อาทิตย์อับแสง (บทที่ 4) โดย มานัส

กระทู้สนทนา
อาทิตย์อับแสง (บทที่ 4)




การขนย้ายของแม้จะเป็นเพียงข้าวของแค่ ‘บางอย่างที่จำเป็น’ หากพอเอาเข้าจริงก็ใช้เวลาถึงสามวันเต็มๆ เพราะของบางอย่างที่มีหลายอย่างนั้นมิได้จำกัดแค่เสื้อและข้าวของเครื่องใช้ที่สำคัญ หากยังรวมถึงเครื่องครัวเรือน เครื่องใช้ไฟฟ้า หนังสืออีกกองโต และเครื่องประดับต่างๆ อีกจิปปาถะ

“คงรากเลือดกันแน่ เมื่อถึงตอนตกแต่งห้องใหม่” พีทซี่ทั้งค่อน ทั้งเตือนผู้เป็นเพื่อน

“ไม่เห็นเป็นไร” ทว่าดาราสาวยักไหล่ ราวไม่เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ “ก็ให้เขามาขนของไปเก็บ จะใช้เวลาสามวัน หรือสามอาทิตย์ก็แล้วแต่”

“ก็แค่รออีกไม่กี่เดือนเอง”

“เธอก็รู้ว่าฉันรอไม่ไหว ถ้าของฉันมาไม่ครบ ฉันก็ต้องวิ่งไปมาระว่างที่บ้านกับที่คอนโด อีกอย่าง…เก้าเดือนนะจ๊ะ พีทซี่...เก้าเดือนนี่นานพอๆ กับการตั้งท้องเลยนะ” เกษราหัวเราะร่า

“เอาเข้าไป…ตลกนัก” มือคร้ามใหญ่ชดช้อยฟาดเบาๆ บนไหล่เพื่อนสนิท “ขอเวลาให้ฉันคุยกับเขาเรื่องเลิกสัญญาก่อนกำหนด และถ้าผู้เช่าของเธอเขาโอเคเรื่องย้ายออกก่อนล่ะ”

“ต่อให้เขายอมย้ายออกเดือนหน้า พอเอาเข้าจริงๆ กว่าฉันจะสรุปเรื่องตกแต่ง กว่าจะลงตัวเรื่องบริษัทรับเหมา อย่างน้อยก็สองสามเดือน” ว่าแล้วหญิงสาวก็ถอนหายใจ “ตอนนี้เธอเร่งติดต่ออีตาภูเก็ตนั่นก่อนเถอะ ฉันอยากให้เขาย้ายออกไปไวๆ”

เกษราใจร้อนอยากจัดการเรื่องคนเช่าให้เสร็จสิ้นเสียที เพราะถ้าทำห้องให้เสร็จเร็วก็อาจหมายถึงว่าเธอสามารถพา…คนที่มีความสำคัญกับเธอมาอยู่

‘ไม่มีเวลาวิ่งมาหานัก ถ้าไปอยู่ด้วยกันตรงนั้นได้ก็ดี จะได้อยู่ใกล้ๆ กันหน่อยให้หายคิดถึง’

ความต้องการและความเร่งรีบของเกษราทำให้ผู้ที่เป็นทั้งเพื่อนและผู้จัดการส่วนตัวต้องพยายามติดต่อคนที่เช่า อยู่เกือบทุกวัน ไม่เว้นแม้แต่วันที่เธอต้องแวะเวียนมาเพื่อดูแลเรื่องขนย้ายและตกแต่งห้องชั่วคราวนางเอกสาว

และในวันนี้เมื่อความพยายามไม่สำเร็จผล เธอจึงตัดสินใจสอบถามที่ทางหน้าฟร้อนท์ของส่วนคอนโด

“น้องมีเบอร์มือถือของคุณภูเก็ตที่พักอยู่ที่ห้อง 3105 หรือเปล่า พี่พยายามติดต่อมา 3-4 วันแล้วแต่ไม่เจอตัว” พีทซี่สังเกตเห็นอาการอึกอักของพนักงาน เธอจึงพูดต่อ “เจ้าของห้องคนเก่าเขาขายห้องให้คุณเกด…เกษรา เพื่อนของพี่ทั้งสองห้องเลย พี่เป็นผู้จัดการส่วนตัวก็เลยเป็นตัวแทนให้ นี่พี่พยายามติดต่อกับคุณเขาเพื่อคุยธุระนิดหน่อย”

“หนูไม่มีเบอร์มือถือของคุณภูเก็ตค่ะ มีแต่เบอร์ห้อง”

“ตายจริง” เสียงอุทานบอกถึงความผิดหวังมากกว่าอื่นใด

“ปรกติถ้ามีอะไรเราก็จะบอกกับคุณภูเก็ตเอง นอกจากบางเรื่องที่ฝากข้อความกับเครื่องตอบรับน่ะค่ะ คุณภูเก็ตก็จะติดต่อกลับทุกครั้ง” พนักงานสาวรายแจ้งก่อนที่จะรายงานยาวเหยียด “แต่…เอ…สามสี่วันมานี่คุณภูเก็ตแกไม่อยู่ค่ะ น่าจะไปต่างจังหวัด หรือไม่ก็ต่างประเทศ เพราะเห็นลากกระเป๋าไปด้วย แต่กลับเมื่อไหร่ หนูไม่แน่ใจค่ะ”

“เอาอย่างนี้…” พีทซี่หยิบกระดาษปากกาออกมาแล้วจดข้อความพร้อมบอก “ฝากโน๊ตถึงคุณเกาะภูเก็ตนี่ก็แล้วกัน บอกว่าให้ติดต่อหาพี่ด้วย ด่วนนะ…”

และเมื่อผู้จัดการส่วนตัวของดาราดังเดินกรีดกรายออกไปแล้ว พนักงานเบลล์บอยจึงเดินเข้ามาถามเพื่อนร่วมงานด้วยความสงสัย

“กระเทยยักษ์นั่นเป็นผู้จัดการส่วนตัวของคุณเกด บอกว่าอยากพบคุณภูเก็ตเพราะคุณเกดได้ซื้อห้องที่คุณภูเก็ตเช่าอยู่” พนักงานฟร้อนบอกอย่างสนใจด้วยน้ำเสียงกระซิบ “ฉันยังไม่มีโอกาสเห็นตัวคุณเกดเลย…เป็นดาราในดวงใจเลยนะ”

“ส่วนใหญ่มาตอนดึก” เบลล์บอยรู้ดี

“เป็นไงบ้าง สวยไหม แล้วหยิ่งและขี้วีนเหมือนอย่างที่เขาว่าๆ กันหรือเปล่า” คำถามยิงรัวด้วยความสนใจและตื่นเต้นใคร่อยากรู้

“สวยมากๆ ทีเดียว บางทีไม่ได้แต่งหน้า ผิวนี่นวลละเอียด…ผ่องดูเด่นเชียวล่ะ” ความชื่นชมนั้นไม่ได้ปิดบัง “มาทีไรก็ยิ้มทักทาย ไม่เห็นจะหยิ่งจะอะไรเลย ไม่เหมือน…”

หากยังไม่ทันได้จบการเปรียบเทียบ ผู้หญิงคนหนึ่งก็ปรี่เข้ามาอย่างรวดเร็ว พร้อมเสียงที่บ่งบอกถึงอำนาจอย่างชัดเจน

“ฉันจะขึ้นไปข้างบน ไปกดลิฟท์ให้ฉันด้วย” ชินนภาย่อมรู้ว่าถ้าไม่มีคีย์การ์ดหรือไม่มีพนักงานกดให้ บุคคลภายนอกก็ไม่สามารถที่จะขึ้นไปด้านบนได้

“มาพบใครคะ ห้องไหน” หญิงสาวที่เป็นพนักงานฟร้อนแสร้งถามแม้จะรู้อยู่แล้วว่า…ห้องไหน

เพราะ…นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชินนภาวางอำนาจ หรือทำกิริยาไม่น่าดูแบบนี้

“มาหาแฟนฉัน…”

“อ๋อ…” พนักงานเบลล์บอยอุทาน “คุณที่มาค้างกับคุณภูเก็ตบ่อยๆ”

คำบอกนั่นทำให้ชินนภามองอีกฝ่ายด้วยตาเขียวปัดไม่พอใจ ก่อนที่จะตะคอกใส่ “รีบไปกดลิฟท์ให้ฉันเดี๋ยวนี้ จะขึ้นไป”

“คุณภูเก็ตไม่อยู่ค่ะ”

“อะไรกัน…ไม่อยู่? นี่มันวันเสาร์ยังไม่เที่ยงเลย อย่ามาโกหก”

“คือว่า…คุณภูเก็ตไม่ได้กลับมาหลายวันแล้วค่ะ”

“โกหก! ภูเก็ตคงเอาเงินฟาดหัวให้มาโกหกฉันน่ะซิ” เสียงนั่นไม่เพียงดังลั่นสนั่นหู หากกำปั้นของหญิงสาวยังทุบบนโต๊ะด้วยความไม่พอใจ

เสียงดังปังใหญ่ทำให้ร่างระหงที่กำลังก้าวเข้ามาในส่วนล็อบบี้ของคอนโดสะดุ้ง ประหลาดใจ สงสัย

ชื่อที่ถูกเอ่ยคุ้นหูนัก และนั่นทำให้เธอหยุด เลี่ยงยืนรออีกด้าน มองดูละครตรงหน้าอย่างสนใจ แกมรู้สึกสงสารพนักงานทั้งสอง

“เขาจ่ายให้เท่าไหร่ พวกแกถึงช่วยกันโกหก” ชินนภายังไม่ยอมง่ายๆ

“ไม่ครับ…ไม่ แต่คุณภูเก็ตไม่อยู่จริงๆ”

“ฉันไม่เชื่อ! ฉันจะนั่งรออยู่ตรงนี้ ให้มันรู้ไปว่าจะไม่ลงมาเลยทั้งวัน” หญิงสาวเดินไปนั่งยังชุดโซฟารับแขกใหญ่ของสถานที่ ดวงตาเครียดแค้นยังปราดมองมา “ถ้าโกหกนะ ฉันจะเอาเรื่องให้พวกอยู่ไม่ได้เลยทีเดียว”




คนที่กำลังเดินมาโต๊ะฟร้อนนั้นมีรอยยิ้มเป็นมิตรที่สว่างชัดเจนจนสามารถเรียกทั้งอาการตะลึงและรอยยิ้ม จากคนทั้งสองที่เพิ่งเจอเหตุการณ์พายุลงไปเมื่อครู่ได้

“เผอิญไม่ได้เอาคีย์การ์ดสำหรับลิฟท์มา รบกวนช่วยกดลิฟท์ให้ด้วยค่ะ” แม้แต่น้ำเสียงที่เอ่ยก็ยังฟังรื่นหู

“ครับ เชิญครับคุณเกด” เบลล์บอยยิ้มกว้าง ตื่นเต้น เขินอาย ก่อนจะเดินนำหญิงสาวไปยังบริเวณโถงลิฟท์ที่อยู่ด้านหลังกำแพงใหญ่ที่ทำจากหินอ่อนงดงาม

เกษราเพียงแค่ปรายตามองคนที่นั่งจิ้มโทรศัพท์มือถือฆ่าเวลาบนโซฟาใหญ่

ผู้หญิงคนนี้เธอก็เคยได้ยินกิตติศัพท์มาบ้าง เพราะชินนภามีชื่อติดอันดับต้นๆ ของแวดวงสังคม มีบิดาเป็นถึงนายตำรวจใหญ่ มีเงิน มีอำนาจในมือ และชื่อเสียงกับชื่อเสียของชินนภาก็มีเกือบเท่าๆ กัน

และการซุบซิบที่ได้ยินมาทำให้พอรู้ว่า ผู้ชายในชีวิตของชินนภาถูกสลับเปลี่ยนอยู่บ่อยครั้ง

บางที…เพราะว่าเจ้าหล่อนเบื่อ

บางที…เพราะว่าต่างคนต่างเลือกที่จะไม่ทน

หากหลายต่อหลายที…เป็นเพราะว่าฝ่ายชายทนไม่ไหว

คราวนี้ ผู้ชายของชินนภาจอมราวีดันมาเป็นอีตาภูเก็ต คนเช่าห้องของเธอ

เกษราทำได้เพียงถอนหายใจ หวังอย่างยิ่งยวดว่าจะไม่มีเรื่องให้ปวดหัว

“คุณภูเก็ตออกจะดี ไม่น่าไปคบผู้หญิงแบบนั้นเลย”

คำบอกของเบลล์บอยหลังจากที่ทั้งคู่เข้ามาในลิฟท์ ทำให้เกษรายิ้มอ่อน

“เขาคงต้องการความตื่นเต้นในชีวิต แต่ก็เป็นผู้ชายที่น่าอิจฉาจริงๆ มีผู้หญิงมาตามหาแต่เช้า”

“ผู้จัดการของคุณเกดก็ถามเหมือนกันครับ” คนบอกยิ้มแหยๆ

“น่าอิจฉาจริงๆ แหละ” รอยยิ้มขบขันเป็นประกายไม่ต่างจากดวงตาบ่งบอกความสดใส โดยไม่มีการเสแสร้ง “แต่พี่ซิต้องปวดหัว ที่มีคนเช่าห้องเป็นแบบนี้”

“คุณเกดไม่ต้องห่วงหรอกครับ คุณภูเก็ตแกไม่มีอะไร เรื่องจ่ายค่าห้องค่าอะไรก็ตรงเวลา แถมอัธยาศัยดี แกอยู่ที่นี่มาสี่ปีกว่าแล้ว เพิ่งจะมีเรื่องปวดหัวก็ตอน…ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาในชีวิต”

การเอ่ยเอื้อนคำว่า ‘ผู้หญิงคนนั้น’ เป็นไปด้วยความกระอักกระอ่วมใจเสียยิ่งนัก จนเกษรานึกขัน

“เขาเรียกว่าอยู่ดีไม่ว่าดีซินะ” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ อยากจะนึกสงสารคนเช่าห้องของเธอ

เพียงแต่ว่าตราบใดที่เขายังไม่ย้ายออก เธอก็ไม่รู้สึกสงสารนักหรอก




(ต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่