากฏตรงหน้านั้น ไม่แปลกเลยที่จะทำให้ผมรู้สึกชื่นชมในตัวเธอ
เป็นจูนิเบียวมาตั้งแต่แรกที่พบกัน และเป็นที่นับถือชื่นชมของผมในทันทีที่ได้พบกัน
ไม่มีเหตุผลที่จะรู้สึกรังเกียจชิชิมิยะที่เป็นแบบนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว
ถ้าให้พูดแบบไม่กลัวถูกเข้าใจผิดเลยก็คือ ผมชอบเธอที่เป็นแบบนั้น
–––เพียงแต่ว่า ถึงผมจะบอกว่าชอบเธอจริงๆ แต่ก็ไม่เคยนึกชอบเธอแบบเชิงชู้สาวอะไรแบบนั้นแม้แต่ครั้งเดียว
ถ้าเป็นในฐานะเพื่อน ในฐานะเพื่อนสนิท หรือในฐานะสหายชาวจูนิเบียวแล้วละก็ ผมชอบเธอที่สุดเลย
ชิชิมิยะเองก็คงคิดแบบเดียวกัน
เพราะแบบนั้นการที่ได้มาเจอกันอีกครั้งในเวลาแบบนี้ ผมจึงรู้สึกว่าจะสามารถพูดคุยหรือเล่นกับเธอได้ไม่ต่างจากเมื่อก่อน
ผมคงจะไหลไปตามเรื่องแต่งเพ้อเจ้อของชิชิมิยะราวกับเป็นเรื่องปกติธรรมดา
และถึงแม้ผมจะไม่มีเรื่องเพ้อเจ้ออะไรจะพูดให้ฟังแล้วก็จริง แต่ผมก็อาจจะพูดเรื่องเพ้อเจ้อที่แต่งขึ้นมาของริกกะให้ฟังแทนก็ได้
เรื่องที่ลอบเข้ามาในโรงเรียนนั้นมันก็เป็นเรื่องที่ไม่ดีจริงๆ นั่นแหละ แต่ก็เพราะเรื่องนั้นเลยทำให้ผมต้องติดร่างแหไปกับชิชิมิยะแบบนั้น
แต่ผมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้ริกกะเข้าใจในเรื่องนั้นนี่สิ
ผมควรที่จะบอกไปให้ชัดเจน เพื่อที่จะสื่อไปให้ถึงเธอ
ว่าคนที่ผมรักนั้น คือริกกะเท่านั้น
ชิชิมิยะเป็นแค่เพื่อน
แต่ดูเหมือนว่า สิ่งที่ผมยึดมั่นจากใจจริงนี้นั้น จะยังสื่อไปถึงเธอได้ไม่เต็มที่นัก
จะต้องบอกกับเธอยังไงดี……
……….
ผมคิดแต่กับเรื่องนั้นอยู่ทั้งวัน ตั้งแต่ที่แยกกับริกกะต่อเนื่องมาจนถึงวันถัดมา เล่นเอาแทบไม่ได้นอนเลย
ถึงวันนี้ริกกะดูจะอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อยเทียบกับเมื่อวาน แต่เรากลับพูดกันน้อยลงซะงั้น มีทักทายกันตอนเช้า นอกจากนั้นก็พูดกันแค่ 2 หรือ 3 คำเท่านั้นเอง
อีกอย่างนึงคือ ผมคาดหวังให้ริกกะหันมาพูดอะไรกับผมตอนช่วงพักระหว่างคาบเหมือนที่เคยทำเป็นประจำบ้าง ไม่ต้องทุกชั่วโมงก็ได้ ขอแค่มีอะไรแบบนั้นแค่ครั้งเดียว ผมก็รู้สึกสบายใจแล้ว แต่นี่กลับไม่มีเลย
แล้วช่วงเวลาหลังเลิกเรียนก็มาถึงอย่างรวดเร็ว
แล้วการจะออกเสียงเรียกเพื่อจะพูดคุยกับเธอก็กลายเป็นเรื่องที่ทำได้ยากไปชั่วขณะ ความคิดที่ว่าจะทำยังไงดีหากถูกเธอเมินใส่อีกกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง ทำเอาผมเงียบไปนานเหมือนกัน
แต่ว่า ถ้าหากไม่พูดอะไรออกไปเลย เธออาจจะกลับไปก่อนเหมือนเมื่อวานก็ได้ เป็นวังวนของปัญหาที่ถึงไม่ต้องบอกผมก็รู้ดี
ดังนั้น ผมจึงขจัดความกังวลทั้งหลายออกไป แล้วก็เรียกเธอ
“ริกกะ วันนี้มีทำอะไรรึเปล่า? จะอยู่ที่โรงเรียนต่อซักหน่อยมั้ย?”
ริกกะตอบสนองต่อเสียงเรียกด้วยการหันกลับมามองเหมือนปกติ
ดีจัง รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเลย เรียกว่าจนถึงเดี๋ยวนี้ยังไม่เคยรู้สึกโล่งใจมากถึงขนาดนี้มาก่อนเลยก็ได้
“อืม จริงสิ วันนี้ชั้นมีเรื่องอยากจะบอกกับยูตะด้วย”
“เรื่องที่อยากจะบอก?”
คำพูดนั่น ทำเอาหัวใจผมเต้นแรงสุดๆ เรื่องที่อยากจะบอกเหรอ……..?
นึกถึงสิ่งที่เธออยากจะบอกไม่ออกเลย ไม่สิ น่าจะเป็นเรื่องที่ไม่อยากนึกถึงจนถึงขนาดว่าไม่กล้าถามกลับออกไปเลยมากกว่า ถึงผมเองจะมีเรื่องมากมายที่อยากจะถามเหมือนกัน แต่ว่า…..ริกกะอยากจะบอกอะไรกับผมกันแน่ล่ะเนี่ย….?
หรือจะเป็นเรื่องนั้นจริงๆ–––? แล้ว ความรู้สึกไม่สบายใจเกินกว่าจะกล่าวก็ผุดขึ้นมาทันที
“อืออ ก่อนหน้านั้น ชั้นอยากจะไปคืนหนังสือที่ยืมมาจากห้องสมุดก่อนนะ วันนี้ครบกำหนดพอดี”
“อ๊ะ อะ อืม”
ผมตอบออกไปอย่างตะกุกตะกักเพราะความกังวลที่มีอยู่
“งั้น ชั้นเอาไปคืนก่อนนะ”
พูดเสร็จ ริกกะก็เอาหนังสือปกแข็งที่ยืมมาออกจากกระเป๋าพร้อมลุกขึ้นจากที่นั่ง
“อะ เอ่อ งั้นชั้นไปด้วยนะ”
เพราะผมรู้สึกไม่อยากห่างจากเธอไป เลยพูดออกไปแบบนั้น
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวเดียวก็กลับมาแล้วล่ะ”
“งะ งั้นเหรอ อืม เข้าใจแล้ว…..”
“งั้นชั้นไปล่ะนะ”
พูดเสร็จริกกะก็ออกจากห้องเรียนไป แล้วก็เหลือผมอยู่ในห้องเรียนเพียงคนเดียว ยังไงก็เถอะ ที่ว่ามีเรื่องอยากจะบอกนั่น มันคืออะไรกันแน่นะเนี่ย ที่คิดออกก็มีแต่พวกที่เป็นด้านลบทั้งนั้นเลย หรือว่าอยากจะบอกเลิกกัน…..นั่นเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่คิดออกเลย
อุ…..มีแต่เรื่องในแง่ร้ายแบบคิดไม่ถึงแล่นเข้ามาทั้งที่ไม่ได้จะนึกถึงเรื่องพวกนั้นเลย ยิ่งอยู่ตัวคนเดียวนานเท่าไร ความวิตกกังวลในเรื่องร้ายๆ ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
ผมทนอยู่เฉยๆ ไม่ได้…..
“มะ ไม่ใช่ว่าตามไปแล้วจะทำให้โกรธกันซักหน่อยนี่นะ…..”
ผมพึมพำหาข้ออ้างให้ตัวเอง
แล้ว ผมก็ขยับตัวด้วยท่าทางที่พูดได้เต็มปากว่าไม่เท่เอาซะเลย ผมลุกขึ้นยืน แล้วก็ออกย่างก้าวเพื่อตรงไปที่ห้องสมุด บรรยากาศเงียบเหงาไร้ผู้คนที่ระเบียง ทำเอาผมที่คิดจะตามไปเกิดความรู้สึกด้านลบขึ้นมาอีก
ไม่ได้ไม่ได้ ผมส่ายหัวเพื่อขจัดความคิดฟุ้งซ่าน(ที่ถึงตรงนี้น่าจะเรียกว่าเป็นประสาทหลอนได้แล้วมั้ง)ออกไป แล้วก็เดินไปตามระเบียง
ห้องสมุดอยู่ที่ชั้น 2 ถ้าจะวิ่งก็จะรบกวนเพื่อนคนอื่นตรงระเบียง ผมเลยใช้วิธีเดินเร็วลงบันไดไป
แล้ว ในระหว่างทางนั้น
ตรงระหว่างชั้น 2 กับชั้น 3 จู่ๆ ผมก็เจอกับชิชิมิยะ สำหรับวันนี้ไม่มีใครอุทานออกมาว่า ‘อ๊ะ’ ทั้งคู่ แล้วก็น่าแปลก เพราะถึงผมจะคิดว่าเธอลอบเข้ามาอีกแล้ว แต่กลับรู้สึกว่ามันต่างออกไป มันเหมือนกับชิชิมิยะวางแผนที่จะเจอกับผมเอาไว้ก่อนแล้ว
“ไง ผู้กล้า ดูเหมือนโชคชะตาจะชักนำให้มาเจอกันนะ★”
เธอพูดหลังจากยิ้มออกมาเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า แต่นี่มันเหมือนกับตอนที่เจอกับชิชิมิยะครั้งแรกเลย–––––น้ำเสียงแบบนั้น
เดจาวู? ไม่สิ เหมือนมีอะไรที่ต่างกันออกไป แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไรเหมือนกัน
“ไม่ใช่ละ โชคชะตาอะไรนั่นน่ะ…….ว่าแต่ ชุดนั่นอีกแล้วเหรอ…..ถึงชั้นจะไม่ได้บอกว่าไม่ให้มาอีก แต่ก็อย่าเปิดเผยตัวออกมาแบบนั้นสิ”
“นี๊ฮะฮ่า! เพื่อที่จะเอาชนะริกกะจัง จึงจำเป็นที่จะต้องพร้อมทำการต่อสู้ได้ทุกเมื่อ! หรือก็คืออยู่ในโหมดพร้อมรบตลอดเวลาไงล่ะ”
“ยังไม่ยอมแพ้อีกเหรอเนี่ย….”
“นั่นมันแน่อยู่แล้วสิ! ริกกะจังเป็นคู่ต่อสู้ชั้นเยี่ยมเลยล่ะ เป็นคู่แข่งที่เหมาะสมที่สุดเลย”
“ชั้นเองก็คิดว่าคนที่จะเล่นอะไรแบบนั้นกับริกกะได้นอกจากชิชิมิยะก็ไม่น่ามีแล้วล่ะ…..อืมม เป็นคู่แข่งกันเลยสินะ”
ไม่ใช่แค่เรื่องการต่อสู้แบบจูนิเบียว แต่รวมถึงอะไรหลายๆ ด้านที่ทัดเทียมกับริกกะ นอกจากชิชิมิยะก็ไม่มีใครแล้วล่ะ
ว่าแต่ว่า ทั้ง 2 คนนี่ จะเปิดใจคบหาเป็นเพื่อนกันให้มากกว่านี้ไม่ได้เลยเหรอ?
ผมไม่รู้จริงๆ ว่าชิชิมิยะคิดยังไงกับริกกะ ไม่สิ ก็พึ่งพูดมาเองนี่นะว่าเป็นคู่แข่ง แต่เพราะเป็นชิชิมิยะเลยรู้สึกว่านั่นอาจจะมีความหมายในเชิงเป็นเพื่อนกันก็ได้ ส่วนทางริกกะก็จัดให้ชิชิมิยะอยู่ในหมวดศัตรูเรียบร้อยแล้วด้วย นี่ถ้าปัญหาทุกอย่างมันคลี่คลายลง ทั้งคู่อาจจะกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันก็ได้ใครจะรู้
ถึงนั่นจะเป็นแค่การคิดคาดหวังตามใจผมคนเดียวก็เถอะ
ริกกะน่ะ–––จริงสิ ที่ว่ามีเรื่องอยากจะพูดด้วยอาจจะเป็นอะไรแบบนั้นก็ได้นี่นา
ที่จริงแล้วนั่นไม่ใช่ศัตรูหรอก แต่เป็นพวกพ้องต่างหาก อะไรแบบนี้น่ะ ก็ไม่รู้ว่าทำไมจนป่านนี้แล้วถึงไม่พูดแบบนั้นออกมาซะที ไม่สิ หรือว่าเป็นเพราะสู้กันมาแล้ว ถึงได้คิดที่จะพูดออกมางั้นเหรอ?
“ผู้กล้า วันนี้ไม่สบายเหรอ? ดูไม่มีความมุ่งมั่น ไม่มีออร่าอะไรเลย แถมสายตายังเป็นแบบของปลาตายอีก”
ดูเหมือนตัวผมจะเข้าโหมดฟุ้งซ่านไปโดยไม่รู้ตัว ทำเอาชิชิมิยะพูดออกมาด้วยสีหน้าเป็นห่วงอย่างจริงจัง ดูเหมือนถ้าผมเข้าโหมดฟุ้งซ่านแล้วหน้าตาผมจะดูเหมือนไม่มีความมุ่งมั่นเอาซะเลยสินะ
“อะ อ้า…..คงเป็นเพราะนอนไม่พอน่ะ เพราะเมื่อวาน ชั้นหลับไปได้แค่นิดเดียวก็ตื่นขึ้นมาแล้วน่ะ”
“หืม ผู้กล้าเองก็คงลำบากจากการฝึกฝนเหมือนกันสินะเนี่ย”
“……ก็ หลายๆ อย่างน่ะนะ”
ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก ผมเองก็ไม่มั่นใจว่าพูดตอบโต้บทสนทนาไปได้ดีรึเปล่า นั่นก็เพราะว่าผมมีแต่เรื่องของริกกะอยู่เต็มหัวไปหมด
“เอ้อ โทษทีนะ ชั้นมีเรื่องที่ต้องไปทำอยู่นิดหน่อยน่ะ เพราะงั้นวันนี้คงจะอยู่ด้วยไม่ได้หรอกนะ”
“เอ๋!? ทำไมล่ะ!?”
“ไม่มีอะไรมากหรอก พอดีวันนี้มีธุระเร่งด่วนนิดหน่อยน่ะ”
ธุระด่วนที่ว่า จริงๆ แล้วมันก็แค่จะไปคุยกับริกกะเท่านั้นแหละ
แต่อย่าคิดว่านั่นไม่สำคัญอะไรเท่าไรเลยนะ เพราะตอนนี้นั่นน่ะเป็นเรื่องด่วนที่สุดที่ผมจะต้องทำเลย เป็นเรื่องด่วนที่สำคัญมากๆ
“………”
น่าแปลกที่ชิชิมิยะไม่ได้พูดตามน้ำมา จะว่าตามน้ำ หรือว่าพูดตอบโต้ก็ดี ปกติแล้วเธอจะต้องมีพูดอะไรเท่ๆ ออกมาเสมอในสถานการณ์แบบนี้นี่นา
“ปะ เป็นอะไรไปล่ะ? ทำหน้าบูดแปลกๆ นะ ถึงวันนี้จะไม่ได้ก็จริง แต่ถ้าพรุ่งนี้ละก็ไม่มีปัญหานะ”
โทษทีนะ ผมนึกขอโทษเธอไป ถึงจะนึกสงสัยที่เธอไม่พูดอะไรกลับมาบ้าง แต่ถ้าเทียบกับเรื่องนั้นที่ต้องทำแล้วมันก็–––นะ แล้วขณะที่ผมกำลังจะเดินผ่านชิชิมิยะไป ก็ถูกหยุดเอาไว้
แขนซ้ายผมถูกชิชิมิยะจับเอาไว้ซะแน่น
“ชั้นไม่ปล่อยให้ไปหานางฟ้าตกสวรรค์หรอก ถ้าให้ผู้กล้าไปละก็ ชั้นเอาชนะไม่ได้แน่ๆ”
ชิชิมิยะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ และแทนที่จะทำหน้าบูดแบบเมื่อครู่ สีหน้าเธอตอนนี้ทำเอาบอกอารมณ์ไม่ถูกเลย เป็นสีหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์
“นั่นมันก็ เอ่อ”
ท่าทางของชิชิมิยะแปลกไปจากทุกที ทำเอาผมไม่รู้จะทำตัวยังไงกับเธอดี หรือก็คือ เพราะในจังหวะนั้นเธอมีท่าทางดูเสียใจมากๆ จนผมไม่รู้ว่าต้องทำยังไงดีเลย
แล้วก็มีเสียงฝีเท้า เป็นสัญญาณว่ามีคนกำลังขึ้นบันไดมา เงาร่างนั่น ที่ผมไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย
ทั้งที่มันเป็นเรื่องที่ต้องอยู่ในการคาดการณ์อยู่แล้ว แต่ผมกลับละเลยต่อการคาดการณ์นั่น เลยทำให้ริกกะมาเห็นเข้า แล้วก็ต้องเข้าใจผิดแน่ๆ กับสถานการณ์แบบนี้
วินาทีที่ผมสบตากับริกกะ เธอก็ทำสีหน้าเศร้าเสียใจอย่างมาก ไม่สิ อย่างรุนแรงเลย
“……….”
เธอจ้องมองมาด้วยสีหน้าเศร้าโศกอย่างเงียบๆ แล้วก็หันหลังเดินกลับไปอย่างรวดเร็ว
“ดะ เดี๋ยวก่อน!”
ผมพูดเรียกออกไป และพยายามจะไล่ตาม แต่ผมยังคงถูกรั้งตัวเอาไว้อยู่
ช่วยไม่ได้แฮะ ผมเอามือขวาดึงมือของอีกฝ่ายออก
“โทษทีนะชิชิมิยะ ชั้นต้องไปก่อนแล้ว”
แล้วผมก็เริ่มออกวิ่งโดยไม่รอให้ชิชิมิยะตอบอะไรกลับมา แต่จากนั้นไม่นาน ผมก็ได้ยินเสียงที่ลอยมาจากข้างหลังได้อย่างชัดเจน
“ก็นั่น สินะ–––”
ผมได้ยินที่ชิชิมิยะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ นั่นเต็มๆ หู แต่ โดยที่ยังไม่นึกสงสัยถึงความหมายที่แท้จริง ผมก็ไล่ตามริกกะไปทั้งอย่างนั้นโดยไม่ได้หันหลังกลับมามองเลย
----------------------------------------------------------------
(Chunibyou LN Vol 2) บทที่ 7 ริษยา
เล่ม 2
บทนำ
บทที่ 1 2 3 4 5 6
ต่อกันเลย
2 บทต่อจากนี้จะสั้นหน่อยนะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้