สวัสดีครับ
ผมอ่านกระทู้ และความเห็นในกระทู้ มานานพอสมควร สังเกตุดูพอจะสรุปได้
อย่างหนึ่งว่า ผู้นั่งหลับตาปฎิบัติ จะเข้าใจคำว่า "ฌาน" "สมาธิ" "ญาณ" "ปัญญา"
ในพระสูตร ไม่เหมือนกันกับผู้ "ลืมตาปฎิบัติ" ในพระสูตรเดียวกัน
และผู้หลับตาปฎิบัติเหมือนกัน ก็จะเข้าใจคำเหล่านี้ ต่างกันไปอีก และยังไม่
เจอผู้ปฎิบัติแบบลืมตาเปิดทวารทั้ง6ไว้ สติตื่นเต็มร้อยกำจัดนิวรณ์5 อยู่ เนือง ๆ ปฎิบัติ
ไปพร้อมกับการดำเนินชีวิตประจำวัน อ่านกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม
แล้วปรับเปลี่ยนโดยทำใจในใจให้มันเป็นสัมมา
ปฎิบัติเป็น "ปัจจุบันธรรม" ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูก..........ฯ เกิด "เวทนา" สุข-ทุกข์
ชอบ-ชัง ดูด-ผลัก ที่ใจ เมื่อรู้ว่า "กิเลส" ม้นเกิด ก็ปฎิบัติ "อริยสัจ4" รู้ทุกข์ หาเหตุแห่งทุกข์ เจอ
เหตุแล้วก็ดับมันด้วยมรรค มันดับเราก็รู้ว่ามันดับ .... ก็ปฎิบัติ ซ้ำแบบนี้ทุกครั้งที่ "กิเลส" หรือ "ทุกข์ "
มันเกิด ทำบ่อย ๆ ก็เกิดความชำนาญ เหมือนผู้ทำงานอาชีพต่าง ๆ เมื่อเราปฎิบัติอย่างนี้ กิเลส/ทุกข์
มันก็จะเบาบาง จางคลายลงเรื่อย ๆ ตัวไหนเคยดับมันได้สนิทแล้ว มันก็จะไม่มาเกิดอีก หรือถ้ายังเหลือ
มันโผล่หัวมา เราก็ปฎิบัติซ้ำ มันก็จะดับสนิท
ฌาน สมาธิ ญาณ ปัญญา วิชชา จะเกิดอยู่ตลอด ด้วยการปฎิบัติที่กล่าวแล้วข้างต้น โดยลืมตาปฎิบัติ
ในชีวิตประจำวัน
ส่วนหลับตา ปลีกตัวไปปฎิบัติจากการใช้ชีวิตประจำวัน ปิดทวาร5ไว้ เปิดทวารใจไว้ทวารเดียว "เวทนา36" ที่เป็น "ปัจจุบัน
ธรรม" ไม่เกิด แล้วจะปฎิบัติ "อริยสัจ4" อย่างไร เพราะหลับตาจะมีแต่ "เวทนาอดีต36" กับ "เวทนาอนาคต36" เท่านั้นที่เกิด(ดู
เวทนา108)
และหลับตาไปได้ฌานมาแบบ อาฬาดาบส อุทกดาบส ได้ถึง "ฌาน8" พระพุทธเจ้าไม่รับรองแม้กระทั่ง "โสดาบัน" เพราะ
ไม่มีการกำจัดกิเลส ตัณหา อุปปทานออกจากจิตเลย แล้วจะต้องปฎิบัติกันไปอีกนานเท่าไหร่ จึงจะ "นิพพาน"
ก็ฝากไว้พิจารณาในวัน "มาฆบูชา67" นี้
ขอบคุณครับ
นั่งหลับตาปฎิบัติ จะเข้าใจ "ฌาน" "สมาธิ" "ญาณ" "ปัญญา" ไม่เหมือนกันกับ "ลืมตาปฎิบัติ" ในพระสูตรเดียวกัน
ผมอ่านกระทู้ และความเห็นในกระทู้ มานานพอสมควร สังเกตุดูพอจะสรุปได้
อย่างหนึ่งว่า ผู้นั่งหลับตาปฎิบัติ จะเข้าใจคำว่า "ฌาน" "สมาธิ" "ญาณ" "ปัญญา"
ในพระสูตร ไม่เหมือนกันกับผู้ "ลืมตาปฎิบัติ" ในพระสูตรเดียวกัน
และผู้หลับตาปฎิบัติเหมือนกัน ก็จะเข้าใจคำเหล่านี้ ต่างกันไปอีก และยังไม่
เจอผู้ปฎิบัติแบบลืมตาเปิดทวารทั้ง6ไว้ สติตื่นเต็มร้อยกำจัดนิวรณ์5 อยู่ เนือง ๆ ปฎิบัติ
ไปพร้อมกับการดำเนินชีวิตประจำวัน อ่านกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม
แล้วปรับเปลี่ยนโดยทำใจในใจให้มันเป็นสัมมา
ปฎิบัติเป็น "ปัจจุบันธรรม" ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูก..........ฯ เกิด "เวทนา" สุข-ทุกข์
ชอบ-ชัง ดูด-ผลัก ที่ใจ เมื่อรู้ว่า "กิเลส" ม้นเกิด ก็ปฎิบัติ "อริยสัจ4" รู้ทุกข์ หาเหตุแห่งทุกข์ เจอ
เหตุแล้วก็ดับมันด้วยมรรค มันดับเราก็รู้ว่ามันดับ .... ก็ปฎิบัติ ซ้ำแบบนี้ทุกครั้งที่ "กิเลส" หรือ "ทุกข์ "
มันเกิด ทำบ่อย ๆ ก็เกิดความชำนาญ เหมือนผู้ทำงานอาชีพต่าง ๆ เมื่อเราปฎิบัติอย่างนี้ กิเลส/ทุกข์
มันก็จะเบาบาง จางคลายลงเรื่อย ๆ ตัวไหนเคยดับมันได้สนิทแล้ว มันก็จะไม่มาเกิดอีก หรือถ้ายังเหลือ
มันโผล่หัวมา เราก็ปฎิบัติซ้ำ มันก็จะดับสนิท
ฌาน สมาธิ ญาณ ปัญญา วิชชา จะเกิดอยู่ตลอด ด้วยการปฎิบัติที่กล่าวแล้วข้างต้น โดยลืมตาปฎิบัติ
ในชีวิตประจำวัน
ส่วนหลับตา ปลีกตัวไปปฎิบัติจากการใช้ชีวิตประจำวัน ปิดทวาร5ไว้ เปิดทวารใจไว้ทวารเดียว "เวทนา36" ที่เป็น "ปัจจุบัน
ธรรม" ไม่เกิด แล้วจะปฎิบัติ "อริยสัจ4" อย่างไร เพราะหลับตาจะมีแต่ "เวทนาอดีต36" กับ "เวทนาอนาคต36" เท่านั้นที่เกิด(ดู
เวทนา108)
และหลับตาไปได้ฌานมาแบบ อาฬาดาบส อุทกดาบส ได้ถึง "ฌาน8" พระพุทธเจ้าไม่รับรองแม้กระทั่ง "โสดาบัน" เพราะ
ไม่มีการกำจัดกิเลส ตัณหา อุปปทานออกจากจิตเลย แล้วจะต้องปฎิบัติกันไปอีกนานเท่าไหร่ จึงจะ "นิพพาน"
ก็ฝากไว้พิจารณาในวัน "มาฆบูชา67" นี้
ขอบคุณครับ