ราตรีสีอำพัน (120)
อาหารเช้าง่ายๆ มีขนมปัง แยมสารพัดชนิด ชีส แฮม โยเกิตร์ ผลไม้สด ชา กาแฟ
หลังอาหาร ทุกคนจัดการอาหารเช้าเสร็จก็ไปรวมกันที่บ้านท่านเซียด
ที่เรือนท่านเซียดเป็นกระโจมใหญ่สุด ดึงหลังคาเป็นมุมสูงหกเหลี่ยม ล้อมด้วยผ้าวูลเนื้อหนา
กระโจมใหญ่ด้านในมีห้องกั้นเป็นสัดส่วน มุมโต๊ะอาหาร มุมโซฟารับแขก เครื่องใช้จัดเป็นหมวดหมู่ โต๊ะทำงาน และมุมในสุดเป็นครัวที่เปิดเต็นท์ส่วนหลังออกให้อากาศระบายได้
ทุกคนไปนั่งรอจิบชาที่โต๊ะอาหารทำด้วยไม้ เห็นลายไม้สีนวลตา
ทำเป็นรูปแบบเรียบง่าย เก้าอี้ตั้งไว้เกือบยี่สิบตัว
“ที่นี่คงมีการพบปะกันบ่อยนะท่านเซียด” ท่านป้าใหญ่เอ่ยขึ้น
“มีการประชุมเป็นส่วนใหญ่เกี่ยวกับเรื่องงาน มีงานเลี้ยงเป็นบางครั้งครับท่านป้า”
มูซาช่วยท่านเซียดยกห่อผ้าหนาหุ้มวัตถุ ท่าทางหนักมาวางลงบนโต๊ะ ทุกคนเพ่งสายตาไปที่สิ่งนั้นตาไม่กระพริบ วัตถุถูกห่อด้วยผ้าหนาอย่างดีหลายชั้น ท่านเซียดบรรจงแกะอย่างเบามือชั้นสุดท้ายเปิดออก
แลเห็นเป็นหินแผ่นดูไม่จืดตามอายุ กว้างหนึ่งเมตร ยาวสองเมตร มีอักษรอาหรับโบราณจารึกไว้
“ของโบราณมีค่าควรเมืองทีเดียว” ลุงหม่อมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาด ทุกคนตกอยู่ในความเงียบและระทึกใจ “ท่านป้าศิลาจารึกมีอยู่สองด้านครับ”ท่านเซียดเอ่ย
“อือ! ท่านชายลองอ่านซิ”
“ท่านป้า มันเป็นภาษาอาหรับโบราณ ข้าไม่แน่ใจ” ทุกคนเงียบได้ยินแต่เสียงหายใจ ท่านชายอะซันกวาดตามอง
“จารึกนี้ข้าทำขึ้นเป็นฉบับย่อ ของความเป็นมาแห่งนครศิลาดล เมืองทางเหนือของมหานครเพตรา
เรื่องราวภายในวังซับซ้อนนัก พระธิดาอิสลาเบลเติบโตขึ้น ทรงมีพระสิริโฉมงดงามยิ่ง แต่นางกลับห้าวหาญเก่งกล้าไม่แพ้ชาย ท่านแม่สิ้นพระชนย์ตั้งแต่นางยังเยาว์วัย พระบิดาตามใจและรักนางดั่งดวงแก้ว
แต่มินานพระองค์ก็ทรงอภิเษกใหม่กับหญิงหม้ายผู้มีบุตรชายคนหนึ่ง อายุไล่ๆกันกับพระธิดา
มเหสีองค์ใหม่ นางคิดการใหญ่ต้องการทุกสิ่งในแผ่นดิน ขนาดจะเอาพระธิดาอภิเษกกับบุตรตน
แต่พระธิดาอิสลาเบลทรงมีท่านขุนศึกอิบราฮิม เป็นดั่งคู่ใจ ความรักของทั้งสองใหญ่ดุจฟ้าและขุนเขา
นางออกรบคู่กับท่านขุนศึกอย่างห้าวหาญตลอดมา จนถูกจับได้และพระบิดาสั่งห้าม
บุตรชายของมเหสีใหม่ถูกแต่งตั้งเป็นท่านชาย(นอกบัลลังค์) แม้หางตา พระธิดาก็หาได้เหลียวมองเขาไม่
สุดท้ายที่ข้าได้ทราบความจากเหล่าขุนนางว่าพระบิดานางถูกลอบวางยาจนสิ้นพระชนย์ พระธิดาพอรูเรื่องบ้าง แต่มิสามารถหยุดยั้งความขั่วช้าโสมมของนางและบุตรชายได้
ศึกครั้งใหญ่ประชิดเมือง พระมเหสีสั่งท่านขุนศึกออกรับศึก โดยแสร้งว่าจะส่งท่านชายบุตรของตนเป็นกองทัพเสริม แต่ความจริงแล้ว นางส่งท่านขุนศึกสู่สนามรบแห่งความตาย พระธิดาล่วงรู้แผน นางแต่งกายเยี่ยงชายออกรบเคียงข้าง โดยมิมีผู้ใดล่วงรู้ ยกเว้นพระพี่เลี้ยงนามโซเฟีย ที่ทำเป็นเหมือนว่าพาพระธิดาหลบหนีสู่เมืองเพตรา
พระธิดาทำข่าวเสมือนว่าหนีออกไปหลบภัยพร้อมพี่เลี้ยง “ข้าจะจดจำความดีของเจ้าไว้ ไม่ว่านานเพียงใด
เมื่อเสร็จศึก ข้าและท่านขุนศึกจะมารับเจ้ากลับสู่พระนคร ส่วนนางเองแม้หลังชนหลังต่อสู้อยู่กับท่านขุนศึก
ท่านขุนศึกหารู้แม้แต่น้อยว่าทหารกล้าที่เข้ามารับคมมีด และจับมือท่านขุนศึกแน่นยามสิ้นใจ
คือนางในดวงใจของท่านขุนศึก
วงล้อมข้าศึกที่ตีวงแคบเข้ามาโดยปราศจากความช่วยเหลือใดๆ แล้วทั้งสองก็สิ้นใจอยู่กลางสนามรบอย่างเดียวดาย
***เจ็บเอ่ยเจ็บลึกในดวงจิต
*** ชีวิตเลือนหายมะลายสิ้น
***แม้ลมหายใจที่รวยริน
***ยังไม่สิ้นพะวงหานวลนาง
แม้สุดท้ายนางจะได้ขึ้นครองบัลลังค์ แต่เหล่าขุนนางทำการกบฏ
โดยจับนางและท่านชายแขวนคอ แผ่นดินศิลาดลแตกเป็นเสี้ยวส่วน และเลือนหายไปจากความทรงจำ
เหลือไว้เพียงตำนานรักอันยิ่งใหญ่ของท่านขุนศึกและพระธิดา ที่คงอยู่คู่ฟ้าคู่ดิน"
เสียงสะอื้นเบาๆอย่างเจ็บปวดเจียนว่าจะขาดใจของหมอเตื้ล ท่านชายดวงตาแดงกล่ำ กำมือแน่น
แขนข้างหนึ่งโอบพระธิดาหรือหมอเติ้ลไว้ ทุกคนในที่นั่นไม่มีใครทนได้กับชีวิตที่ก่อเกิดและจบสิ้นอย่างโหดร้าย
และพันธะทางใจที่ทั้งสองมีต่อกัน ใบหน้าหมองเศร้าของทุกคนกับความกล้าหาญและความรักอันยิ่งใหญ่
มะสะอื้นให้เบาอย่าเจ็บปวด “ลูกแม่..” มะโผเข้ากอดหมอเติ้ล
“นางคือทหารกล้าที่รับดาบแทนข้า นางคือผู้จับมือข้าไว้ตอนสิ้นใจ ข้าหารู้ไม่ อ้า!”เสียงตะเบ็งออกมาอย่างเจ็บปวด มือที่กำอยู่กระแทกลงบนโต๊ะไม้เนื้อแข็งเลือดออกแดงฉาน
มูซามองดูท่านชายอะซันที่ตัวรักดุจน้องชาย ด้วยหัวใจแทบสลาย
“ทำไมหนอความโหดร้ายช่างไม่มีที่สิ้นสุด” ท่านชายน้องข้าหยุดทำร้ายตัวเองเถอะ ตั้งสติให้ดี ท่านชายไม่ใช่เทพย่อมรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนักแต่จงมีสติเถอะ ท่านหมอเป็นลมไปแล้ว”ดูเหมือนคำนี้จะกระชากสติท่านชายกลับคืนมา
ป๋าเข้ากอดมะกับเติ้ลเธอกำมือแน่นเล็บจิกลึกลงไปบนเนื้อ ตัวสั่นเทา “เติ้ลๆๆลูกแม่ โอ้พระเจ้า!”
ทุกอย่างเกิดอย่างฉุกละหุก “หมอเติ้ลเป็นลมแล้วพี่รอง” เสียงแป้งเครือหยาดน้ำตาไหลริน
“ขอยาดม ขอผ้าเช็ดหน้า ชาร้อนเร็ว” พี่รองสั่งเป็นชุด ป้าอำไพต้องดูแลท่านชายฉัตราทัศน์ที่อาการน่าเป็นห่วง
พี่แดงรีบเข้ามาช่วยป๋าเอาหมอเติ้ลนอนลง แล้วนวดตามตัว
ท่านชายอะซันพอได้สติหันมาทางหมอเติ้ลเขาถลันพรวดเข้ากอดไว้แน่น
“น้องข้าเจ้าอย่าเป็นอะไรเลยอยู่เป็นเพื่อนข้า ชีวิจตข้า ขาดท่านมิได้เลย”
ป้าอำไพส่งผ้าเช็ดหน้าให้ท่านชาย เขาเช็ดอย่างเบามือ ขนตายาวงอนกระพริบถี่ๆ
“มะ ป๋า..” เสียงเรียกเบาๆ ทั้งสองโอบกอดลูกไว้แนบอก มะเอาชาร้อนค่อยๆให้เติ้ลจิบ
“ช้าๆลูก ใจดีขึ้นหรือยังฮึ”
“ค่ะ” เธอพยักหน้าแล้วเหลียวหา
“ท่านพี่..” เธอผละไปหาอ้อมกอดของท่านชายอะซัน
“ท่านพี่ข้าจะไม่จากท่านไปอีกแล้ว” เสียงแผ่วหายไปกับเสียงสะอื้น
“โอ้พระเจ้า!อย่าทรงโหดร้ายกับข้าทั้งสองนักเลย”
“มือท่าน..” มูซาเอาไอโอดินเทราดแล้วพันแผลให้เรียบร้อยแล้ว
ที่เหลือคือความเงียบและความเศร้า...
ราตรีสีอำพัน (120)
อาหารเช้าง่ายๆ มีขนมปัง แยมสารพัดชนิด ชีส แฮม โยเกิตร์ ผลไม้สด ชา กาแฟ
หลังอาหาร ทุกคนจัดการอาหารเช้าเสร็จก็ไปรวมกันที่บ้านท่านเซียด
ที่เรือนท่านเซียดเป็นกระโจมใหญ่สุด ดึงหลังคาเป็นมุมสูงหกเหลี่ยม ล้อมด้วยผ้าวูลเนื้อหนา
กระโจมใหญ่ด้านในมีห้องกั้นเป็นสัดส่วน มุมโต๊ะอาหาร มุมโซฟารับแขก เครื่องใช้จัดเป็นหมวดหมู่ โต๊ะทำงาน และมุมในสุดเป็นครัวที่เปิดเต็นท์ส่วนหลังออกให้อากาศระบายได้
ทุกคนไปนั่งรอจิบชาที่โต๊ะอาหารทำด้วยไม้ เห็นลายไม้สีนวลตา
ทำเป็นรูปแบบเรียบง่าย เก้าอี้ตั้งไว้เกือบยี่สิบตัว
“ที่นี่คงมีการพบปะกันบ่อยนะท่านเซียด” ท่านป้าใหญ่เอ่ยขึ้น
“มีการประชุมเป็นส่วนใหญ่เกี่ยวกับเรื่องงาน มีงานเลี้ยงเป็นบางครั้งครับท่านป้า”
มูซาช่วยท่านเซียดยกห่อผ้าหนาหุ้มวัตถุ ท่าทางหนักมาวางลงบนโต๊ะ ทุกคนเพ่งสายตาไปที่สิ่งนั้นตาไม่กระพริบ วัตถุถูกห่อด้วยผ้าหนาอย่างดีหลายชั้น ท่านเซียดบรรจงแกะอย่างเบามือชั้นสุดท้ายเปิดออก
แลเห็นเป็นหินแผ่นดูไม่จืดตามอายุ กว้างหนึ่งเมตร ยาวสองเมตร มีอักษรอาหรับโบราณจารึกไว้
“ของโบราณมีค่าควรเมืองทีเดียว” ลุงหม่อมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาด ทุกคนตกอยู่ในความเงียบและระทึกใจ “ท่านป้าศิลาจารึกมีอยู่สองด้านครับ”ท่านเซียดเอ่ย
“อือ! ท่านชายลองอ่านซิ”
“ท่านป้า มันเป็นภาษาอาหรับโบราณ ข้าไม่แน่ใจ” ทุกคนเงียบได้ยินแต่เสียงหายใจ ท่านชายอะซันกวาดตามอง
“จารึกนี้ข้าทำขึ้นเป็นฉบับย่อ ของความเป็นมาแห่งนครศิลาดล เมืองทางเหนือของมหานครเพตรา
เรื่องราวภายในวังซับซ้อนนัก พระธิดาอิสลาเบลเติบโตขึ้น ทรงมีพระสิริโฉมงดงามยิ่ง แต่นางกลับห้าวหาญเก่งกล้าไม่แพ้ชาย ท่านแม่สิ้นพระชนย์ตั้งแต่นางยังเยาว์วัย พระบิดาตามใจและรักนางดั่งดวงแก้ว
แต่มินานพระองค์ก็ทรงอภิเษกใหม่กับหญิงหม้ายผู้มีบุตรชายคนหนึ่ง อายุไล่ๆกันกับพระธิดา
มเหสีองค์ใหม่ นางคิดการใหญ่ต้องการทุกสิ่งในแผ่นดิน ขนาดจะเอาพระธิดาอภิเษกกับบุตรตน
แต่พระธิดาอิสลาเบลทรงมีท่านขุนศึกอิบราฮิม เป็นดั่งคู่ใจ ความรักของทั้งสองใหญ่ดุจฟ้าและขุนเขา
นางออกรบคู่กับท่านขุนศึกอย่างห้าวหาญตลอดมา จนถูกจับได้และพระบิดาสั่งห้าม
บุตรชายของมเหสีใหม่ถูกแต่งตั้งเป็นท่านชาย(นอกบัลลังค์) แม้หางตา พระธิดาก็หาได้เหลียวมองเขาไม่
สุดท้ายที่ข้าได้ทราบความจากเหล่าขุนนางว่าพระบิดานางถูกลอบวางยาจนสิ้นพระชนย์ พระธิดาพอรูเรื่องบ้าง แต่มิสามารถหยุดยั้งความขั่วช้าโสมมของนางและบุตรชายได้
ศึกครั้งใหญ่ประชิดเมือง พระมเหสีสั่งท่านขุนศึกออกรับศึก โดยแสร้งว่าจะส่งท่านชายบุตรของตนเป็นกองทัพเสริม แต่ความจริงแล้ว นางส่งท่านขุนศึกสู่สนามรบแห่งความตาย พระธิดาล่วงรู้แผน นางแต่งกายเยี่ยงชายออกรบเคียงข้าง โดยมิมีผู้ใดล่วงรู้ ยกเว้นพระพี่เลี้ยงนามโซเฟีย ที่ทำเป็นเหมือนว่าพาพระธิดาหลบหนีสู่เมืองเพตรา
พระธิดาทำข่าวเสมือนว่าหนีออกไปหลบภัยพร้อมพี่เลี้ยง “ข้าจะจดจำความดีของเจ้าไว้ ไม่ว่านานเพียงใด
เมื่อเสร็จศึก ข้าและท่านขุนศึกจะมารับเจ้ากลับสู่พระนคร ส่วนนางเองแม้หลังชนหลังต่อสู้อยู่กับท่านขุนศึก
ท่านขุนศึกหารู้แม้แต่น้อยว่าทหารกล้าที่เข้ามารับคมมีด และจับมือท่านขุนศึกแน่นยามสิ้นใจ
คือนางในดวงใจของท่านขุนศึก
วงล้อมข้าศึกที่ตีวงแคบเข้ามาโดยปราศจากความช่วยเหลือใดๆ แล้วทั้งสองก็สิ้นใจอยู่กลางสนามรบอย่างเดียวดาย
***เจ็บเอ่ยเจ็บลึกในดวงจิต
*** ชีวิตเลือนหายมะลายสิ้น
***แม้ลมหายใจที่รวยริน
***ยังไม่สิ้นพะวงหานวลนาง
แม้สุดท้ายนางจะได้ขึ้นครองบัลลังค์ แต่เหล่าขุนนางทำการกบฏ
โดยจับนางและท่านชายแขวนคอ แผ่นดินศิลาดลแตกเป็นเสี้ยวส่วน และเลือนหายไปจากความทรงจำ
เหลือไว้เพียงตำนานรักอันยิ่งใหญ่ของท่านขุนศึกและพระธิดา ที่คงอยู่คู่ฟ้าคู่ดิน"
เสียงสะอื้นเบาๆอย่างเจ็บปวดเจียนว่าจะขาดใจของหมอเตื้ล ท่านชายดวงตาแดงกล่ำ กำมือแน่น
แขนข้างหนึ่งโอบพระธิดาหรือหมอเติ้ลไว้ ทุกคนในที่นั่นไม่มีใครทนได้กับชีวิตที่ก่อเกิดและจบสิ้นอย่างโหดร้าย
และพันธะทางใจที่ทั้งสองมีต่อกัน ใบหน้าหมองเศร้าของทุกคนกับความกล้าหาญและความรักอันยิ่งใหญ่
มะสะอื้นให้เบาอย่าเจ็บปวด “ลูกแม่..” มะโผเข้ากอดหมอเติ้ล
“นางคือทหารกล้าที่รับดาบแทนข้า นางคือผู้จับมือข้าไว้ตอนสิ้นใจ ข้าหารู้ไม่ อ้า!”เสียงตะเบ็งออกมาอย่างเจ็บปวด มือที่กำอยู่กระแทกลงบนโต๊ะไม้เนื้อแข็งเลือดออกแดงฉาน
มูซามองดูท่านชายอะซันที่ตัวรักดุจน้องชาย ด้วยหัวใจแทบสลาย
“ทำไมหนอความโหดร้ายช่างไม่มีที่สิ้นสุด” ท่านชายน้องข้าหยุดทำร้ายตัวเองเถอะ ตั้งสติให้ดี ท่านชายไม่ใช่เทพย่อมรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนักแต่จงมีสติเถอะ ท่านหมอเป็นลมไปแล้ว”ดูเหมือนคำนี้จะกระชากสติท่านชายกลับคืนมา
ป๋าเข้ากอดมะกับเติ้ลเธอกำมือแน่นเล็บจิกลึกลงไปบนเนื้อ ตัวสั่นเทา “เติ้ลๆๆลูกแม่ โอ้พระเจ้า!”
ทุกอย่างเกิดอย่างฉุกละหุก “หมอเติ้ลเป็นลมแล้วพี่รอง” เสียงแป้งเครือหยาดน้ำตาไหลริน
“ขอยาดม ขอผ้าเช็ดหน้า ชาร้อนเร็ว” พี่รองสั่งเป็นชุด ป้าอำไพต้องดูแลท่านชายฉัตราทัศน์ที่อาการน่าเป็นห่วง
พี่แดงรีบเข้ามาช่วยป๋าเอาหมอเติ้ลนอนลง แล้วนวดตามตัว
ท่านชายอะซันพอได้สติหันมาทางหมอเติ้ลเขาถลันพรวดเข้ากอดไว้แน่น
“น้องข้าเจ้าอย่าเป็นอะไรเลยอยู่เป็นเพื่อนข้า ชีวิจตข้า ขาดท่านมิได้เลย”
ป้าอำไพส่งผ้าเช็ดหน้าให้ท่านชาย เขาเช็ดอย่างเบามือ ขนตายาวงอนกระพริบถี่ๆ
“มะ ป๋า..” เสียงเรียกเบาๆ ทั้งสองโอบกอดลูกไว้แนบอก มะเอาชาร้อนค่อยๆให้เติ้ลจิบ
“ช้าๆลูก ใจดีขึ้นหรือยังฮึ”
“ค่ะ” เธอพยักหน้าแล้วเหลียวหา
“ท่านพี่..” เธอผละไปหาอ้อมกอดของท่านชายอะซัน
“ท่านพี่ข้าจะไม่จากท่านไปอีกแล้ว” เสียงแผ่วหายไปกับเสียงสะอื้น
“โอ้พระเจ้า!อย่าทรงโหดร้ายกับข้าทั้งสองนักเลย”
“มือท่าน..” มูซาเอาไอโอดินเทราดแล้วพันแผลให้เรียบร้อยแล้ว
ที่เหลือคือความเงียบและความเศร้า...