ทำอย่างไรการปฏิบัติฯ จะก้าวหน้า ไม่ติดอยู่เพียงนิมิต

สืบเนื่องจากกระทู้นี้
http://ppantip.com/topic/31662062
เลยคัดมาจากในหนังสือเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องมาตอบนะครับ



พระสงฆ์ : ปุจฉา ทำอย่างไรการปฏิบัติธรรมจึงจะก้าวหน้าเพราะมาติดอยู่ที่นิมิต หวาดกลัวว่าจะต้องมาเห็นภาพที่ปรากฎมาให้เห็นเป็นระยะ เมื่อปฏิบัติธรรมแล้วก็อยากได้บรรลุธรรมข้อใดข้อหนึ่ง เพื่อเป็นที่พึ่งและแก้ทุกข์ในชีวิตประจำวันได้

หลวงปู่พุทธะอิสระ : วิสัชนา เคยตอบมาตั้งเมื่อวาน เคยตอบว่านิมิตมันเป็นเครื่องขวางความดี นิมิตมันก็คือเครื่องกั้นความดี มันไม่จัดอยู่ในนิวรณ์ธรรมก็จริงแหละ แต่ก็เหมือนกับเราเดินทางมาวัดอ้อน้อยแล้วดันไปเจอร้านเหล้าข้างทาง แล้วแวะหามันเพราะมันหอมหวานชวนกิน สุดท้ายก็มาถึงวัดอ้อน้อย แบบคลานมา หรือไม่ก็มาไม่ถึงวัดอ้อน้อย นิมิตก็เหมือนกัน มันเป็นเครื่องล่อให้เราหลงติด นิมิตทุกชนิดเป็นเครื่องล่อให้เราหลงติด แล้วเราก็จะคลายจากกองกรรมฐานกองเดิมที่เรากำลังทำอยู่ จะสังเกตว่าเมื่อไรเราเจอนิมิตก็จะไปยึดเอานิมิต ในที่สุดกรรมฐานที่กำลังเจริญก็หายไปโดยปริยายโดยไม่รู้ตัว

ผมจึงเขียนบทโศลกสอนไว้ แล้วไม่มีใครยอมรับบทโศลกบทนี้ได้เลย เพราะหาว่าผมไม่เคารพพระพุทธเจ้า ผมเขียนว่า

ลูกรัก... เมื่อคราใดเจ้าต้องการสมาธิ เจอพระพุทธเจ้าต้องฆ่าทิ้ง เห็นพระธรรมต้องเผาทิ้ง เจอพระสงฆ์ต้องหนีให้ไกล

ถามว่าทำไม ก็องค์คุณแห่งสมาธินี่ไม่ต้องการนิมิต ถ้าเราเจอนิมิตคือพระพุทธเจ้าอยู่ข้างหน้า มีหรือท่านจะเจริญกรรมฐาน ท่านก็วิ่งไปหาพระพุทธเจ้า ขณะที่เรากำลังเจริญกรรมฐานต้องการสมาธิ แต่ไปเจอพระธรรม เจอคัมภีร์ มีหรือท่านจะไปเจริญภาวนากรรมฐานกองนั้น จะยืนหยัดในกรรมฐานกองนั้น ท่านก็ต้องวิ่งไปหาพระธรรม เพราะเป็นของวิเศษ เพราะฉะนั้น คนที่เจริญสติเพื่อต้องการสมาธิ แล้วเกิดปัญญา ต้องไม่มีอะไรปรากฏ มีแต่ตัวสติ สมาธิ ปัญญา แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ต้องไม่คบในขณะที่เจริญ เพราะคบตอนนั้นจะกลายเป็นคนคลาดเคลื่อนจากกรรมฐานที่มี

เว้นแต่ว่าเจริญในอนุสติ ๑๐ อย่าง กรรมฐานในอนุสติ ๑๐ อย่าง จำได้ไหม มีอะไร พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ สีลานุสติ จาคานุสติ เทวตานุสติ มรณัสสติ กายคตาสติ อานาปานสติ อุปสมานุสติ ใช่ไหมหลวงพ่อ เพราะฉะนั้น เจริญพุทธา ธัมมา สังฆา และสีลาเนี่ย แล้วเห็นพุทธา ธัมมา สังฆา สีลา ไม่ผิด

แต่ถ้าเจริญกรรมฐานกองอื่นแล้วไปเห็นพุทธา ธัมมา สังฆาเนี่ย ถือว่าผิดไหม ผิดซิ มันคนละเรื่องกันน่ะ เมื่อมันคนละเรื่องกันก็ไม่ควรจะเข้าใกล้ เพราะฉะนั้นพุทธา ธัมมา และสีลาเนี่ย เป็นวิธีของการเจริญพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เป็นกระบวนการของวิปัสสนานะ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ คุณต้องคิดไหม หลวงพ่อ ต้องระลึกใช่ไหม ต้องคิด ต้องใคร่ครวญ

งั้นการคิดใคร่ครวญ วิตก ตรึก จึงเป็นองค์คุณของวิปัสสนา สภาพของวิปัสสนาจะเป็นสภาวะที่ไม่เหมือนกับสมาธิ วิปัสสนามันมีได้ทุกเรื่องท่าน ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบน่ะมันเป็นอารมณ์ได้ แต่สมาธินี่อะไรก็ไม่ได้ ถ้าคลาดจากกรรมฐานกองนั้น แล้วถ้ามันมีอย่างอื่นแวบเข้ามาละก็ ก็ต้องรีบหนีให้ไกล ผมจึงเขียนบทโศลกเล่าว่าถ้าท่านต้องการสมาธิ เจอพระพุทธเจ้าต้องฆ่า เจอพระสงฆ์ต้องหนี เจอพระธรรมต้องเผา เพราะมันเป็นกระบวนการ

ไม่ใช่พระพุทธเจ้าเป็น ไม่ใช่พระธรรมเป็น ไม่ใช่พระสงฆ์เป็น แต่อารมณ์จิตของเรานี่แหละที่มันปรุงเป็นพระพุทธ เป็นพระธรรม เป็นพระสงฆ์ แล้วปรุงแล้วมันก็เป็นปฏิปักษ์ต่อเรา พระพุทธเจ้าท่านไม่ต้องมาปรากฏกายเราต่อหน้าเราอยู่แล้ว พระธรรมก็ศักดิ์สิทธิ์อยู่ในที่ของท่านอยู่แล้ว พระสงฆ์ก็ทรงอำนาจในตัวท่านอยู่แล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องมาปรากฏ แต่ที่ปรากฎไม่ใช่พระสงฆ์ พระพุทธ พระธรรม แต่เป็นมารที่จะมาดึงเราออกจากกรรมฐานที่เรากำลังเจริญ แล้วมันแปลงสภาพออกมาเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ควรจะเข้าใกล้ ถ้าต้องการเจริญฌานสมาบัติถึงขั้นว่ารักษาสมาธิ ไม่ว่าอะไรปรากฏก็ไม่ได้ทั้งนั้น ท่านลองไปล่ฌาน ๑-๒-๓-๔-๕ ดู มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่ไหน มีอารมณ์ใดที่เป็นของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์บ้าง…

งั้นขอร้องเถอะ พวกหลับตาเห็น ลืมตาเห็น เลิกเสียทีเถอะ อาชีพนี้ ไม่ได้ประโยชน์เลย เขาหลับตาเห็นกันมาก็โง่ทั้งสำนัก ยังต้องตกนรกหมกไหม้กันทั้งสำนักก็เยอะแยะไป ลืมตา เขาได้ให้เห็น และเห็นให้ได้ชัดๆ อย่ามานั่งหลับตาเห็น องค์ฌานไม่มี องค์สมาธิไม่ปรากฏ แล้วคุณสมบัติของวิปัสสนาเราก็ไม่รู้ที่ทำก็ไม่ใช่ทางวิปัสสนา แต่เป็นทางสมาธิ และทำทางสมาธิก็ยังเป็นทรยศเป็นขบถต่อทางสมาธิอีก เพราะทางสมาธิมีแค่ ๕ อย่าง ถ้าพ้นจาก ๕ อย่าง ก็ไม่ใช่ทางสมาธิ แล้วเราไปติดในรูป ในนิมิต มันก็ไม่ใช่

ตัวอย่างเช่น เอ้า! ทางสมาธินี่เจริญกสิณ การเจริญกสิณกองใดที่เราเจริญจัดเป็นนิมิต เพราะทำให้เกิดปรากฏขึ้น เราเป็นผู้ทำไม่ใช่มันเกิดขึ้นเอง แต่คำนิมิตที่เป็นคำถามนั้นมันเกิดขึ้นเอง โดยเราไม่ทำ แสดงว่าไม่มีสติควบคุมมัน เรารู้ไม่เท่าทันมัน เราเสีย เราคลาดจากฐานเดิมที่มีอยู่มาหามัน มันต่างจากนิมิตที่เกิดจากกสิณ เพราะเราเป็นผู้ภาวนาให้มันเกิด เราเป็นผู้ดลบันดาลให้มันเกิด เช่น ภาวนาว่า ปฐวีกสิณัง ปฐวีกสิณัง เราต้องการเห็นภาพนิมิตของผืนดิน แผ่นดิน มันต่างจากนิมิตที่เกิดขึ้น โดยไม่ได้เรียกมันมา แต่มันดันจรเข้ามา เช่น เห็นผี เห็นเทวดา เห็นพระพุทธเจ้า เห็นพระธรรม เห็นพระสงฆ์ ไอ้นิมิตอย่างนี้มันเป็นนิมิตที่เป็นกุศลที่ไหน มันเป็นเครื่องทำลายกสิณ เป็นเครื่องทำลายองค์ภาวนา เป็นเครื่องทำลายกรรมฐาน และเป็นเครื่องทำลายสมาธิ

ผมจึงบอกว่าต้องฆ่าทิ้งยังไง คนไม่เข้าใจหาว่าผมเป็นพวกนอกศาสนา สอนพวกลัทธิเดียรถีย์ แหม ยิ้มจริงๆ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ หาว่าผมไปเขียนว่าฆ่าพระพุทธเจ้า เผาพระธรรม หนีพระสงฆ์ นี่มันทรยศ เป็นขบถ ไม่เคารพพระพุทธเจ้า ไม่เข้าใจเลย พวกนี้ไม่รู้จักวิธี ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรจริงๆ มันก็ไม่ได้ถามผม ผมก็ไม่ทันอธิบาย เผอิญใกล้จะตาย ไม่อยากอธิบาย ก็เลยเล่าให้ฟังว่า เนี่ยนิมิตที่เป็นกสิณ เป็นกุศลนิมิต นิมิตที่ไม่ใช่เป็นเครื่องดลบันดาลจากจิตและสติคุมไม่ได้เป็นอกุศล จำไว้แค่นี้ก็แล้วกัน และท่านก็จะได้ไม่ต้องไปใส่ใจ จบครับ ผมคิดว่าวันนี้ตะเบ็งเสียงเสียจนจะไม่มีเสียง

พระสงฆ์ : ขอบคุณหลวงปู่ที่ได้ให้โอกาสให้ได้รับรู้ในสิ่งที่ยังไม่รู้ครับ

ถอดความจากเทปการอบรมพระวิปัสสนาจารย์ที่วัดอ้อน้อย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่