บันทึก เรื่องราวการวิ่งเทรล 50 กม. แรกในชีวิต - Columbia Trail Masters EP 11



30 นาทีก่อนการแข่งขัน
ผมมาถึงสนาม จอดรถ ตระเตรียมอุปกรณ์ทั้งหมดอย่างเร่งรีบ จากจุดจอดรถใช้เวลาเดินเร็ว 5 นาทีเพื่อมาถึงจุดสตาร์ท เป็นเช้าที่อากาศดี ไม่มีแดด หลายคนมาถึงและกำลังถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอ จับกลุ่มพูดคุยกัน บรรยากาศดูครึกครื้น

“อีกไม่นานผมต้องไปยืนอยู่ที่นั่น” ผมมองที่ซุ้มโค้งตรงจุดปล่อยตัว และมองลอดช่องนั้นไป แต่ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากต้นหญ้า และป้ายโฆษณาของงาน

5 นาทีก่อนการแข่งขัน ตอนนี้ใจเต้นแรงขึ้นอีกนิดหน่อย ดีกรีความตื่นเต้นเพิ่มมากขึ้น ครั้งนี้ผมเตรียมใจมาได้ดีกว่าทุกครั้ง อาจเป็นเพราะประสบการณ์จากสนามแข่งที่ผ่านมาช่วยเอาไว้ ไม่อย่างนั้นครั้งนี้ผมอาจเหนื่อยตั้งแต่การแข่งขันยังไม่เริ่ม



มากกว่าครั้งไหนๆ
50 กิโลเมตร ไกลที่สุดในชีวิตที่ผมเคยวิ่งมา แม้แต่ตอนซ้อมก็ยังไม่เคยถึงระยะนี้ มันทำให้ผมต้องเตรียมตัวและเตรียมร่างกายให้พร้อมที่สุดสำหรับการซ้อมก่อนการแข่งขัน และต้องทำทุกอย่างให้ได้ตามตารางเพื่อความพร้อมที่สุดในวันแข่งขันเช่นกัน

ด้วยความเป็นมือใหม่ ที่หัดวิ่งด้วยตัวเอง ไม่มีครู ไม่มีโค้ช ผมงัดประสบการณ์ที่มีทั้งหมดออกมาใช้ ทั้งหลายทั้งปวงที่ได้มาจากงานวิ่งระยะต่างๆ ประสบการณ์สำคัญจากสนามที่จอมบึง และล่าสุดจากสนามเขาประทับช้าง เทรล ผมเอาสิ่งที่เคยผ่านมาเหล่านี้ออกมาใช้ในการวางแผนการซ้อม การฝึกร่างกาย และการฝึกจิตใจ  ผมทำตารางซ้อมวิ่งของตัวเองแบบ งูๆ ปลาๆ

สัปดาห์สุดท้ายก่อนถึงวันแข่ง ผมเริ่มซ้อมเบาและพักผ่อนอย่างเต็มที่ เพื่อให้ร่างกายได้ Recovery

ถึงเวลาต้องประเมินตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย
ผมประเมินตัวเอง 2-3 ครั้ง ในระหว่างการซ้อม เพื่อที่จะไปแข่งในสนามไหนๆก็ตาม(ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเค้าทำกันยังไง) ครั้งนี้ในสัปดาห์สุดท้ายก่อนการแข่งขัน ผมประเมินตัวเองจากการซ้อมได้ว่า

ในระยะ 50 กม. ที่ระดับความชันสะสม 1,345 เมตร ของสนามนี้ ผมจะสามารถวิ่งจบได้โดยใช้เวลา 10 ชั่วโมง

การแข่งขันมีเวลาให้ 11 ชั่วโมง
(หมายความว่า ผมจะต้องถึงเส้นชัยก่อน 17.30 น. ไม่อย่างนั้นจะถือว่าไม่จบการแข่งขัน หรือ DNF)
Cut off แรกจะอยู่ที่ กม. 33 เวลา 13.30 น.
(หมายความว่า ผมต้องวิ่งให้ถึง กม. ที่ 33 ก่อนเวลา 13.30 น. ไม่อย่างนั้นจะถูกตัดตัวออกจากการแข่งขัน)
Cut off ที่สองอยู่ที่ กม. 39.5 เวลา 15.30 น.
(หมายความว่า ผมต้องวิ่งให้ถึง กม. ที่ 39.5 ก่อนเวลา 15.30 น. ไม่อย่างนั้นจะถูกตัดตัวออกจากการแข่งขัน)

ความชันสะสม 1,345 เมตร
เนื่องจากเราต้องวิ่งกันผ่าน ป่า เขา เรื่องของความชันจึงเป็นเรื่องปกติที่เราต้องเจอ ความชันสะสมของแต่ละสนามจะแตกต่างกันออกไป ตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งที่จะบอกถึงความยากง่ายของสนามนั้นๆ

เพราะฉะนั้นตารางซ้อมก็ต้องออกแบบให้ดีพอ ที่จะทำให้ขาทั้งสองข้างพาร่างกายผ่านความสูงชันนี้ไปให้ได้

เรื่องของหัวใจ เมื่อเจอความชันหัวใจจะเต้นแรง ผมจำเป็นต้องมีตารางซ้อมสำหรับฝึกหัวใจ ไม่ให้เต้นแรงเวลาขึ้นเขาด้วยเช่นกัน
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อผ่าน 50 กิโลเมตร ให้ได้อย่างปลอดภัย ไม่บาดเจ็บ และทันเวลาของตัวเองที่ตั้งเป้าไว้ และต้องไม่โดน Cut off   ด้วยแผนการแบบบ้านบ้านนี้ หวังว่ามันจะช่วยผมได้



ก้าวแรกในสนามจริง
เหลือไม่ถึง 5 นาที ที่จุดปล่อยตัวผมแตะมือกับผู้หญิงที่จะรอผมอยู่ตรงนี้เป็นเวลาเกือบ 10 ชั่วโมง เธอบอกกับผมว่า “กลับมาเร็วๆนะ ทำได้อยู่แล้ว ขอให้โชคดี สู้ๆ” แล้วผมก็ก้าวเท้าออกวิ่งเบาๆ ตามกำลังที่มี และตามแผนที่วางไว้อย่างรัดกุม

5 กม. แรก
ฝนที่ตกเมื่อคืนตอนตี 3 ทำให้วันนี้เส้นทางเต็มไปด้วยโคลน ตรงไหนชันตรงนั้นจะลื่นเป็นพิเศษ ทีแรกคิดว่าจะเป็นแค่บางช่วง แต่ผ่าน 5 กม. แรกไปแล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้น ผมเริ่มทำใจแล้ววิ่งต่อไปอย่างช้าๆตามแผนเหมือนเดิม

เข้า กม. ที่ 8 ผมเติมพลังงานด้วยเจล 1 ซอง (ที่จริงวางแผนไว้ว่าจะใช้เจลซองแรกที่ กม. 10)เนื่องจากทางชันกว่าที่คิด แถมโคลนเยอะ ทำให้เหนื่อยกว่าที่คิดไว้ ถ้าปล่อยให้เลยช่วงนี้ไปแรงอาจจะหมดก่อน และถ้าแรงหมดก่อน การกินเจลก็อาจจะไม่ได้ช่วยอะไร



กม. 17
ใกล้ๆจุดให้น้ำ ผมรับโทรศัพท์ ตรงนี้มีสัญญาณโทรศัพท์พอดี ฝนกะเวลาได้ดีทีเดียว เธอโทรมาถามว่าตอนนี้ผมถึงไหนแล้ว เธอจะช่วยคำนวณเวลาให้ว่าจะวิ่งไปทันตัดตัวรอบแรก กม. ที่ 33 ตอนบ่ายโมงครึ่งหรือเปล่า

หลังจากคำนวณได้แล้ว สรุปว่าจากจุดนี้ไปถึงจุดตัดตัวแรก กม. ที่ 33 ถ้าวิ่งด้วยความเร็วเท่าเดิม หรือช้ากว่าเดิมไม่มาก ผมจะไปถึง กม. ที่ 33 ทันก่อนบ่ายโมงครึ่งแน่นอน ผมสบายใจมากขึ้น ทำให้ไม่ต้องรีบมาก และผมจะไปเรื่อยๆได้ตามแผนอยู่



เข้า กม. ที่ 30
ผมวิ่งสลับเดินมาเรื่อยๆ แต่ตอนนี้แรงเริ่มหมด ทำให้จากตรงนี้ผมเดินเยอะขึ้น วิ่งน้อยลง แต่ตามแผนของผมจุดไหนที่เป็นทางชันผมจะเดินขึ้น พอถึงทางลงผมจะวิ่งลงมาด้วยความเร็วของตัวเอง นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เวลายังเหลือ

หลังจากนั้นไม่นาน ผมวิ่งผ่านจุดตัดตัว กม. ที่ 33 ไปได้ด้วยดี และกำลังจะขึ้นเขาอีกครั้ง
จากจุดนั้นไม่ไกลผมเจอจุดให้น้ำ เกลือแร่แบบซองที่พกติดตัวมาสองซอง ตอนนี้เหลือซองเดียว และซองนี้ผมเทมันใส่ขวดน้ำขวดเล็ก เขย่าผสมน้ำและเก็บใส่กระเป๋า เจ้าหน้าที่บอกว่า อีก 5 กม. จะมีจุดให้น้ำต่อไป ผมหยิบน้ำเปล่าอีกขวดใส่กระเป๋า และรีบไปต่อ



จากนั้นมาผมลืมสนิทเรื่องจุดตัดตัวที่สอง จำไม่ได้แล้วว่าอยู่ กม. ที่เท่าไหร่ คงไม่ต้องบอกว่าผมเหนื่อยขนาดไหน พอนึกได้คร่าวๆก็ดูเวลา และพอดูเวลาก็รู้แล้วว่าผมยังไปทันแน่นอน



กม. ที่ 39
ผมเริ่มหมดแรงอีกครั้ง เจลซองที่ 4 เพิ่งหมดไปไม่นาน ถึงตอนนี้ผมใช้เจลไป 4 ซอง และขนมให้พลังงานอีก 2 แท่ง ขนมให้พลังงานช่วยได้เรื่องที่มันอยู่ท้องกว่าเจล เพราะไม่ได้กินข้าวเลยตั้งแต่ออกสตาร์ท ถ้ามีแต่เจลอย่างเดียวคงหิวน่าดู แต่ข้อเสียของขนมให้พลังงานแบบอัดแท่งคือกลืนยาก เคี้ยวแล้วกว่าจะกลืนลงคอได้แต่ละคำลำบากสุดตัว แล้วยิ่งตอนเหนื่อยด้วยปกติก็จะกินอะไรไม่ค่อยลงอยู่แล้ว กินเสร็จต้องรีบกระดกน้ำตาม ส่วนข้อดีของเจลคือให้พลังงานเร็วกว่า กินง่ายกว่า



42 กิโลเมตรแล้ว
ระยะนี้เป็นระยะที่ไกลที่สุดเท่าที่ผมเคยวิ่งมา เป็นระยะมาราธอนที่เคยผ่านมันมาครั้งเดียวที่จอมบึง เมื่อต้นปี ถ้าผ่านตรงนี้ไปก็หมายความว่าผมจะทำลายสถิติของตัวเอง ตอนนี้ผมดีใจปนสับสน เรี่ยวแรงทั้งหมดเริ่มหดหายจนแทบจะไม่เหลือ เท้าพองจนระบม ข้อเท้ากับฝ่าเท้าปวดจนแค่เดินก็ยังลำบาก



กม. 43 กับเจลซองสุดท้าย
ผมตัดสินใจควักเจลซองสุดท้ายออกมาใช้งาน ถึงตรงนี้เนินเขาและทางชันเริ่มไม่มีให้เห็น และที่เริ่มไม่เห็นเช่นกันก็คือ ร่มไม้ เราเริ่มออกจากเขามาตีนเขา ตอนนี้แดดแรงสาดแสงและความร้อนใส่ผมเต็มที่ ความเหนื่อยทวีคูณ

กม. 45
หลังจากเดินมาพักใหญ่ ร่างกาย recovery ผมเริ่มวิ่งได้อีกครั้ง แบตโทรศัพท์ใกล้จะหมด ผมปิดเครื่องตอน กม. ที่ 46 ทำให้โปรแกรมบันทึกระยะทางหยุดลงเท่านี้ ผมยังวิ่งเหยาะๆไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นมีเสียงตะโกนถามว่า "น้ำมั้ยคะ น้ำมั้ยคะ" เป็นเสียงจากเด็กผู้หญิงวัยประถมคนหนึ่ง กำลังยืนส่งน้ำให้กับนักวิ่งที่วิ่งผ่าน มีพ่อจอดมอเตอร์ไซค์คอยอยู่ใกล้ๆ เธอเป็นชาวบ้านแถวนั้น ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของงาน เป็นภาพประทับใจของหลายคนที่วิ่งผ่าน รวมถึงผมด้วย ผมยังมีน้ำเหลืออยู่ในกระเป๋าเกือบเต็มขวด เลยยิ้มบอกขอบคุณน้อง และวิ่งผ่านไป

กม. 48
ตอนนี้ไม่มีเนินอะไรแล้ว แต่การจะก้าวขาแต่ละข้างออกไปได้มันยากยิ่งกว่าตอนเดินขึ้นเขา อีกแค่ 2 กม. ก็จะถึงเส้นชัย ผมไม่อยากเดินให้เสียเวลา กลั้นใจวิ่งเบาๆไปเรื่อยๆ ความรู้สึกเจ็บปวดเริ่มหายไป วิวสองข้างทางน่าดูมากขึ้น ทั้งๆที่ทุกอย่างก็เหมือนๆกับทางที่วิ่งผ่านมา ตอนนี้ผมรู้สึกดีมาก ไม่มีอะไรจะหยุดผมได้ในเวลานี้ มันเป็นความรู้สึกพิเศษ ไม่รู้ว่าในชีวิตหนึ่งคนเราจะรู้สึกแบบนี้ได้สักกี่ครั้ง แต่ครั้งนี้ผมจะจำมันไว้ และขอให้มันเกิดขึ้นอีก

เส้นชัย
ประมาณ 300 เมตรสุดท้ายก่อนถึงเส้นชัย มีตากล้องอยู่ 2-3 จุด เวลานี้ผมไม่สนใจตากล้องคนไหน ผมกำลังมองหาคนคนหนึ่งอยู่ เธอรอผมมา 9 ชั่วโมงแล้ว ผมก้าวเท้าเข้าเส้นชัย และเจอเธอ ในวินาทีนั้น ผมลืมเรื่องเส้นชัย และเหรียญรางวัลไปสนิท วันนี้ผมมีความสุขสุดๆ



* ผลการแข่งขันครั้งนี้ ผมได้อันดับที่ 167 จากผู้เข้าร่วมแข่งขันทั้งหมด 680 คน

ถ้าสนใจเรื่องเดียวกันก็ไปติดตามได้นะครับ
https://www.facebook.com/moosewalkingteam

แบบวีดีโอดูได้ที่นี่
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่