' ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ '
เป็นหลักธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้เตือนสติคนมีรัก เมื่อมีรักแล้วต้องมีทุกข์ เมื่อมีทุกข์แล้วจึงมีหนทางแห่งการดับทุกข์ดั่งในหลักธรรมของ “ อริยสัจ ๔ ”
ความทุกข์ (ทุกข์) ที่ว่าอาจไม่ได้หมายถึงความเศร้าโศกเสียใจเสมอไป อาจจะเป็นทั้งทุกข์และสุข อยู่ในเวลาเดียวกัน
หากเปรียบความรักเหมือนการขับรถ
บนพวงมาลัยที่เราใช้สองมือบังคับทิศทางรถอยู่ การมีเพื่อนร่วมทางมานั่งข้าง ๆ ก็เป็นเหมือนการมีใครสักคนมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน มาเติมเต็มที่นั่งของรถคันนั้นให้พอดี หน้าที่ของตุ๊กตาหน้ารถนอกเหนือจากการประดับ ให้สวยงาม คือ การเข้ามาช่วยให้คนขับไม่ต้องขับรถไปคนเดียวอย่างเหงา ๆ อีกต่อไป
เมื่อเริ่มสตารท์เครื่องเพื่อเคลื่อนรถไปบนถนน เราจะพบรถอยู่หลายประเภทตามนิสัยคนขับ ความรักก็เช่นกันไม่สามารถแบ่งประเภทได้ว่า รักต้องเป็นแบบนั้น รักต้องมาแบบนี้ ไม่มีใครกำหนดได้นอกจากคนสองคน
หากเราใช้ความเร็วที่พอดี เหยียบคันเร่งไปแบบมีสติรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ เปรียบกับความรักครั้งนั้นก็จะกลายเป็นรักที่มีเหตุผลซึ่งกันและกัน ต่างกับรถบางคันอาจพุ่งทะยานด้วยความเร็วสูงเพื่อไปถึงปลายทาง ความเร่งรีบนั้นอาจส่งผลให้รักนั้นอยู่บนความเสี่ยงต่อการแฉลบลงข้างทาง หรือ พลิกคว่ำไปได้ง่ายๆ เพียงเพราะรักอย่างไม่มีสติ
รถบางคันก็ขับ เรื่อย ๆ เอื่อย ๆ กินลมชมวิวสองข้างทางไป ไม่สนใจว่าโลกรอบตัวหมุนไปเร็วแค่ไหน เป็นรักที่มีเพียงเธอและฉันเท่านั้น รถข้างหน้า ข้างหลังจะเป็นอย่างไรเราไม่สน คงสร้างความน่ารำคาญแก่การจราจรบนถนนได้ไม่น้อย
ในทางกลับกันหากรถคันนั้นเร่งอย่างไรก็ไปต่อไม่ได้ เราต้องรู้ว่าสาเหตุ (สมุทัย) คืออะไร อาจมาจากสภาพรถ หรือ มาจากเพื่อนร่วมทางอิดโรยจากการนั่งรถก็ตามแต่ เบรคจึงมีหน้าที่สำคัญเพื่อค่อย ๆ ชะลอให้รักนั้นสามารถเดินทางไปได้ด้วยความสบายใจของทั้งสองฝ่าย
หรือถ้ายิ่งยื้อกลับกลายเป็นยิ่งแย่ ไม่ไหวทั้งรถ ไม่ไหวทั้งคนแล้วนั้น การถอยออกมาเพื่อเริ่มตั้งหลักการเดินทางใหม่คงเป็นทางออก(นิโรธ)ที่ดีไม่แพ้กัน
“ รักที่ไร้ปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน คงเหมือนรถที่น้ำมันหมดไปไร้การเติม ”
การมีรถก็เหมือนการมีรัก ที่ไม่ได้อาศัยเพียงแค่การซื้อมาแล้วก็ทิ้งไว้ไร้ซึ่งคุณค่า ในเมื่อรถมีประโยชน์ต่อการเดินทางของร่างกาย รักก็ย่อมมีประโยชน์ต่อการเดินทางของใจเช่นกัน (มรรค)
การหมั่นดูแล ล้างรถ เช็ดรถให้สะอาดดูดี ย่อมดีกว่าทิ้งร้างให้รถมีแต่ฝุ่นเขรอะ ขาดการใส่ใจและคง
ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่เบาะข้าง ๆ จะว่างเป็นธรรมดา ไม่ว่าวันนี้รถของเราจะแล่นอยู่บนจุดไหนของถนนแห่งความรักก็ตาม อาจพึ่งเริ่มใหม่หรือเริ่มมานานและต้องการแล่นต่อไป อย่ามัวแต่มองกระจกหลัง มองเพียงความทรงจำในอดีตเพื่อตอกย้ำตัวเองซ้ำไปซ้ำมา จงมองไปในทางข้างหน้าที่มีสิ่งสวยงามรออยู่สองข้างทาง คอยให้เราได้พบเจอและเรียนรู้ไม่ว่าทางจะไกลแค่ไหน ได้ลองสัมผัสรสชาติของรักใหม่ ๆ แม้ทางคดเคี้ยวลาดชัน หากรถของความรักครั้งนี้พร้อม ก็ย่อมเผชิญและผ่านไปได้ทุกที่เสมอ
#
อ่านแล้วประทับใจหรืออยากติชมตรงไหนบอกได้นะคะ
ร(ถ)ส รัก
เป็นหลักธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้เตือนสติคนมีรัก เมื่อมีรักแล้วต้องมีทุกข์ เมื่อมีทุกข์แล้วจึงมีหนทางแห่งการดับทุกข์ดั่งในหลักธรรมของ “ อริยสัจ ๔ ”
ความทุกข์ (ทุกข์) ที่ว่าอาจไม่ได้หมายถึงความเศร้าโศกเสียใจเสมอไป อาจจะเป็นทั้งทุกข์และสุข อยู่ในเวลาเดียวกัน
หากเปรียบความรักเหมือนการขับรถ
บนพวงมาลัยที่เราใช้สองมือบังคับทิศทางรถอยู่ การมีเพื่อนร่วมทางมานั่งข้าง ๆ ก็เป็นเหมือนการมีใครสักคนมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน มาเติมเต็มที่นั่งของรถคันนั้นให้พอดี หน้าที่ของตุ๊กตาหน้ารถนอกเหนือจากการประดับ ให้สวยงาม คือ การเข้ามาช่วยให้คนขับไม่ต้องขับรถไปคนเดียวอย่างเหงา ๆ อีกต่อไป
เมื่อเริ่มสตารท์เครื่องเพื่อเคลื่อนรถไปบนถนน เราจะพบรถอยู่หลายประเภทตามนิสัยคนขับ ความรักก็เช่นกันไม่สามารถแบ่งประเภทได้ว่า รักต้องเป็นแบบนั้น รักต้องมาแบบนี้ ไม่มีใครกำหนดได้นอกจากคนสองคน
หากเราใช้ความเร็วที่พอดี เหยียบคันเร่งไปแบบมีสติรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ เปรียบกับความรักครั้งนั้นก็จะกลายเป็นรักที่มีเหตุผลซึ่งกันและกัน ต่างกับรถบางคันอาจพุ่งทะยานด้วยความเร็วสูงเพื่อไปถึงปลายทาง ความเร่งรีบนั้นอาจส่งผลให้รักนั้นอยู่บนความเสี่ยงต่อการแฉลบลงข้างทาง หรือ พลิกคว่ำไปได้ง่ายๆ เพียงเพราะรักอย่างไม่มีสติ
รถบางคันก็ขับ เรื่อย ๆ เอื่อย ๆ กินลมชมวิวสองข้างทางไป ไม่สนใจว่าโลกรอบตัวหมุนไปเร็วแค่ไหน เป็นรักที่มีเพียงเธอและฉันเท่านั้น รถข้างหน้า ข้างหลังจะเป็นอย่างไรเราไม่สน คงสร้างความน่ารำคาญแก่การจราจรบนถนนได้ไม่น้อย
ในทางกลับกันหากรถคันนั้นเร่งอย่างไรก็ไปต่อไม่ได้ เราต้องรู้ว่าสาเหตุ (สมุทัย) คืออะไร อาจมาจากสภาพรถ หรือ มาจากเพื่อนร่วมทางอิดโรยจากการนั่งรถก็ตามแต่ เบรคจึงมีหน้าที่สำคัญเพื่อค่อย ๆ ชะลอให้รักนั้นสามารถเดินทางไปได้ด้วยความสบายใจของทั้งสองฝ่าย
หรือถ้ายิ่งยื้อกลับกลายเป็นยิ่งแย่ ไม่ไหวทั้งรถ ไม่ไหวทั้งคนแล้วนั้น การถอยออกมาเพื่อเริ่มตั้งหลักการเดินทางใหม่คงเป็นทางออก(นิโรธ)ที่ดีไม่แพ้กัน
“ รักที่ไร้ปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน คงเหมือนรถที่น้ำมันหมดไปไร้การเติม ”
การมีรถก็เหมือนการมีรัก ที่ไม่ได้อาศัยเพียงแค่การซื้อมาแล้วก็ทิ้งไว้ไร้ซึ่งคุณค่า ในเมื่อรถมีประโยชน์ต่อการเดินทางของร่างกาย รักก็ย่อมมีประโยชน์ต่อการเดินทางของใจเช่นกัน (มรรค)
การหมั่นดูแล ล้างรถ เช็ดรถให้สะอาดดูดี ย่อมดีกว่าทิ้งร้างให้รถมีแต่ฝุ่นเขรอะ ขาดการใส่ใจและคง
ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่เบาะข้าง ๆ จะว่างเป็นธรรมดา ไม่ว่าวันนี้รถของเราจะแล่นอยู่บนจุดไหนของถนนแห่งความรักก็ตาม อาจพึ่งเริ่มใหม่หรือเริ่มมานานและต้องการแล่นต่อไป อย่ามัวแต่มองกระจกหลัง มองเพียงความทรงจำในอดีตเพื่อตอกย้ำตัวเองซ้ำไปซ้ำมา จงมองไปในทางข้างหน้าที่มีสิ่งสวยงามรออยู่สองข้างทาง คอยให้เราได้พบเจอและเรียนรู้ไม่ว่าทางจะไกลแค่ไหน ได้ลองสัมผัสรสชาติของรักใหม่ ๆ แม้ทางคดเคี้ยวลาดชัน หากรถของความรักครั้งนี้พร้อม ก็ย่อมเผชิญและผ่านไปได้ทุกที่เสมอ
#
อ่านแล้วประทับใจหรืออยากติชมตรงไหนบอกได้นะคะ