ภูผาอาถรรพ์ ตอนที่ ๑ จำปีป่า
http://ppantip.com/topic/31749030
ฝนทิพย์หยิบเอาดอกจำปีป่าที่หล่นเกลื่อนพื้นขึ้นมาหอมเบาๆ ภายหลังจากออกไปเดินเล่นในป่าไม่ห่างจากที่ทำการอุทยานนัก หญิงสาวยอมรับว่าดีใจมากที่ได้บรรจุเป็นข้าราชการกรมป่าไม้ ตำแหน่งเจ้าพนักงานประชาสัมพันธ์ นี่เป็นงานที่มั่นคงดังที่ครอบครัวของเธอปรารถนาจะให้เธอเป็น ด้วยที่บิดาเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้วัยปลดเกษียณ การที่เห็นลูกสาวคนเดียวใช้ชีวิตทำงานบริษัทเอกชนอยู่เมืองใหญ่อันวุ่นวายจึงทำให้อดกังวลไม่ได้ แต่หลังจากที่ฝนทิพย์สอบติดและได้บรรจุเรียบร้อย บิดาก็ถึงกับรับขวัญโดยการถอยรถกระบะคันใหม่ให้เป็นของขวัญ
ฝนทิพย์ไม่ใช่คนขี้กลัว เธอเติบโตมากับป่าเขาตั้งแต่เด็ก ด้วยพื้นเพเป็นคนนครนายกและเคยตามบิดาเข้าป่าบ่อยๆ สมัยก่อนเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ หากแต่การต้องขับรถกลับไปนอนบ้านทุกคืน ต้องข้ามเขาไปไม่รู้กี่ลูก ซึ่งกว่าจะกลับถึงบ้านก็เล่นเอามืดค่ำ นั่นเสียอีกที่ทำให้เธอกังวล เพราะกลัวจะเกิดอุบัติเหตุเข้าให้สักวัน
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ฝนก็กลับแล้วค่ะพ่อ พ่ออย่าลืมกินยานะ แล้วก็ฝากดูแลกล้วยไม้หน้าบ้านให้ฝนด้วย” หญิงสาววัยยี่สิบห้าปีบอกเสียงใส หลังกลับเข้ามาภายในที่พัก ปลายสายรับคำก่อนวางหูไป ฝนทิพย์จึงดิ่งยังมาโต๊ะเขียนหนังสือ ก่อนเลิกคิ้วสูงเมื่อนึกได้ว่าลืมโน้ตบุ๊คส์ไว้ที่ทำการอุทยาน เธอคว้าเอาเสื้อกันหนาวตัวเขื่องมาสวมใส่ ก่อนหยิบเอาไฟฉายอันเล็กติดมือไปด้วย
ความจริงระยะแรกเธอเทียวไปเทียวมาทุกวัน แต่เดือนถัดมาเธอจำเป็นต้องย้ายเข้ามาพักในบ้านพักข้าราชการของอุทยานเพราะไม่ไหวกับการขับรถไปกลับ ระยะทางจากบ้านพักไปยังที่ทำการอุทยานไม่ไกลนัก หญิงสาวเปิดไฟฉาย แสงไฟสีขาวสว่างจ้าสาดตรงไปยังทางเดินเล็กๆ ที่มีทิวไม้น้อยใหญ่ขนาบข้าง อากาศนอกเรือนพักเย็นยะเยือก เสียงจักจั่นกรีดร้องดังระงมไปทั่ว พอผ่านกระบากต้นใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางทาง หญิงสาวก็ทอดมองไปยังตัวอาคารไม้หลังย่อมที่ยังคงเปิดไฟ ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นต้นตะเคียนที่ยืนตระหง่านอยู่ถัดไปอีกไม่กี่สิบก้าว หญิงสาวหยุดกึก ดวงตาเพ่งมองลำต้นเกือบสองคนโอบ รอบโคนต้นมีผ้าเจ็ดสีพันไว้แน่น ทอดเงาเหยียดยาวลงพื้นดินจากแสงจันทร์ขึ้นสิบค่ำที่สาดส่อง ฝนทิพย์พนมมือไหว้ตะเคียนต้นนั้น ก่อนเตรียมจะก้าวขาเดินต่อ หากแต่เสียงใบไม้ที่ดังสวบสาบอยู่หลังต้นตะเคียนก็ทำให้เธอต้องก้าวถอยหลังแทน เงาสีดำตะคุ่มเคลื่อนออกมาจากด้านหลังลำต้นสูงใหญ่ช้าๆ ฝนทิพย์สาดไฟฉายใส่ทันที !
“พี่เอง...โอ๊ย แสบตาๆ” เสียงบุรุษคนหนึ่งร้องขึ้น ฝนทิพย์ลดไฟฉายลงพื้น ความสว่างของมันเผยให้เห็นใบหน้าดำคล้ำของยงยุทธ์ที่ยืนเหรอหราอยู่ตรงหน้า ฝนทิพย์ถอนหายใจยาว ก่อนบึ่งเข้าไปหาอย่างไม่สบอารมณ์
“พี่ยุทธ์มาทำอะไรตรงนี้ดึกๆ ดื่นๆ” หญิงสาวตะเบ็งเสียงใส่ อีกฝ่ายยิ้มแห้งๆ ก่อนเอามือเกาท้ายทอย
“พี่ก็เดินเล่นไปเรื่อยตามประสาน่ะแหละ เมื่อกี้เข้าไปไหว้เจ้าแม่ตะเคียน เผื่อท่านจะให้เลขเด็ดๆ ซะหน่อย”
“ดูพูดเข้า ระวังเถอะ เดี๋ยวคืนนี้ท่านจะตามไปให้หวยพี่ถึงห้อง” ฝนทิพย์เท้าสะเอว ยงยุทธ์ผู้เป็นเจ้าหน้าที่อาสาวัยหนุ่มจึงยิงฟันหัวเราะร่า สายตาครอบครองใบหน้าสีน้ำผึ้งของฝนทิพย์
“แล้วนี่น้องฝนจะไปไหนจ๊ะ เป็นสาวเป็นแส้ ออกมาเดินกลางค่ำกลางคืนแบบนี้ไม่ดีรู้มั้ย”
“ฝนลืมโน๊ตบุ๊คส์ไว้ที่ทำการน่ะค่ะ แล้วนี่พี่กานต์ยังอยู่ใช่มั้ยคะ ?”
“อยู่จ้ะ กำลังนั่งดูบอลนัดสำคัญ แต่วันนี้พี่ง่วงเลยจะขอตัวกลับไปนอนก่อน ว่าแต่ ให้พี่ไปส่งมั้ย” ชายหนุ่มอาสา
“ไม่เป็นไรค่ะ อีกเดี๋ยวก็ถึงแล้ว” จบคำ ฝนทิพย์ก็สืบเท้าก้าวขาต่อ สำหรับเธอแล้ว ยงยุทธ์จัดว่าเป็นผู้ชายที่ไม่น่าไว้ใจ เขาชอบมองเธอด้วยแววตาเจ้าเล่ห์หลายครั้ง แต่ฝนทิพย์ทำทีเป็นไม่ใส่ใจ รวมถึงคำพูดลามกที่เธอบังเอิญได้ยินขึ้นเข้าขณะเขาคุยอยู่กับกลุ่มเจ้าหน้าที่เพื่อนชายบ่อยๆ ก็ยิ่งทำให้หญิงสาวระมัดระวังตัวทุกครั้งเวลาอยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้
เมื่อมาถึงฝนทิพย์ก็เคาะประตูไม้ของสำนักงานเบาๆ ก่อนผลักเข้าไป กานต์ที่นั่งจ้องจอทีวีอยู่หันขวับมาทันที ดวงตากลมรีบนใบหน้าสีแทนคร้ามแดดเบิกกว้าง ฝนทิพย์ยิ้มให้บางๆ เดินเนิบนาบไปยังโต๊ะทำงาน
“ฝนลืมโน้ตบุ๊คส์ไว้น่ะค่ะ พี่กานต์อย่าอยู่ดึกนักล่ะ พรุ่งนี้ต้องออกตรวจพื้นที่ไม่ใช่เหรอ”
“จ้า...นี่ก็ใกล้จะครึ่งหลังแล้ว น้องฝนไม่อยู่ดูบอลเป็นเพื่อนพี่หน่อยเหรอ” กานต์ทำเสียงอ้อน รักยิ้มบนแก้มปรากฏเมื่อชายหนุ่มอมยิ้มพร้อมทอดสายตาให้ ฝนทิพย์กระพริบตาปริบๆ ก่อนปั้นหน้าแก้ขวย
“ทำไมถึงอยู่คนเดียวไม่ได้คะ อย่าบอกนะว่าพี่กานต์กลัวผี...” จบคำ เสียงหมาหอนก็ดังแว่วมาตามสายลม พระรายพัดเอากลิ่นดอกไม้ป่าเข้ามาจากหน้าต่างที่แง้มไว้ กานต์วางรีโมทในมือลงบนโต๊ะ ริมฝีปากที่ผายยิ้มกลายเป็นปิดสนิท เขาลุกจากเก้าอี้ตรงมายังหน้าต่างของสำนักงานบานใกล้ๆ
“เสียงหมาในเหรอคะ...ปกติก็ไม่เคยได้ยินนะคะ แสดงว่าคืนนี้มันคงมาแถวนี้” ฝนทิพย์เดา ขณะที่กานต์ทอดสายตามองฝ่าความมืดออกไปภายนอกที่ทำการ เขานิ่งไปสักพัก ก่อนดึงบานประตูปิดเข้ามาจนสนิท
“น้องฝนรีบไปนอนเถอะจ้ะ เดินกลับดีๆ นะ” ชายหนุ่มหันมาบอกเสียงนุ่ม ไอมืดขุ่นมัวฉายชัดอยู่ในแววตา ฝนทิพย์เดินจากมาด้วยความเคลือบแคลง มีแสงไฟฉายสาดนำทางกลับสู่ที่พัก ก่อนที่หญิงสาวจะมาหยุดชะงักอยู่กลางทาง ห่างจากต้นตะเคียนใหญ่ไม่ถึงสิบก้าว
ฝนทิพย์ใจสั่น เงาดำทะมึนของต้นตะเคียนสาดทับลงสู่ผืนดินที่ปกคลุมด้วยใบไม้แห้งกรัง หากแต่เงานั้นกลับเคลื่อนไหวคล้ายมีชีวิต หญิงสาวรวบรวมสติให้มั่น ก่อนสาดไฟฉายตรงไปยังโคนต้น...
แสงไฟส่องกระทบวัตถุบางอย่าง สะท้อนจนฝนทิพย์สะดุดตา ความกลัวและความอยากรู้ผสมปนเปกันจนแยกไม่ออก หญิงสาวค่อยๆ เดินเข้าไปหาเจ้าวัตถุนั้น ก่อนย่อตัวลงนั่งและหยิบเอามันขึ้นมา
เป็นป้ายชื่อที่ถูกสนิมเกาะและผุกร่อนไปตามกาลเวลา ส่วนของนามสกุลขาดหายจนไม่สามารถอ่านได้ เหลือแต่ชื่อที่ตัวอักษรสุดท้ายหัวหลุดหายไป หากแต่หญิงสาวก็คงพอเดาได้ว่าชื่อนั้นน่าจะเขียนว่า ทัดดาว
รุ่งเช้าของวันใหม่ อากาศปลายเดือนมกราคมแจ่มใสเหมือนอย่างเคย ฝนทิพย์ยังคงไม่ลืมเรื่องเมื่อคืน ช่วงพักเที่ยงจึงได้โอกาสสืบถามจากพี่สมใจ เจ้าหน้าที่ป่าไม้อาวุโสคนหนึ่งในอุทยาน
“เมื่อคืนฝนเก็บป้ายชื่อได้ค่ะพี่ใจ” หญิงสาวยิงคำถามอย่างไม่รีรอ
“ป้ายชื่อเหรอจ๊ะ แล้วป้ายชื่อใครล่ะ ?”
“นามสกุลถูกลบอ่านไม่ออกแล้วค่ะ เป็นป้ายชื่อของคุณ...ทัดดาว” หญิงวัยสี่สิบห้าที่กำลังแกะเปลือกส้มเขียวหวานอยู่อย่างอารมณ์ดีถึงกับนิ่งค้าง ฝนทิพย์เห็นสีหน้าเครียดเกร็งของอีกฝ่ายก็ยิ่งเพิ่มความสงสัย
“เธอเป็นใครกันเหรอคะ ทำไมฝนถึงไม่เห็นรู้จัก หรือเธอเคยเป็นเจ้าหน้าที่อยู่ที่นี่” ระหว่างการสนทนา ฝนทิพย์นึกขำกับตัวเองอยู่ไม่น้อย กะอีแค่เก็บป้ายชื่อใครที่ไหนก็ไม่รู้ได้ เธอถึงกับเอามาเป็นเรื่องเป็นราว แต่จะว่าไปเจ้าวัตถุนั่นไม่ควรจะอยู่ตรงนั้น ทำไมมันถึงไปตกอยู่ที่ใต้ต้นตะเคียน หญิงสาวรู้สึกเหมือนมีบางอย่างผลักให้เธอไปพบมันเข้า...
สมใจนิ่งไปพักหนึ่งเหมือนกำลังใช้ความคิด ก่อนปริปากพูด “เธอเป็นนักวิชาการป่าไม้ของที่นี่จ้ะ แต่ว่า...เธอหายตัวไปเมื่อสองปีก่อน” คำพูดท้ายประโยคนั้นทำเอาฝนทิพย์ใจหายวาบ รู้สึกเหมือนถูกผลักร่างให้ตกลงสู่เหวลึก
“หายไป...จากที่นี่น่ะเหรอคะ” หญิงสาวเลิกคิ้วสูง สมใจพยักหน้าสองครั้งก่อนแบ่งส้มที่ปลอกแล้วให้อีกฝ่าย
“ไม่มีใครรู้ว่าเธอหายไปได้ยังไง แต่มีหลายคนสงสัยว่าเธอกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย”
“หน้าผา... ที่ผาเวิ้งเหวน่ะเหรอคะ” ฝนทิพย์อ้าปากค้าง หญิงต่างวัยจ้องหน้ากันก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อกานต์เปิดประตูพรึบเข้ามาอย่างแรง ทั้งสองหันขวับไปยังร่างหนาของชายหนุ่มที่กระหืดกระหอบในทันที
“มีอะไรรึเปล่าคะพี่กานต์ ท่าทางดูรีบร้อน” ฝนทิพย์ลุกจากเก้าอี้ ชายหนุ่มตรงดิ่งไปยังโต๊ะทำงาน ดึงลิ้นชักชั้นบนออกและหยิบเอากุญแจรถ
“พอดีไอ้ยุทธ์มันโทร.มาบอก ว่ามีรถของนักท่องเที่ยวยางแตกอยู่หน้าอุทยานนี่เอง เค้าไม่มียางมาเปลี่ยน พี่ก็เลยว่าจะไปช่วยซะหน่อย” กานต์หันมายิ้มให้หญิงสาว ก่อนรีบผลุนผลันวิ่งออกไป
พอคล้อยหลังชายหนุ่ม ฝนทิพย์ก็ละจากการสนทนากับสมใจ หญิงสาวเดินละลิ่วออกมาจากที่ทำการของอุทยาน มองขึ้นไปตามทางดินเล็กๆ ที่มุ่งขึ้นสู่หน้าผาอันสูงชันที่ตั้งตระหง่านบนยอดเขา ใบไม้แห้งปลายฤดูหนาวปลิดปลิวร่วงลงสู่พื้นยามถูกสายลมพัดกรรโชก หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น ขบคิดถึงเรื่องของหญิงคนนั้นด้วยความเคลือบแคลงสงสัย
ภูชิตเอาหลังมือเช็ดเหงื่อที่เปียกชุ่มหน้าผากออกเป็นรอบที่สอง หลังเป็นลูกมือแสงพงษ์ช่วยขันเอายางล้อหลังด้านซ้ายที่แบนออก ยงยุทธ์ที่บังเอิญขับมอเตอร์ไซด์ผ่านมาพบเข้า รีบหากิ่งไม้มาวางริมทางห่างจากจุดที่รถจอดเสียอยู่ราวสิบเมตร ทั้งคณะออกมายืนออกันที่ริมไหล่ทาง พอรถแสงพงษ์มาถึง ยงยุทธ์จึงตรงดิ่งไปแบกเอายางหลังกระบะรถช่วยผู้เป็นลูกพี่ลูกน้อง
“ขอบคุณมากเลยนะครับ ถ้าไม่ได้คุณเจ้าหน้าที่พวกเราคงแย่” แสงพงษ์ยกมือไหว้ขอบคุณกานต์กับยงยุทธ์ที่ยืนอยู่เคียงกัน หลังช่วยกันเปลี่ยนยางรถจนเสร็จ คณะของแสงพงษ์เดินทางมาด้วยรถยนต์สองคัน คันแรกคือรถของภูชิต ผู้เป็นเพื่อนสนิทซึ่งมากับแฟนสาวชื่อศศิและลูกชายวัยห้าขวบ ส่วนฝ่ายแสงพงษ์ก็มีสายแพรน้องสาวและกิ่งแก้วคนรักเป็นผู้โดยสาร นอกจากนี้ยังเหลือคณะของดนัยและทอฝันที่จะตามมาสมทบในตอนค่ำ ซึ่งทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนรักของแสงพงษ์
สายแพรกลับไปหยิบเอาน้ำดื่มสองขวดมาส่งให้กับกานต์และยงยุทธ์ ทั้งคู่รับมาพร้อมคลายยิ้ม กานต์รีบเปิดขวดดื่มแก้กระหาย ขณะที่ยงยุทธ์ยังคงลอบมองเรือนหน้าเนียนใสของสายแพรเป็นระยะ
“เดี๋ยวพวกคุณขับตามผมขึ้นมานะครับ ผมจะนำขึ้นอุทยานเอง” กานต์เอ่ยขึ้น ยงยุทธ์จึงหันไปส่งยิ้มให้กับสายแพรก่อนกึ่งวิ่งไปยังรถมอเตอร์ไซด์คันเก่า ขับล่วงหน้าไปก่อน กานต์กลับมาที่รถกระบะก่อนขับนำหน้าทั้งคณะไป
สายแพรลดกระจกลงเมื่อกลับเข้ามาอยู่ภายในตัวรถ แสงพงษ์ผู้เป็นสารถีหันไปคุยกับกิ่งแก้วครู่หนึ่งขณะขับตามรถของกานต์ขึ้นสู่อุทยาน แวบแรกที่รถเสียหลักสายแพรก็อดใจเสียไม่ได้ แต่ยังนับว่าเคราะห์ดีที่พี่ชายยังประคองรถไว้ได้ เหตุร้ายได้ล่วงผ่านไปแล้ว และบัดนี้เธอกำลังเข้าสู่เขตอุทยานแล้ว เงาพฤกษชาติริมขอบทางเริ่มหนาตา สายแพรทอดสายตมองไปตามทางด้วยหัวใจเบิกบาน กระทั่งรถเคลื่อนผ่านป้ายขนาดใหญ่ที่จารึกชื่ออุทยานแห่งนี้ หญิงสาวก็คลี่ยิ้มด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งว่าในที่สุดเธอก็ได้มาสมใจ รถยนต์เคลื่อนไปช้าๆ ตามหนทางที่เคี้ยวคดลดเลี้ยว สายแพรยังคงไม่ละสายตาจากดงไพร เธอทอดมองออกไปด้วยหัวใจที่ปรารถอยากออกไปค้นหาความลับในป่าใหญ่ จนกระทั่งเหลือบไปเห็นสตรีร่างบางคนหนึ่ง ทรุดนั่งพนมมืออยู่ด้านหน้าต้นไม้ใหญ่ที่มีผ้าเจ็ดสีพันไว้โดยรอบ จุดนั้นอยู่ห่างจากถนนราวห้าสิบเมตร เป็นแวบเดียวที่สายแพรเห็นเธอ และบังเกิดความเคลือบแคลงสงสัยขึ้นมาในทันที แต่ความกระหายใคร่รู้นั้นกลับถูกฟันฉับ เพราะเมื่อรถเคลื่อนต่อไปเรื่อยๆ ต้นไม้น้อยใหญ่ก็บดบังทำให้มองไม่เห็นร่างนั้นอีก
ฝนทิพย์นั่งนิ่งอยู่ด้านหน้าของต้นตะเคียนใหญ่ เธอเดินวนกลับมาที่นี่อีกครั้งราวกับต้องมนตร์ หญิงสาวพนมมือและก้มลงกราบต้นไม้ยักษ์ ก่อนเบิกตากว้างไล่จากโคนต้นขึ้นไปด้านบน กิ่งก้านแผ่สาขาปกคลุมยิ่งใหญ่ให้ร่มเงา บดบังแสงอาทิตย์ยามเที่ยงวันอันร้อนแรง หญิงสาวไม่เคยขอร้องอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้มาก่อน แต่หากจะกล่าวให้ถูก นี่คงไม่ถือว่าเป็นการอ้อนวอน เพราะเธอเพียงแค่ปรารถนาอยากรู้เรื่องราวที่สงสัยให้กระจ่างเท่านั้นเอง
“เจ้าแม่นำหนูให้มาพบกับป้ายชื่อของเธอ เจ้าแม่ต้องการบอกอะไรหนูเหรอคะ คืนนั้นและทั้งวันนี้หนูเฝ้าคิดถึงแต่เรื่องของเธอไม่หยุด เจ้าแม่ต้องการจะบอกอะไรหนูงั้นหรือ ต้องการให้หนูทำอะไร... ต้องการให้หนูตามหาเธองั้นหรือคะ”
ฝนทิพย์หลับตาก้มหน้านิ่งทำสมาธิ พยายามจะรับรู้หากว่าเจ้าแม่ตะเคียนต้องการจะสื่อสารบางอย่างแก่เธอ หากแต่ว่าไม่ทันไรหญิงสาวก็ต้องเบิกตาโพลง เสียงหัวร่อต่อกระซิกของชายหญิงดังแว่วมาจากด้านหน้าของอุทยาน
ภูผาอาถรรพ์ ตอนที่ ๒ เงาตะเคียน
http://ppantip.com/topic/31749030
ฝนทิพย์หยิบเอาดอกจำปีป่าที่หล่นเกลื่อนพื้นขึ้นมาหอมเบาๆ ภายหลังจากออกไปเดินเล่นในป่าไม่ห่างจากที่ทำการอุทยานนัก หญิงสาวยอมรับว่าดีใจมากที่ได้บรรจุเป็นข้าราชการกรมป่าไม้ ตำแหน่งเจ้าพนักงานประชาสัมพันธ์ นี่เป็นงานที่มั่นคงดังที่ครอบครัวของเธอปรารถนาจะให้เธอเป็น ด้วยที่บิดาเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้วัยปลดเกษียณ การที่เห็นลูกสาวคนเดียวใช้ชีวิตทำงานบริษัทเอกชนอยู่เมืองใหญ่อันวุ่นวายจึงทำให้อดกังวลไม่ได้ แต่หลังจากที่ฝนทิพย์สอบติดและได้บรรจุเรียบร้อย บิดาก็ถึงกับรับขวัญโดยการถอยรถกระบะคันใหม่ให้เป็นของขวัญ
ฝนทิพย์ไม่ใช่คนขี้กลัว เธอเติบโตมากับป่าเขาตั้งแต่เด็ก ด้วยพื้นเพเป็นคนนครนายกและเคยตามบิดาเข้าป่าบ่อยๆ สมัยก่อนเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ หากแต่การต้องขับรถกลับไปนอนบ้านทุกคืน ต้องข้ามเขาไปไม่รู้กี่ลูก ซึ่งกว่าจะกลับถึงบ้านก็เล่นเอามืดค่ำ นั่นเสียอีกที่ทำให้เธอกังวล เพราะกลัวจะเกิดอุบัติเหตุเข้าให้สักวัน
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ฝนก็กลับแล้วค่ะพ่อ พ่ออย่าลืมกินยานะ แล้วก็ฝากดูแลกล้วยไม้หน้าบ้านให้ฝนด้วย” หญิงสาววัยยี่สิบห้าปีบอกเสียงใส หลังกลับเข้ามาภายในที่พัก ปลายสายรับคำก่อนวางหูไป ฝนทิพย์จึงดิ่งยังมาโต๊ะเขียนหนังสือ ก่อนเลิกคิ้วสูงเมื่อนึกได้ว่าลืมโน้ตบุ๊คส์ไว้ที่ทำการอุทยาน เธอคว้าเอาเสื้อกันหนาวตัวเขื่องมาสวมใส่ ก่อนหยิบเอาไฟฉายอันเล็กติดมือไปด้วย
ความจริงระยะแรกเธอเทียวไปเทียวมาทุกวัน แต่เดือนถัดมาเธอจำเป็นต้องย้ายเข้ามาพักในบ้านพักข้าราชการของอุทยานเพราะไม่ไหวกับการขับรถไปกลับ ระยะทางจากบ้านพักไปยังที่ทำการอุทยานไม่ไกลนัก หญิงสาวเปิดไฟฉาย แสงไฟสีขาวสว่างจ้าสาดตรงไปยังทางเดินเล็กๆ ที่มีทิวไม้น้อยใหญ่ขนาบข้าง อากาศนอกเรือนพักเย็นยะเยือก เสียงจักจั่นกรีดร้องดังระงมไปทั่ว พอผ่านกระบากต้นใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางทาง หญิงสาวก็ทอดมองไปยังตัวอาคารไม้หลังย่อมที่ยังคงเปิดไฟ ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นต้นตะเคียนที่ยืนตระหง่านอยู่ถัดไปอีกไม่กี่สิบก้าว หญิงสาวหยุดกึก ดวงตาเพ่งมองลำต้นเกือบสองคนโอบ รอบโคนต้นมีผ้าเจ็ดสีพันไว้แน่น ทอดเงาเหยียดยาวลงพื้นดินจากแสงจันทร์ขึ้นสิบค่ำที่สาดส่อง ฝนทิพย์พนมมือไหว้ตะเคียนต้นนั้น ก่อนเตรียมจะก้าวขาเดินต่อ หากแต่เสียงใบไม้ที่ดังสวบสาบอยู่หลังต้นตะเคียนก็ทำให้เธอต้องก้าวถอยหลังแทน เงาสีดำตะคุ่มเคลื่อนออกมาจากด้านหลังลำต้นสูงใหญ่ช้าๆ ฝนทิพย์สาดไฟฉายใส่ทันที !
“พี่เอง...โอ๊ย แสบตาๆ” เสียงบุรุษคนหนึ่งร้องขึ้น ฝนทิพย์ลดไฟฉายลงพื้น ความสว่างของมันเผยให้เห็นใบหน้าดำคล้ำของยงยุทธ์ที่ยืนเหรอหราอยู่ตรงหน้า ฝนทิพย์ถอนหายใจยาว ก่อนบึ่งเข้าไปหาอย่างไม่สบอารมณ์
“พี่ยุทธ์มาทำอะไรตรงนี้ดึกๆ ดื่นๆ” หญิงสาวตะเบ็งเสียงใส่ อีกฝ่ายยิ้มแห้งๆ ก่อนเอามือเกาท้ายทอย
“พี่ก็เดินเล่นไปเรื่อยตามประสาน่ะแหละ เมื่อกี้เข้าไปไหว้เจ้าแม่ตะเคียน เผื่อท่านจะให้เลขเด็ดๆ ซะหน่อย”
“ดูพูดเข้า ระวังเถอะ เดี๋ยวคืนนี้ท่านจะตามไปให้หวยพี่ถึงห้อง” ฝนทิพย์เท้าสะเอว ยงยุทธ์ผู้เป็นเจ้าหน้าที่อาสาวัยหนุ่มจึงยิงฟันหัวเราะร่า สายตาครอบครองใบหน้าสีน้ำผึ้งของฝนทิพย์
“แล้วนี่น้องฝนจะไปไหนจ๊ะ เป็นสาวเป็นแส้ ออกมาเดินกลางค่ำกลางคืนแบบนี้ไม่ดีรู้มั้ย”
“ฝนลืมโน๊ตบุ๊คส์ไว้ที่ทำการน่ะค่ะ แล้วนี่พี่กานต์ยังอยู่ใช่มั้ยคะ ?”
“อยู่จ้ะ กำลังนั่งดูบอลนัดสำคัญ แต่วันนี้พี่ง่วงเลยจะขอตัวกลับไปนอนก่อน ว่าแต่ ให้พี่ไปส่งมั้ย” ชายหนุ่มอาสา
“ไม่เป็นไรค่ะ อีกเดี๋ยวก็ถึงแล้ว” จบคำ ฝนทิพย์ก็สืบเท้าก้าวขาต่อ สำหรับเธอแล้ว ยงยุทธ์จัดว่าเป็นผู้ชายที่ไม่น่าไว้ใจ เขาชอบมองเธอด้วยแววตาเจ้าเล่ห์หลายครั้ง แต่ฝนทิพย์ทำทีเป็นไม่ใส่ใจ รวมถึงคำพูดลามกที่เธอบังเอิญได้ยินขึ้นเข้าขณะเขาคุยอยู่กับกลุ่มเจ้าหน้าที่เพื่อนชายบ่อยๆ ก็ยิ่งทำให้หญิงสาวระมัดระวังตัวทุกครั้งเวลาอยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้
เมื่อมาถึงฝนทิพย์ก็เคาะประตูไม้ของสำนักงานเบาๆ ก่อนผลักเข้าไป กานต์ที่นั่งจ้องจอทีวีอยู่หันขวับมาทันที ดวงตากลมรีบนใบหน้าสีแทนคร้ามแดดเบิกกว้าง ฝนทิพย์ยิ้มให้บางๆ เดินเนิบนาบไปยังโต๊ะทำงาน
“ฝนลืมโน้ตบุ๊คส์ไว้น่ะค่ะ พี่กานต์อย่าอยู่ดึกนักล่ะ พรุ่งนี้ต้องออกตรวจพื้นที่ไม่ใช่เหรอ”
“จ้า...นี่ก็ใกล้จะครึ่งหลังแล้ว น้องฝนไม่อยู่ดูบอลเป็นเพื่อนพี่หน่อยเหรอ” กานต์ทำเสียงอ้อน รักยิ้มบนแก้มปรากฏเมื่อชายหนุ่มอมยิ้มพร้อมทอดสายตาให้ ฝนทิพย์กระพริบตาปริบๆ ก่อนปั้นหน้าแก้ขวย
“ทำไมถึงอยู่คนเดียวไม่ได้คะ อย่าบอกนะว่าพี่กานต์กลัวผี...” จบคำ เสียงหมาหอนก็ดังแว่วมาตามสายลม พระรายพัดเอากลิ่นดอกไม้ป่าเข้ามาจากหน้าต่างที่แง้มไว้ กานต์วางรีโมทในมือลงบนโต๊ะ ริมฝีปากที่ผายยิ้มกลายเป็นปิดสนิท เขาลุกจากเก้าอี้ตรงมายังหน้าต่างของสำนักงานบานใกล้ๆ
“เสียงหมาในเหรอคะ...ปกติก็ไม่เคยได้ยินนะคะ แสดงว่าคืนนี้มันคงมาแถวนี้” ฝนทิพย์เดา ขณะที่กานต์ทอดสายตามองฝ่าความมืดออกไปภายนอกที่ทำการ เขานิ่งไปสักพัก ก่อนดึงบานประตูปิดเข้ามาจนสนิท
“น้องฝนรีบไปนอนเถอะจ้ะ เดินกลับดีๆ นะ” ชายหนุ่มหันมาบอกเสียงนุ่ม ไอมืดขุ่นมัวฉายชัดอยู่ในแววตา ฝนทิพย์เดินจากมาด้วยความเคลือบแคลง มีแสงไฟฉายสาดนำทางกลับสู่ที่พัก ก่อนที่หญิงสาวจะมาหยุดชะงักอยู่กลางทาง ห่างจากต้นตะเคียนใหญ่ไม่ถึงสิบก้าว
ฝนทิพย์ใจสั่น เงาดำทะมึนของต้นตะเคียนสาดทับลงสู่ผืนดินที่ปกคลุมด้วยใบไม้แห้งกรัง หากแต่เงานั้นกลับเคลื่อนไหวคล้ายมีชีวิต หญิงสาวรวบรวมสติให้มั่น ก่อนสาดไฟฉายตรงไปยังโคนต้น...
แสงไฟส่องกระทบวัตถุบางอย่าง สะท้อนจนฝนทิพย์สะดุดตา ความกลัวและความอยากรู้ผสมปนเปกันจนแยกไม่ออก หญิงสาวค่อยๆ เดินเข้าไปหาเจ้าวัตถุนั้น ก่อนย่อตัวลงนั่งและหยิบเอามันขึ้นมา
เป็นป้ายชื่อที่ถูกสนิมเกาะและผุกร่อนไปตามกาลเวลา ส่วนของนามสกุลขาดหายจนไม่สามารถอ่านได้ เหลือแต่ชื่อที่ตัวอักษรสุดท้ายหัวหลุดหายไป หากแต่หญิงสาวก็คงพอเดาได้ว่าชื่อนั้นน่าจะเขียนว่า ทัดดาว
รุ่งเช้าของวันใหม่ อากาศปลายเดือนมกราคมแจ่มใสเหมือนอย่างเคย ฝนทิพย์ยังคงไม่ลืมเรื่องเมื่อคืน ช่วงพักเที่ยงจึงได้โอกาสสืบถามจากพี่สมใจ เจ้าหน้าที่ป่าไม้อาวุโสคนหนึ่งในอุทยาน
“เมื่อคืนฝนเก็บป้ายชื่อได้ค่ะพี่ใจ” หญิงสาวยิงคำถามอย่างไม่รีรอ
“ป้ายชื่อเหรอจ๊ะ แล้วป้ายชื่อใครล่ะ ?”
“นามสกุลถูกลบอ่านไม่ออกแล้วค่ะ เป็นป้ายชื่อของคุณ...ทัดดาว” หญิงวัยสี่สิบห้าที่กำลังแกะเปลือกส้มเขียวหวานอยู่อย่างอารมณ์ดีถึงกับนิ่งค้าง ฝนทิพย์เห็นสีหน้าเครียดเกร็งของอีกฝ่ายก็ยิ่งเพิ่มความสงสัย
“เธอเป็นใครกันเหรอคะ ทำไมฝนถึงไม่เห็นรู้จัก หรือเธอเคยเป็นเจ้าหน้าที่อยู่ที่นี่” ระหว่างการสนทนา ฝนทิพย์นึกขำกับตัวเองอยู่ไม่น้อย กะอีแค่เก็บป้ายชื่อใครที่ไหนก็ไม่รู้ได้ เธอถึงกับเอามาเป็นเรื่องเป็นราว แต่จะว่าไปเจ้าวัตถุนั่นไม่ควรจะอยู่ตรงนั้น ทำไมมันถึงไปตกอยู่ที่ใต้ต้นตะเคียน หญิงสาวรู้สึกเหมือนมีบางอย่างผลักให้เธอไปพบมันเข้า...
สมใจนิ่งไปพักหนึ่งเหมือนกำลังใช้ความคิด ก่อนปริปากพูด “เธอเป็นนักวิชาการป่าไม้ของที่นี่จ้ะ แต่ว่า...เธอหายตัวไปเมื่อสองปีก่อน” คำพูดท้ายประโยคนั้นทำเอาฝนทิพย์ใจหายวาบ รู้สึกเหมือนถูกผลักร่างให้ตกลงสู่เหวลึก
“หายไป...จากที่นี่น่ะเหรอคะ” หญิงสาวเลิกคิ้วสูง สมใจพยักหน้าสองครั้งก่อนแบ่งส้มที่ปลอกแล้วให้อีกฝ่าย
“ไม่มีใครรู้ว่าเธอหายไปได้ยังไง แต่มีหลายคนสงสัยว่าเธอกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย”
“หน้าผา... ที่ผาเวิ้งเหวน่ะเหรอคะ” ฝนทิพย์อ้าปากค้าง หญิงต่างวัยจ้องหน้ากันก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อกานต์เปิดประตูพรึบเข้ามาอย่างแรง ทั้งสองหันขวับไปยังร่างหนาของชายหนุ่มที่กระหืดกระหอบในทันที
“มีอะไรรึเปล่าคะพี่กานต์ ท่าทางดูรีบร้อน” ฝนทิพย์ลุกจากเก้าอี้ ชายหนุ่มตรงดิ่งไปยังโต๊ะทำงาน ดึงลิ้นชักชั้นบนออกและหยิบเอากุญแจรถ
“พอดีไอ้ยุทธ์มันโทร.มาบอก ว่ามีรถของนักท่องเที่ยวยางแตกอยู่หน้าอุทยานนี่เอง เค้าไม่มียางมาเปลี่ยน พี่ก็เลยว่าจะไปช่วยซะหน่อย” กานต์หันมายิ้มให้หญิงสาว ก่อนรีบผลุนผลันวิ่งออกไป
พอคล้อยหลังชายหนุ่ม ฝนทิพย์ก็ละจากการสนทนากับสมใจ หญิงสาวเดินละลิ่วออกมาจากที่ทำการของอุทยาน มองขึ้นไปตามทางดินเล็กๆ ที่มุ่งขึ้นสู่หน้าผาอันสูงชันที่ตั้งตระหง่านบนยอดเขา ใบไม้แห้งปลายฤดูหนาวปลิดปลิวร่วงลงสู่พื้นยามถูกสายลมพัดกรรโชก หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น ขบคิดถึงเรื่องของหญิงคนนั้นด้วยความเคลือบแคลงสงสัย
ภูชิตเอาหลังมือเช็ดเหงื่อที่เปียกชุ่มหน้าผากออกเป็นรอบที่สอง หลังเป็นลูกมือแสงพงษ์ช่วยขันเอายางล้อหลังด้านซ้ายที่แบนออก ยงยุทธ์ที่บังเอิญขับมอเตอร์ไซด์ผ่านมาพบเข้า รีบหากิ่งไม้มาวางริมทางห่างจากจุดที่รถจอดเสียอยู่ราวสิบเมตร ทั้งคณะออกมายืนออกันที่ริมไหล่ทาง พอรถแสงพงษ์มาถึง ยงยุทธ์จึงตรงดิ่งไปแบกเอายางหลังกระบะรถช่วยผู้เป็นลูกพี่ลูกน้อง
“ขอบคุณมากเลยนะครับ ถ้าไม่ได้คุณเจ้าหน้าที่พวกเราคงแย่” แสงพงษ์ยกมือไหว้ขอบคุณกานต์กับยงยุทธ์ที่ยืนอยู่เคียงกัน หลังช่วยกันเปลี่ยนยางรถจนเสร็จ คณะของแสงพงษ์เดินทางมาด้วยรถยนต์สองคัน คันแรกคือรถของภูชิต ผู้เป็นเพื่อนสนิทซึ่งมากับแฟนสาวชื่อศศิและลูกชายวัยห้าขวบ ส่วนฝ่ายแสงพงษ์ก็มีสายแพรน้องสาวและกิ่งแก้วคนรักเป็นผู้โดยสาร นอกจากนี้ยังเหลือคณะของดนัยและทอฝันที่จะตามมาสมทบในตอนค่ำ ซึ่งทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนรักของแสงพงษ์
สายแพรกลับไปหยิบเอาน้ำดื่มสองขวดมาส่งให้กับกานต์และยงยุทธ์ ทั้งคู่รับมาพร้อมคลายยิ้ม กานต์รีบเปิดขวดดื่มแก้กระหาย ขณะที่ยงยุทธ์ยังคงลอบมองเรือนหน้าเนียนใสของสายแพรเป็นระยะ
“เดี๋ยวพวกคุณขับตามผมขึ้นมานะครับ ผมจะนำขึ้นอุทยานเอง” กานต์เอ่ยขึ้น ยงยุทธ์จึงหันไปส่งยิ้มให้กับสายแพรก่อนกึ่งวิ่งไปยังรถมอเตอร์ไซด์คันเก่า ขับล่วงหน้าไปก่อน กานต์กลับมาที่รถกระบะก่อนขับนำหน้าทั้งคณะไป
สายแพรลดกระจกลงเมื่อกลับเข้ามาอยู่ภายในตัวรถ แสงพงษ์ผู้เป็นสารถีหันไปคุยกับกิ่งแก้วครู่หนึ่งขณะขับตามรถของกานต์ขึ้นสู่อุทยาน แวบแรกที่รถเสียหลักสายแพรก็อดใจเสียไม่ได้ แต่ยังนับว่าเคราะห์ดีที่พี่ชายยังประคองรถไว้ได้ เหตุร้ายได้ล่วงผ่านไปแล้ว และบัดนี้เธอกำลังเข้าสู่เขตอุทยานแล้ว เงาพฤกษชาติริมขอบทางเริ่มหนาตา สายแพรทอดสายตมองไปตามทางด้วยหัวใจเบิกบาน กระทั่งรถเคลื่อนผ่านป้ายขนาดใหญ่ที่จารึกชื่ออุทยานแห่งนี้ หญิงสาวก็คลี่ยิ้มด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งว่าในที่สุดเธอก็ได้มาสมใจ รถยนต์เคลื่อนไปช้าๆ ตามหนทางที่เคี้ยวคดลดเลี้ยว สายแพรยังคงไม่ละสายตาจากดงไพร เธอทอดมองออกไปด้วยหัวใจที่ปรารถอยากออกไปค้นหาความลับในป่าใหญ่ จนกระทั่งเหลือบไปเห็นสตรีร่างบางคนหนึ่ง ทรุดนั่งพนมมืออยู่ด้านหน้าต้นไม้ใหญ่ที่มีผ้าเจ็ดสีพันไว้โดยรอบ จุดนั้นอยู่ห่างจากถนนราวห้าสิบเมตร เป็นแวบเดียวที่สายแพรเห็นเธอ และบังเกิดความเคลือบแคลงสงสัยขึ้นมาในทันที แต่ความกระหายใคร่รู้นั้นกลับถูกฟันฉับ เพราะเมื่อรถเคลื่อนต่อไปเรื่อยๆ ต้นไม้น้อยใหญ่ก็บดบังทำให้มองไม่เห็นร่างนั้นอีก
ฝนทิพย์นั่งนิ่งอยู่ด้านหน้าของต้นตะเคียนใหญ่ เธอเดินวนกลับมาที่นี่อีกครั้งราวกับต้องมนตร์ หญิงสาวพนมมือและก้มลงกราบต้นไม้ยักษ์ ก่อนเบิกตากว้างไล่จากโคนต้นขึ้นไปด้านบน กิ่งก้านแผ่สาขาปกคลุมยิ่งใหญ่ให้ร่มเงา บดบังแสงอาทิตย์ยามเที่ยงวันอันร้อนแรง หญิงสาวไม่เคยขอร้องอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้มาก่อน แต่หากจะกล่าวให้ถูก นี่คงไม่ถือว่าเป็นการอ้อนวอน เพราะเธอเพียงแค่ปรารถนาอยากรู้เรื่องราวที่สงสัยให้กระจ่างเท่านั้นเอง
“เจ้าแม่นำหนูให้มาพบกับป้ายชื่อของเธอ เจ้าแม่ต้องการบอกอะไรหนูเหรอคะ คืนนั้นและทั้งวันนี้หนูเฝ้าคิดถึงแต่เรื่องของเธอไม่หยุด เจ้าแม่ต้องการจะบอกอะไรหนูงั้นหรือ ต้องการให้หนูทำอะไร... ต้องการให้หนูตามหาเธองั้นหรือคะ”
ฝนทิพย์หลับตาก้มหน้านิ่งทำสมาธิ พยายามจะรับรู้หากว่าเจ้าแม่ตะเคียนต้องการจะสื่อสารบางอย่างแก่เธอ หากแต่ว่าไม่ทันไรหญิงสาวก็ต้องเบิกตาโพลง เสียงหัวร่อต่อกระซิกของชายหญิงดังแว่วมาจากด้านหน้าของอุทยาน