จอมบึงมาราธอน สนามที่ประทับใจไม่รู้ลืม
เพิ่งลงวิ่งมาได้ปีกว่า มีพี่ๆหลายคนแนะนำให้มาวิ่งที่จอมบึง บอกว่าถ้ามาแล้วจะไม่ลืม
ปีนี้มีโอกาส เลยของลงวิ่งระยะมาราธอน เพื่อชมบรรยากาศงานวิ่งงานนี้ดู
เป็นสนามมาราธอนที่สองในชีวิต แต่เป็นมาราธอนแรกที่วิ่งเท้าเปล่า!!!
ไม่เคยคิดเหมือนกันจะได้มาวิ่งเท้าเปล่า เพราะคิดว่าคงเจ็บเท้าหน้าดู แต่เชื่ออยู่อย่างนึงว่า
"ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ถ้ายังไม่ลงมือทำ" เลยของลองสนามมาราธอนสักครั้งในชีวิต
มาราธอนแรก ติดตามอ่านได้จากที่นี้
http://ppantip.com/topic/31421307
หลังจากอาทิตย์ก่อน ไปวิ่งเทรล 25km ที่เขาไม้แก้ว พัทยามา ได้ฝึกกำลังขาไปเยอะพอสมควร เนื่องจากมีวิ่งขึ้นเขา ลงเขา วิ่งท่ามกลางทะเลทราย สนุกไปอีกแบบ
วันแรกที่ไปรับเบอร์เสื้อ ก็ชื่นชมบรรยากาศในการจัดงาน ทำได้ดีมาก มีคนบอกทางในการไปติดต่อธุระต่างๆให้ ไม่ว่าจะเป็นการรับเสื้อ เบอร์วิ่ง รวมถึงที่พัก(เนื่องจากที่พักข้างนอกใกล้กับสนามวิ่งเต็มเร็วมาก เลยต้องพักในมหาวิทยาลัยแทน ได้บรรยากาศมาก)
วันวิ่ง เป็นเช้าที่อากาศหนาว เย็นสบาย ทีแรกใส่รองเท้าวิ่ง แต่พอดีเจอเพื่อนๆBBRC(กลุ่มรองเท้าหาย) มาวิ่งระยะมาราธอน เห็นถอดรองเท้าวิ่งกัน เลยขอลองบ้าง ถอดรองเท้าเอาไปฝากที่จุดรับของเลย (ยอมรับว่าบ้าระห่ำมาก)
ช่วงแรกของการปล่อยตัว วิ่งไปเรื่อยๆ ผ่านไปแต่ละกิโลอย่างมีสมาธิมาก การลงเท้าแต่ละครั้ง รับรู้ได้เลยว่าพื้นถนนมันช่างเย็นยิ่งนัก แต่ไม่เท่ากับพื้นที่มีหินเล็กๆ สะดุ้งเป็นพักๆ (ขอบอกก่อนว่าควรมีการฝึกวิ่งแบบนี้มาก่อนจะลงวิ่งกันนะครับ ส่วนตัวเคยลงวิ่งแค่ระยะ10km)
ประทับใจตลอดทางที่วิ่ง จะมีเด็กมาคอยเชียร์ตามจุดรับน้ำต่างๆ และมีพระสงฆ์มาคอยพรมน้ำมนต์ให้ เป็นระยะ
สมกับที่หลายๆคนพูดถึงสนามจอมบึง
พอเข้าสู่กิโลเมตรที่36 ยังไม่มีอาการเหนื่อยแต่อย่างไร แต่สิ่งที่เริ่มจะรู้สึกคือ ถนนฝั่งที่วิ่งอยู่ ช่างต่างกับตอนออกตัว หินเต็มไปหมดเลย ต้องอาศัยวิ่งตามเส้นขาว ถึงไปได้เรื่อยๆ
กิโลที่40 ตะคริวเริ่มจะมา เนื่องจากทางที่ผ่านมา ต้องเกร็งเท้าบางช่วงเพื่อระวังหิน แต่ไม่สำคัญเท่ากับเส้นชัยที่อยู่ตรงหน้าแล้ว มุ่งหน้าวิ่งต่อไปเรื่อยๆ จนมีจุดที่ใกล้ถึงเส้นชัย หินเยอะมาก เลยเดินไปช่วงนึง จนมีคุณลุงคนนึงที่มาเชียร์ก็ตะโกนบอกว่า จะเอาถุงเท้ามั๊ย? เดี๋ยวถอดให้ใส่ รู้สึกขอบคุณมาก แต่ไหนจะลองก็ขอทำให้มันเต็มที่
สุดท้ายก็ถึงเส้นชัยจนได้
ในที่สุดก็ทำได้ "วิ่งเท้าเปล่าสำเร็จในระยะมาราธอน"
สิ่งที่ผิดพลาดคือ ยังไม่เคยศึกษาสภาพพื้นที่วิ่ง ว่ามีหินแหลมคมบางช่วง ถนนไม่ได้ผิวเรียบเสมอกันมีแตกเป็นบางช่วง และยังลงเท้าไม่เบาพอ คงต้องกลับฝึกฝนการลงเท้าเพิ่ม
สิ่งที่ประทับใจคือ มีนักวิ่งหันมาสนใจออกกำลังกายกันมากขึ้น ไม่ว่าเราจะวิ่งเท้าเปล่าหรือใส่รองเท้า ก็คือการออกกำลังกายเหมือนกัน ดีใจที่การวิ่งวันนี้ ทำให้นักวิ่งหลายคนที่กำลังหมดแรง พอเห็นเราวิ่งเท้าเปล่า พวกเขาเหล่านั้นมีแรงฮึดกันอีกครั้ง และชอบบรรยากาศในการวิ่งมาก มีเสียงเชียร์ตลอดทางที่วิ่ง บอกตัวเองเลยว่าปีหน้าต้องมาอีก เสียดายที่พี่ตูนเจ็บเข่าซ้าย จนต้องถอนตัวกิโลเมตรที่15 ปีหน้าคงได้เจอกันที่สนามนี้
จอมบึงมาราธอน สนามแรกสำหรับเท้าเปล่ามาราธอน
เพิ่งลงวิ่งมาได้ปีกว่า มีพี่ๆหลายคนแนะนำให้มาวิ่งที่จอมบึง บอกว่าถ้ามาแล้วจะไม่ลืม
ปีนี้มีโอกาส เลยของลงวิ่งระยะมาราธอน เพื่อชมบรรยากาศงานวิ่งงานนี้ดู
เป็นสนามมาราธอนที่สองในชีวิต แต่เป็นมาราธอนแรกที่วิ่งเท้าเปล่า!!!
ไม่เคยคิดเหมือนกันจะได้มาวิ่งเท้าเปล่า เพราะคิดว่าคงเจ็บเท้าหน้าดู แต่เชื่ออยู่อย่างนึงว่า
"ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ถ้ายังไม่ลงมือทำ" เลยของลองสนามมาราธอนสักครั้งในชีวิต
มาราธอนแรก ติดตามอ่านได้จากที่นี้ http://ppantip.com/topic/31421307
หลังจากอาทิตย์ก่อน ไปวิ่งเทรล 25km ที่เขาไม้แก้ว พัทยามา ได้ฝึกกำลังขาไปเยอะพอสมควร เนื่องจากมีวิ่งขึ้นเขา ลงเขา วิ่งท่ามกลางทะเลทราย สนุกไปอีกแบบ
วันแรกที่ไปรับเบอร์เสื้อ ก็ชื่นชมบรรยากาศในการจัดงาน ทำได้ดีมาก มีคนบอกทางในการไปติดต่อธุระต่างๆให้ ไม่ว่าจะเป็นการรับเสื้อ เบอร์วิ่ง รวมถึงที่พัก(เนื่องจากที่พักข้างนอกใกล้กับสนามวิ่งเต็มเร็วมาก เลยต้องพักในมหาวิทยาลัยแทน ได้บรรยากาศมาก)
วันวิ่ง เป็นเช้าที่อากาศหนาว เย็นสบาย ทีแรกใส่รองเท้าวิ่ง แต่พอดีเจอเพื่อนๆBBRC(กลุ่มรองเท้าหาย) มาวิ่งระยะมาราธอน เห็นถอดรองเท้าวิ่งกัน เลยขอลองบ้าง ถอดรองเท้าเอาไปฝากที่จุดรับของเลย (ยอมรับว่าบ้าระห่ำมาก)
ช่วงแรกของการปล่อยตัว วิ่งไปเรื่อยๆ ผ่านไปแต่ละกิโลอย่างมีสมาธิมาก การลงเท้าแต่ละครั้ง รับรู้ได้เลยว่าพื้นถนนมันช่างเย็นยิ่งนัก แต่ไม่เท่ากับพื้นที่มีหินเล็กๆ สะดุ้งเป็นพักๆ (ขอบอกก่อนว่าควรมีการฝึกวิ่งแบบนี้มาก่อนจะลงวิ่งกันนะครับ ส่วนตัวเคยลงวิ่งแค่ระยะ10km)
ประทับใจตลอดทางที่วิ่ง จะมีเด็กมาคอยเชียร์ตามจุดรับน้ำต่างๆ และมีพระสงฆ์มาคอยพรมน้ำมนต์ให้ เป็นระยะ
สมกับที่หลายๆคนพูดถึงสนามจอมบึง
พอเข้าสู่กิโลเมตรที่36 ยังไม่มีอาการเหนื่อยแต่อย่างไร แต่สิ่งที่เริ่มจะรู้สึกคือ ถนนฝั่งที่วิ่งอยู่ ช่างต่างกับตอนออกตัว หินเต็มไปหมดเลย ต้องอาศัยวิ่งตามเส้นขาว ถึงไปได้เรื่อยๆ
กิโลที่40 ตะคริวเริ่มจะมา เนื่องจากทางที่ผ่านมา ต้องเกร็งเท้าบางช่วงเพื่อระวังหิน แต่ไม่สำคัญเท่ากับเส้นชัยที่อยู่ตรงหน้าแล้ว มุ่งหน้าวิ่งต่อไปเรื่อยๆ จนมีจุดที่ใกล้ถึงเส้นชัย หินเยอะมาก เลยเดินไปช่วงนึง จนมีคุณลุงคนนึงที่มาเชียร์ก็ตะโกนบอกว่า จะเอาถุงเท้ามั๊ย? เดี๋ยวถอดให้ใส่ รู้สึกขอบคุณมาก แต่ไหนจะลองก็ขอทำให้มันเต็มที่
สุดท้ายก็ถึงเส้นชัยจนได้
ในที่สุดก็ทำได้ "วิ่งเท้าเปล่าสำเร็จในระยะมาราธอน"
สิ่งที่ผิดพลาดคือ ยังไม่เคยศึกษาสภาพพื้นที่วิ่ง ว่ามีหินแหลมคมบางช่วง ถนนไม่ได้ผิวเรียบเสมอกันมีแตกเป็นบางช่วง และยังลงเท้าไม่เบาพอ คงต้องกลับฝึกฝนการลงเท้าเพิ่ม
สิ่งที่ประทับใจคือ มีนักวิ่งหันมาสนใจออกกำลังกายกันมากขึ้น ไม่ว่าเราจะวิ่งเท้าเปล่าหรือใส่รองเท้า ก็คือการออกกำลังกายเหมือนกัน ดีใจที่การวิ่งวันนี้ ทำให้นักวิ่งหลายคนที่กำลังหมดแรง พอเห็นเราวิ่งเท้าเปล่า พวกเขาเหล่านั้นมีแรงฮึดกันอีกครั้ง และชอบบรรยากาศในการวิ่งมาก มีเสียงเชียร์ตลอดทางที่วิ่ง บอกตัวเองเลยว่าปีหน้าต้องมาอีก เสียดายที่พี่ตูนเจ็บเข่าซ้าย จนต้องถอนตัวกิโลเมตรที่15 ปีหน้าคงได้เจอกันที่สนามนี้