ความทุกข์เป็นอย่างไร?
ความทุกข์ที่พระพุทธเจ้าสอนนี้คือ ความทุกข์ของจิตใจ (ไม่ใช่ความทุกข์ทางร่างกาย). ซึ่งเป็น ความรู้สึกที่ทนได้ยาก หรือ ทนได้ลำบาก, หรือ ทรมาน, หรือ บีบครั้น. จึงไม่มีใครอยากมีความทุกข์
ความทุกข์มีหลายอาการ ได้แก่ ความเศร้าโศก, ความเสียใจ, ความเร่าร้อนใจ, ความแห้งเหี่ยวใจ, ความอึดอัดใจ, ความคับแค้นใจ, ความตรอมใจ, ความกลุ่มใจ, ความไม่สบายใจ, ความเร่าร้อนใจ, ความอึดอัดใจ, ความหนักใจ, ความเหนื่อยใจ เป็นต้น. ที่แสดงออกมาเป็น การร้องไห้, การคร่ำครวญ, ความบ้าครั่ง (เสียสติ), และซึมเศร้า (ห่อเหี่ยว). เป็นต้น. ถ้ามีมากเกินไปจะทำให้อยากตายเพื่อหนีความทุกข์
อาการของความทุกข์ทั้งหมดนี้ จะเกิดขึ้นมาพร้อมกับ : ความทุกข์ของร่างกาย (เช่น หิว, กระหาย, เหนื่อย, เจ็บ), ความแก่ของร่างกาย, ความตายของร่างกาย (กำลังจะตาย หรือรู้ว่าจะต้องตาย), ความพลัดพรากจากบุคคลหรือสิ่งที่เรารัก หรือพอใจ, ความต้องประสบกับบุคคลหรือสิ่งที่เราเกลียด หรือกลัว หรือไม่พอใจ, และความผิดหวัง (เมื่ออยากจะได้สิ่งใดแล้วไม่ได้สิ่งนั้นตามที่อยากจะได้) ซึ่งความทุกข์เหล่านี้ ในอดีตเราทุกคนย่อมเคยประสบมาแล้ว และอาจเกิดอยู่ในปัจจุบัน (หรือขณะนี้) รวมทั้งมันยังรอเราอยู่ในอนาคตอีกด้วย.
ความทุกข์ที่น่ากลัวที่สุด คือความทุกข์จากความตาย ที่ในอนาคตไม่ช้าก็เร็ว มันจะต้องเกิดขึ้นกับชีวิตของเราทุกคนอย่างแน่นอน แม้ใครจะมีทรัพย์สมบัติมากมายสักเท่าใด หรือมีเกียรติยศ มีชื่อเสียง หรือมีอำนาจมากมายสักเท่าใด ก็ยังต้องตาย. ทรัพย์สมบัติ หรือเกียรติยศ หรือชื่อเสียง หรืออำนาจเหล่านี้ ไม่สามารถช่วยให้จิตใจหลุดพ้นจากความทุกข์เพราะความตายได้ ในทางตรงกันข้าม ความยึดติดด้วยความพอใจในสิ่งเหล่านี้ ยิ่งทำให้จิตใจมีความทุกข์รุนแรงมากขึ้น เมื่อต้องตายจากสิ่งเหล่านี้ไป.
ดังนั้นถ้าใครสามารถตายโดยไม่มีความทุกข์ทางจิตใจแม้เพียงเล็กน้อยได้ ก็เท่ากับว่าเขาโชคดีอย่างที่สุดแล้ว. ซึ่งความรู้อริยสัจของพระพุทธเจ้านี่เอง ที่จะช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ที่น่ากลัวที่สุดจากความตายได้ และเมื่อความรู้อริยสัจที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าก็มีอยู่แล้ว เราจึงไม่ควรประมาท ควรรีบศึกษาเสียแต่เนิ่นๆ เพื่อที่เมื่อความตายมาถึงเราจะได้ไม่มีความทุกข์ หรือมีความทุกข์น้อยอย่างมาก แต่ถ้าเราประมาท แล้วไม่รีบศึกษา ก็จะสายเกินไป เพราะเมื่อความตายมาถึง เราจะไม่สามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ที่น่ากลัวที่สุดนี้ได้.
ความทุกข์เป็นอย่างไร?
ความทุกข์ที่พระพุทธเจ้าสอนนี้คือ ความทุกข์ของจิตใจ (ไม่ใช่ความทุกข์ทางร่างกาย). ซึ่งเป็น ความรู้สึกที่ทนได้ยาก หรือ ทนได้ลำบาก, หรือ ทรมาน, หรือ บีบครั้น. จึงไม่มีใครอยากมีความทุกข์
ความทุกข์มีหลายอาการ ได้แก่ ความเศร้าโศก, ความเสียใจ, ความเร่าร้อนใจ, ความแห้งเหี่ยวใจ, ความอึดอัดใจ, ความคับแค้นใจ, ความตรอมใจ, ความกลุ่มใจ, ความไม่สบายใจ, ความเร่าร้อนใจ, ความอึดอัดใจ, ความหนักใจ, ความเหนื่อยใจ เป็นต้น. ที่แสดงออกมาเป็น การร้องไห้, การคร่ำครวญ, ความบ้าครั่ง (เสียสติ), และซึมเศร้า (ห่อเหี่ยว). เป็นต้น. ถ้ามีมากเกินไปจะทำให้อยากตายเพื่อหนีความทุกข์
อาการของความทุกข์ทั้งหมดนี้ จะเกิดขึ้นมาพร้อมกับ : ความทุกข์ของร่างกาย (เช่น หิว, กระหาย, เหนื่อย, เจ็บ), ความแก่ของร่างกาย, ความตายของร่างกาย (กำลังจะตาย หรือรู้ว่าจะต้องตาย), ความพลัดพรากจากบุคคลหรือสิ่งที่เรารัก หรือพอใจ, ความต้องประสบกับบุคคลหรือสิ่งที่เราเกลียด หรือกลัว หรือไม่พอใจ, และความผิดหวัง (เมื่ออยากจะได้สิ่งใดแล้วไม่ได้สิ่งนั้นตามที่อยากจะได้) ซึ่งความทุกข์เหล่านี้ ในอดีตเราทุกคนย่อมเคยประสบมาแล้ว และอาจเกิดอยู่ในปัจจุบัน (หรือขณะนี้) รวมทั้งมันยังรอเราอยู่ในอนาคตอีกด้วย.
ความทุกข์ที่น่ากลัวที่สุด คือความทุกข์จากความตาย ที่ในอนาคตไม่ช้าก็เร็ว มันจะต้องเกิดขึ้นกับชีวิตของเราทุกคนอย่างแน่นอน แม้ใครจะมีทรัพย์สมบัติมากมายสักเท่าใด หรือมีเกียรติยศ มีชื่อเสียง หรือมีอำนาจมากมายสักเท่าใด ก็ยังต้องตาย. ทรัพย์สมบัติ หรือเกียรติยศ หรือชื่อเสียง หรืออำนาจเหล่านี้ ไม่สามารถช่วยให้จิตใจหลุดพ้นจากความทุกข์เพราะความตายได้ ในทางตรงกันข้าม ความยึดติดด้วยความพอใจในสิ่งเหล่านี้ ยิ่งทำให้จิตใจมีความทุกข์รุนแรงมากขึ้น เมื่อต้องตายจากสิ่งเหล่านี้ไป.
ดังนั้นถ้าใครสามารถตายโดยไม่มีความทุกข์ทางจิตใจแม้เพียงเล็กน้อยได้ ก็เท่ากับว่าเขาโชคดีอย่างที่สุดแล้ว. ซึ่งความรู้อริยสัจของพระพุทธเจ้านี่เอง ที่จะช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ที่น่ากลัวที่สุดจากความตายได้ และเมื่อความรู้อริยสัจที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าก็มีอยู่แล้ว เราจึงไม่ควรประมาท ควรรีบศึกษาเสียแต่เนิ่นๆ เพื่อที่เมื่อความตายมาถึงเราจะได้ไม่มีความทุกข์ หรือมีความทุกข์น้อยอย่างมาก แต่ถ้าเราประมาท แล้วไม่รีบศึกษา ก็จะสายเกินไป เพราะเมื่อความตายมาถึง เราจะไม่สามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ที่น่ากลัวที่สุดนี้ได้.