วัฒนา-กิตติพงษ์ คู่หูในวงเจรจาลับ ชงสูตรทางลง รัฐบาล-กปปส. "ทั้งสองฝ่ายต้องยอมเสียสละ" ..... มติชนออนไลน์

กระทู้สนทนา
ก่อนการเลือกตั้งทั่วไป 2 กุมภาพันธ์ 2557

มีคนกลุ่มหนึ่งพยายามตั้งโต๊ะเจรจาคู่ขัดแย้งในทางลับ ตั้งใจยุติศึกการเมืองระหว่างรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับ
กลุ่ม กปปส. ป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งลุกลามบานปลายไปเป็นสงครามกลางเมืองในอนาคต

หลังการเจรจาข้อเสนอถูกโยนลงบนโต๊ะอาหารวันนั้น ที่ให้คู่ขัดแย้ง 2 ฝ่ายเอาไปขบคิด คือ การเลื่อนเลือกตั้ง
2 กุมภาพันธ์ ออกไป โดยมีกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) บางคนก็ร่วมรู้เห็นในข้อเสนอดังกล่าวด้วย

แต่แล้ววงเจรจาล้มคว่ำไป เพราะองคาพยพของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ปฏิเสธแผนเลื่อนเลือกตั้ง ยืนยันคำตอบเดิมว่า
ต้องเดินหน้า 2 กุมภาพันธ์ สถานเดียว

นับจากนั้น แม้ยังมีการเจรจากันอยู่ แต่แนวโน้มไปในแง่ลบมากกว่าทางบวก

คู่หู-เพื่อนซี้แห่งนิติศาสตร์ จุฬาฯ คอนเน็กชั่น "วัฒนา เมืองสุข" ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย-
"กิตติพงษ์ กิตยารักษ์" ปลัดกระทรวงยุติธรรม ลูกศิษย์รุ่นแรกของ "ดร.วิษณุ เครืองาม" เจ้าของวาทกรรม
"คนกลาง" ก็เป็น 2 คนที่อยู่ในวงสนทนาหาทางออกประเทศ

"กลุ่มนี้คุยต่อเนื่องถึงเหตุการณ์บ้านเมือง เป็นเวทีรับฟังคู่ขัดแย้ง ก็คุยกันเป็นประจำ ก่อนหน้านี้เชิญท่านอภิสิทธิ์
(เวชชาชีวะ) ท่านสมชาย (วงศ์สวัสดิ์) นักคิดของพรรคเพื่อไทย มาคุยหลากหลายมาก เพื่อรับฟังความเห็นที่แตก
ต่างกันของคู่ขัดแย้ง" กิตติพงษ์ เล่า

แต่เมื่อวงเจรจาคู่ขัดแย้งล้มเหลวไม่เป็นท่า รัฐบาลไม่ยอมเลื่อนเลือกตั้ง กปปส. ไม่ยอมยุติชุมนุม

สูตรปฏิรูปในกรอบกติกาตามแนวทางของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ถูก กปปส. ปฏิเสธแบบไม่ไยดี เช่นเดียวกับ
สูตรปฏิรูปของรัฐบาลก็ถูกต่อต้านจากมวลมหาประชาชนของ "สุเทพ"

ทำให้ "กิตติพงษ์" ต้องออกมาหน้าฉาก รวมตัวกับพวกพ้องตั้งเครือข่ายปฏิรูปทันที ส่วน "วัฒนา" ยังเดินทางลับ
เป็นคนกลางของพรรรคเพื่อไทยบนโต๊ะเจรจา

ทั้ง "กิตติพงษ์-วัฒนา" จึงแบ่งบทกันเล่น-แยกกันเดิน-ร่วมกันปฏิรูป ท่ามกลางภาวะการเมืองที่ยังไม่เห็นเค้าลาง
ทางออก

เพราะทั้งสองเห็นตรงกันว่าวันนี้เมืองไทยหนีไม่พ้นคำว่าปฏิรูป



เหตุผลการปฏิรูปของ "กิตติพงษ์" มีว่า "ถ้าเราไปมองที่มวลชนที่สนับสนุนสองฝ่ายหรือหลายๆ ฝ่าย ประเด็นพื้นฐาน
เป็นประเด็นเดียวกัน ถ้าไปถามประชาชนภาคอีสาน คือปัญหาความเหลื่อมล้ำ การไม่สามารถถือครองสิทธิในที่ดิน
การเข้ากระบวนการยุติธรรมเข้าถึงได้ยาก หรือปัญหาระบอบประชาธิปไตยดูเหมือนไม่ประชาธิปไตยจริง มีอำนาจ
พิเศษเข้ามาซึ่งเขามองไม่ถูกต้อง"

"ถ้าไปถามมวลชนภาคใต้ คำตอบเหมือนกันว่า การมีส่วนร่วมในทรัพยากร การถือครองที่ดิน กระบวนการยุติธรรม
เข้าถึงได้ยาก บางคนอาจรู้สึกว่าประชาธิปไตยซึ่งถูกครอบงำจากเจ้าของพรรคซึ่งกดปุ่มจากที่ไหนก็ได้ ไม่ถูกต้อง
สำหรับเขา"

"ประเด็นพื้นฐานเหมือนกันหมด แต่กลุ่มคนที่เขาเห็นเหมือนกันเขาคุยกันไม่ได้ เพราะเขามองไปที่แกนนำ เมื่อ
แกนนำไม่คุยกันก็ยาก ตั้งคำถามว่ามันจำเป็นต้องแยกข้าง นำมาสู่การสร้างความเกลียดชังถึงขนาดนั้นไหม
เพราะถ้าทุกฝ่ายเห็นตรงกัน มันก็น่าจะมีวิธีการให้มั่นใจว่าได้รับประเด็นที่คุณต้องการโดยไม่ต้องมีผู้ชนะ"

"เพราะการที่มีผู้ชนะในขั้วแบบนี้มันก็จะเป็นการปฏิรูปของผู้ชนะ หรือ เป็นชัยชนะของผู้ชนะ ผู้ชนะก็จะมีประเด็น
ปฏิรูปของผู้ชนะ แต่ในกระแสความขัดแย้ง ประเด็นปฏิรูปของผู้ชนะจะทำให้ประเทศชาติไม่มีวันสงบ"



ด้าน "วัฒนา" อาสาบอกความต้องการของพรรคเพื่อไทย ว่า "เพื่อไทยต้องการปฏิรูปไม่ต่างกับ กปปส. หรือ
คุณสุเทพ เนื่องจากพรรคเพื่อไทยไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการตุลาการภิวัฒน์เหมือนกัน"

แต่เมื่อก้มมองไปในสถานการณ์จริง การสู้รบที่ต่างฝ่ายต่างประกาศว่าเป็น "สงคราม" ยอมหักไม่ยอมงอ
การปฏิรูปจึงไม่เกิดขึ้นง่ายๆ

วัฒนาวิเคระห์ท่าทีเหล่านี้ว่า รัฐบาล กับ กปปส. ต่างมีมวลชนหนุนหลัง จึงไม่กล้า "งอ" เพราะกลัวคนกระทืบเอา

เขาจึงขอให้ "ใครก็ได้" ที่เป็น "ผู้มีบารมี" กล่อมทั้งสองฝ่ายให้ "ยอมงอ" แต่ "ไม่ถึงกับหัก" เพื่อ "หาทางลง"
ก่อนบ้านเมืองพังพินาศ

"วันนี้มีความจำเป็นที่คนที่มีบารมีทั้งหลายของบ้านเมือง ต้องช่วยกันหาทางออกให้กับประเทศ เพราะเวลาคู่กรณี
ทั้งสองฝั่งเผชิญหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างมีมวลชนของตัวเองอยู่ข้างหลังสนับสนุน ทำให้ผู้นำมันไม่เป็นตัวของตัวเอง
พูดง่ายๆ ผมจะไปถอยหลังให้คุณ ผมก็อาจจะถูกมวลชนผมกระทืบเอาได้"

"จึงต้องมีอะไรสักอย่างที่เป็นทางลงของทั้งสองฝั่ง ที่เขาลงได้ ก็คือการมาหาจุดร่วมที่ทั้งสองฝ่ายเห็นร่วมกัน
จุดต่างมันหาทางจบกันด้วยวิธีที่ต้องหาทางแก้ปัญหาด้วยกันทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ เพราะสิ่งที่ทุกคนเห็นพ้องต้อง
กันทั้งประเทศคือการปฏิรูป ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นแน่นอน ไม่ว่าคุณสุเทพหรือรัฐบาลพรรคเพื่อไทย"



ถามว่าใครคือคนที่มี "บารมี" พอที่ทำให้ "สุเทพ" เกรงใจยอมลงจากหลังเสือ วัฒนาตอบแบบอ้อมๆ ว่า "เท่าที่ผม
ฟังการปราศรัยของคุณสุเทพทุกครั้ง สิ่งที่คุณสุเทพด่าทุกครั้งคือตำรวจ แต่คนที่คุณสุเทพยกย่องมาตลอดคือทหาร
แปลว่าคนที่คุณสุเทพหวังพึ่งคือทหาร"

"เพราะฉะนั้น งานนี้ถ้าจะให้คุณสุเทพยอมก็ต้องใช้ทหารกับคุณสุเทพ ทหารต้องออกมาเคลียร์เรื่องราวให้กับ
คุณสุเทพ เพื่อให้คุณสุเทพถอย หรือหาจุดที่รัฐบาลหนีจากหลักของกฎหมายไม่ได้"

ไม่ต่างความเห็นของเพื่อน "กิตติพงษ์" ที่วิเคราะห์วิกฤติการเมืองในห้วงเวลานี้ เป็นเพราะต่างฝ่ายต่างไม่ยอมถอย
ให้กัน

"มันเหมือนเส้นผมบังภูเขา ปัญหาลึกๆ ไม่ได้มีมากนักหรอก เป็นเรื่องแต่ละฝ่ายต้องการเอาชนะ ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งชนะ
อีกฝ่ายหนึ่งก็คงมองว่าเสียหมดกระดาน การที่มองว่าจะชนะในเกมของตัวเองได้ แล้วอีกฝ่ายมองว่าถ้าแพ้เสียหมด
กระดานก็เลยไม่มีใครยอมใคร"

"เมื่อไม่มีใครถอยให้ใครเลย ทุกคนมีความรู้สึกจะชนะในเกมของตัวเอง ตราบใดที่ทุกคนจะชนะในเกมของตัวเอง
ได้มันก็ไม่จบ ประเด็นเรื่องง่ายๆ เช่น การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระ จะเป็นประเด็นที่ต่างกันมากที่สุด
ฝ่ายหนึ่งมองว่า เอ๊ะ...ทำไมกลไกทางกฎหมายเมื่อพิจารณาพิพากษามาแล้วคุณไม่เชื่อ เมื่อไม่เชื่อก็ไม่มีความ
ชอบธรรมแล้ว"

"อีกฝ่ายมองว่าจะเชื่อได้ยังไงเพราะกลไกนี้ในความรู้สึกของเขาและความรู้สึกมวลชนคิดว่ามันไม่เป็นธรรมสำหรับเขา
ถ้าประเด็นเหล่านี้ไม่สามารถนำมาสู่การพูดคุยอย่างเป็นระบบว่าคืออะไรยังไงแล้ว มันก็ไม่จบหรอก เพราะเถียงคนละ
ประเด็น"



"กิตติพงษ์" ออกตัวว่าวันนี้เขาไม่อยู่ใต้อาณัติใคร หมกมุ่นอยู่กับเครือข่ายเดินหน้าปฏิรูป เห็นหน้าเพื่อนร่วมวงสนทนา
มากกว่าเห็นหน้าภรรยาที่บ้าน เขาจึงแนะนำทางเลี่ยง-ทางออกวิกฤติ ว่า

"คนที่เกี่ยวข้องในความขัดแย้งทั้งสองฝ่ายควร ลด ละ เลิก เพราะสิ่งที่ทำแม้ชนะการต่อสู้สั้นๆ แต่ประเทศไทยจะแพ้
จะมีประโยชน์อะไรถ้าคุณชนะ แล้วคนจำนวนเป็น 10 ล้าน เขาเห็นว่าไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม บ้านเมืองก็ลุกเป็นไฟ"

"คาดหวังว่า คุณทักษิณ คุณอภิสิทธิ์ ต้องเห็นแก่บ้านเมือง เขาฉลาดพอที่จะรู้ว่าเป็นไปได้อย่างไรที่ชนะตรงนี้แล้วมี
คนเป็นล้านๆ ไม่เห็นด้วย ดังนั้น ก็ต้องถอย ชนะไม่ได้แล้ว มันต้องยอมให้ประเทศก้าวไปข้างหน้า"


"ผมคุยกับ คุณโคฟี่ อันนัน (อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ) บอกว่าไทยโชคดี ไม่ได้มีความแตกแยกรุนแรง เชื้อชาติ
ภาษา ศาสนา หรือ ความเหลื่อมล้ำมากนัก ปัญหาอยู่ที่นักการเมืองไม่เสียสละ แต่เขาให้ระวังการสร้างความเกลียดชัง
การสร้างพวกเขาพวกเรา ใช้ชุดข้อมูลเดียวไปทำร้ายฝ่ายตรงข้ามสร้างความแตกแยก วันหนึ่งพอเป็นพวกมันเมื่อไหร่
ฆ่ากันได้ตลอดเวลา"

"ดังนั้น ต้องถอยคนละก้าวแล้วมามองว่า ถ้าต้องการให้บ้านเมืองก้าวไปข้างหน้าด้วยการปฏิรูป ก็มาทำประเด็นปฏิรูป
ร่วมกันสิ ทำให้ชัดเจนว่าต่อไปนี้ถ้าใครมาเป็นนักการเมืองบริหารประเทศ แล้วคุณจะต้องไม่โกง ถ้าโกงคุณจะต้องถูก
ตรวจสอบ ทำอย่างไรถึงจะกระจายทรัพยากร แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำให้ได้ชัดเจน นโยบายประชานิยมจะได้ไม่เกิด
ผมคิดว่ามีประเด็นร่วมพอ ถ้ามองเป้าหมายประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก เป้าหมายของกลุ่มพรรคพวกรองลงมา
พยายามหาจุดร่วมกันก็จะเห็นว่าไม่ต่างกัน"

ทั้งหมดเป็นความเห็นของ กิตติพงษ์-วัฒนา กับการปฏิรูปในประเทศไทย แต่จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ สถานการณ์ข้าง
หน้าคือคำตอบ



................



(ที่มา:มติชนสุดสัปดาห์ประจำวันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 6 มีนาคม 2557)

ร่วมคลิกไลค์แฟนเพจมติชนสุดสัปดาห์ผ่านทางเฟซบุ๊กได้ที่
www.facebook.com/matichonweekly

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1393910273&grpid=01&catid=&subcatid=

จะให้นายกฯถอยไปถึงไหน  ....  "เทพเทือก"  บอก  เกมนี้  ไม่มี "วิน วิน"
สุดท้าย  คือทหารตัดสิน  ใช่ไหม ?   กำลังรอฟัง  เพลงมาร์ชอยู่  จะเปิดเมื่อไหร่ ?????
ใครก็ตาม  ที่ต่อต้าน "ประชานิยม"    พี่สาว  ฟังอ.จ. "นิธิ"  ให้สัมภาษณ์  ท่านบอกว่า
ประชาธิปไตย   คือ ประชา  เป็นใหญ่  จึงไม่สามารถ  หนีจาก ประชา นิยม ไปได้
จึงเท็จ  ไปคิดต่อกันเอาเอง
คริ คริ  ปลัดระทรวงยุติธรรม   ทีออกมาชูธง  "ปฏิรูป"ก่อนเลือกตั้ง วันนี้ทำแผนปฏิรูป
ไปถึงไหนแล้ว  ปล่อยให้รองปลัดฯ ออกมา เป็นฮีโร่  ขอคืนพื้นที่  ศูนย์ราชการ
เป็นขวัญใจมวลชน ไปเรียร้อยแล้ว
  ยิ้ม

สาวแว่น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่