อาทิตย์อับแสง (บทที่ 43)
ทำไมอัญชลีจะจำไม่ได้ว่าหลายเดือนก่อน พนักงานประจำหน้าฟร้อนท์คนนี้ของคอนโดเคยกีดกันไม่ให้เธอขึ้นไปพบภูเก็ต เพียงแต่วันนี้ ไม่ใช่เมื่อวาน เพราะในตอนนี้มีข้าวของส่วนตัวมากมายที่เธอต้องให้พนักงานเบลล์สองคนช่วยเข็นขึ้นไปที่ห้อง
หญิงสาวแสร้งหยุดตรงหน้าโต๊ะต้อนรับบริเวณคอนโด เช่นที่เธอมักทำทุกครั้งในระยะเวลาเดือนกว่าที่แวะเวียนมาเป็นแขกประจำของภูเก็ต
การสั่งในหลายเรื่องรัวเร็วและเฉียบราวสั่งงานที่ขาดตกบกพร่องไม่ได้ พร้อมนัยน์ตาแข็งกร้าวอำมหิตจริงจังเอาจริงที่บัดนี้ทำให้อีกฝ่ายเกรงกลัว เพียงแต่ว่าพอภูเก็ตเดินเข้ามา ใบหน้าสะสวยของอัญชลีก็พลันเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มฉาบทรงเสน่ห์ ไม่ต่างจากแววตาเป็นประกายใสซื่อนั่นแลย
“แอนนี่กำลังทักทายพี่เขาอยู่พอดีค่ะ จะได้คุ้นหน้าคุ้นตากัน” เสียงหวานแจ้วออเซาะประจบ ยามที่เขาเอื้อมแขนมา
หญิงสาวซุกในอ้อมกอดของเขาพากันเดินมายังบริเวณโถงลิฟต์ไม่ทันเห็นแววตาเขียวปัดของพนักงานฟร้อนท์ที่ไม่ปิดบังความไม่พอใจแม้เมื่อพีทซี่และเกษราเดินเข้ามาในอีกไม่กี่นาทีให้หลัง
“เป็นอะไรยะ” ผู้จัดการดาราถามด้วยความขบขัน เมื่อเห็นอาการตาค้าง งุนงงของพนักงาน
“ก็คุณภูเก็ตน่ะซิคะ เอายัยโรคจิตช่างตื้อย้ายเข้ามาอยู่ด้วย ตอนนั้นก็หลงดีใจเห็นว่าคุณภูเก็ตเขี่ยทิ้งไปแล้วเชียว นี่ไม่รู้ไปโดนคุณไสยอะไรหรือเปล่า ทำรักกันปานจะกลืน”
คำบอกไม่ได้ทำให้พีทซี่หัวเราะสนุกเช่นเคย และไม่ได้ทำให้สีหน้าของนางเอกคนดังที่ยืนอยู่ข้างๆ เปลี่ยนไปจากความเรียบเฉยที่มีอยู่ก่อนหน้า ทั้งคู่เดินมายังบริเวณรอลิฟต์แต่ไม่พบใครคนอื่น
“คงขึ้นกันไปแล้วล่ะ” พีทซี่ถอนหายใจโล่งใจ แล้วกระซิบกระซาบ “ถือว่าฉันมองคุณภูผิดไปจริงๆ ผู้ชายเจ้าชู้ สันดานเปลี่ยนยาก ผู้ชายประเภทนี้ เบื่อง่าย มัดใจได้ยาก เพราะปราศจากคุณธรรมเป็นพื้นฐานของนิสัยสันดานและบุคลิกภาพ แต่เอาเข้าจริงนะ หรือว่าเขาจะผิดหวังจากเธอ แล้วยังเรื่องภาพหลุดนั่น ที่ตอนนี้หลายคนชักสงสัยว่าเป็นของลูกสาวเจ้าสัวเกรียงไกร แล้วใครทำนะ แหม…มันอำมหิตผิดมนุษย์จริงๆ โปรยไว้ในงานเผาคุณยายด้วย”
“ช่างเถอะพีทซี่ ไม่ใช่ปัญหาของเราแล้ว”
“แต่เธอไม่เป็นไรนะ”
“ทำไมต้องเป็น” เกษรายิ้มเยือกเย็น ไม่สะทกสะท้านใดๆ
“ไม่เป็นก็ไม่เป็น…” พีทซี่สรุปเช่นนั้นทั้งๆ ที่ไม่ปักใจเชื่อ
ความสงสัย ใคร่รู้ อยากจะเรียบเรียงเคียงถามทำให้เธอตัดสินใจโทรฯ หาภูเก็ตในอีกชั่วโมงกว่าต่อมา นัดเขาให้ลงมาเจอในห้องประชุมส่วนกลางของคอนโด
สภาพของนายแบงก์รูปงาม…ไม่ซิ อดีตนายแบงก์ คงเคล้าความหล่อด้วยเสน่ห์ชวนมอง แต่อาการเซเล็กน้อย และเสื้อผ้ายับยู่ยี่ทำให้พีทซีต้องอุทาน
“ต๊ายคุณภู เพิ่งทำสงครามกับปีศาจมารร้ายตัวไหนมาคร๊า”
มือใหญ่ของผู้จัดการดาราร่างยักษ์แอบกดที่โทรศัพท์มือถือของตัวเอง โดยที่สายตายังไม่ละจากชายหนุ่มที่ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้นวมข้างๆ
“ได้ข่าวว่าคุณภูคั่วอยู่กับสาวน้อยคนใหม่อยู่เหรอ แหม…มิน่าหายไปเลย ลืมเพื่อนๆ เลยนะคะ”
“ก็ไม่ใหม่นักหรอกครับ เรารู้จักกันมาพักใหญ่แล้ว ทำงานด้วยกันมา คุณพีทซี่ก็น่าจะรู้จัก เมื่อก่อนแอนนี่อยู่ทีมบี เป็นลูกของแม่เลี้ยงไอ้ณัฐ เธอน่าสงสารนะครับ โดนหางเลขเพราะความเลวของไอ้ณัฐด้วย” คำพูดไหลลื่นไม่ติดขัด ราวว่าเขารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ เพียงแต่ว่าการทำมือแปลกๆ โดยใช้นิ้วไข้วกันที่มีเพียงพีทซี่ที่นั่งยังโซฟายาวข้างๆ เท่านั้นที่เห็น เพียงแต่เหมือนว่าเธอจะไม่เห็นเช่นนั้น “ผมอยู่กับแอนนี่แล้วสบายใจ แอนนี่รู้จักพูด รู้จักเอาใจ ทำให้ผมสบายใจ บางคนรวยมาก อีโก้สูงมาก แต่สร้างความลำบากใจให้เสมอๆ อยู่ด้วยก็พาลทำให้เราต้องคิดหนัก”
“แต่คุณภูก็รัก…เคยรักครูโรสไม่ใช่หรือคะ รักฝังใจขนาดละเมอหา” พีทซี่สงสัย จนไม่ทันสังเกตแววตาของอีกฝ่ายและท่าทีที่เขามักขยับตัวมองด้วยหางตาไปยังบริเวณประตูทางเข้าออก
“ระรินเหรอครับ ไม่ไหวหรอกครับ ผู้หญิงแบบนั้น มีเงิน มีชาติตระกูลก็ไม่ใช่ว่าจะมีศีลธรรม ผมรับไม่ได้ ต่อให้เคยรักอย่างไร ก็รักไม่ไหว แถมใจร้ายใจดำทิ้งกันไปแบบนั้น”
การบอกของเขาทำให้อีกฝ่ายอ้าปากค้าง ไม่คาดคิด ใครจะคิด “แต่คุณภู…อ้าว แล้วกับเกดล่ะคะ คุณภูเข้าใจเกดผิดนะ คืนนั้นมันไม่ใช่…”
“เกษราเป็นผู้หญิงที่แย่ที่สุดเท่าที่ผมเคยพบเจอมา ขี้วีน ชอบหาเรื่อง เป็นข่าวได้ไม่เว้นแต่ละวัน ซ้ำมีแต่ข่าวฉาว แล้วยังแต่งตัวก็ล่อแหลม และด้วยนิสัยส่วนตัว คนของคุณพีทซี่เข้าใจอะไรง่ายๆ เสียที่ไหนล่ะ เอาแต่ใจ ปากก็ร้าย อีโก้สูง…”
เพราะไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดเหล่านี้จากปากภูเก็ต ผู้จัดการดาราคนดังจึงเกือบร้องกรี๊ดออกมา พร้อมๆ กับคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมา สะบัดตัวลุกขึ้นอย่างเดือดดาล
“พีทซี่เสียใจและผิดหวังกับคุณภูมากๆ ไม่เคยคิดว่าจะเป็นคนแบบนี้”
“ผมก็เป็นแบบนี้ล่ะครับ ผมก็มีอีโก้…มีผู้หญิงมากมายที่สนใจผม คงไม่จมอยู่กับอดีตบ้าๆ กับคนไร้สาระที่สร้างแต่ความปวดหัวให้หรอกครับ”
“อีตา…” พีทซี่อดกลั้น พยายามเก็บคำพูด รักษามารยาท “ที่ผ่านมาพีทซี่ดูคุณผิดไป ดูผิดไปมาก”
เธอสะบัดตัวเดินออกมาอย่างเร็ว แต่ก็ช้ากว่าผู้หญิงที่แอบฟังอยู่ข้างนอกของประตูห้องนัก เพราะเมื่อเดินออกมาพีทซี่ก็ไม่เห็นใคร นอกจากความว่างเปล่า ไม่ต่างจากแววตาของชายหนุ่มที่เธอทิ้งให้เขานั่งอยู่ตรงนั้น
ภูเก็ตกำลังกล้ำกลืนก้อนแข็งๆ ลงลำคอตีบตัน กว่าจะลุกขึ้นยืนได้ ก็ใช้เวลา…นานพอที่โทรศัพท์มือถือของเขาจะดังขึ้น
“ผมคุยกับคุณพีทซี่เสร็จแล้ว กำลังจะกลับขึ้นไป” ภูเก็ตรายงาน เพราะรู้ว่านั่นคือสิ่งที่อัญชลีต้องการรู้และเขาก็ไม่แปลกใจนักหรอกที่ได้ยินเธอบอก
“แอนนี่ลงมาหาถุงอีกถุงข้างล่างนะคะ เหมือนว่าคนยกกระเป๋าเอาขึ้นไปให้ไม่ครบ นี่ก็กำลังจะขึ้นไปเหมือนกัน”
ชายหนุ่มเพียงแสยะยิ้มกับตัวเอง เดินออกมาข้างนอกห้องประชุมเล็กช้าๆ ไปยังบริเวณลิฟต์อาคาร เขามั่นใจว่าได้ยินเสียงกุกกักจากบริเวณอีกด้านของกำแพง เพียงแต่ว่าเลือกที่จะทำเป็นไม่ได้ยิน เมินมันซะ
ก็เหมือนกับที่เขาเมินความรู้สึกของตัวเองในเวลาที่ต้อง…ทนอยู่กับอัญชลี
ความเศร้า…ความเจ็บปวด มันล้วนเป็นเรื่องปรกติของชีวิต แต่ให้เกิดขึ้นกี่ครั้ง เกษราก็ไม่สามารถจะทนทำใจให้มันพ้นผ่านไปได้ง่ายๆ สักที
กว่าจะผ่านพ้น ช่างขื่นขมยาวนาน และครั้งนี้ก็เหมือนจะนานกว่าปรกตินัก คำพูดของภูเก็ตกับพีทซี่ที่เธอได้ฟังสดๆ มันยังกรีดเป็นแผลลึกบาดให้เธอเจ็บปวดใจยิ่งยวด ให้ผ่านมาหลายวัน แต่ทุกคำของเขาก็ยังตราตรึงอยู่ในหัว
ไม่เคยคิดว่าจะได้ยินคำพวกแสนร้ายกาจจากปากของเขาผู้ที่เคยพร่ำบอกว่า…คิดจะรักเธอ
ที่เคยมีแต่สัมผัสอ่อนโยน อ่อนหวาน แล้วยังแววตาเป็นประกายชวนให้เธอหวิววาบในความรู้สึก
ความเจ็บปวดเพราะคำพูดของเขา สะเทือนสะท้านแม้กระทั่งในตอนนี้ที่เธอบินมาเจอเจ้าสัวเกรียงไกร นัดพบกันในไร่ไวน์ส่วนตัวที่มหาเศรษฐีเจ้าของธนาคารสามารถกว้านซื้อมาได้ในเขตโซโนม่าของรัฐแคลิฟอร์เนีย
“ไร่นี้ไม่ได้ส่งองุ่นให้กับ Peter Michael ที่เธอชอบนักหนา แต่ไวน์ที่ผลิตออกมาก็ให้น้ำหนัก ให้รส ให้กลิ่นได้ดีไม่แพ้กันเลย” คนพูดกวาดสายตามองไปรอบๆ บริเวณไร่องุ่นที่แผ่อาณาเขตเกือบห้าสิบไร่อยู่ด้านล่างของอาคารเล็กที่บุผนังด้วยกระจกแก้วหนา เฉลียงกว้างเหมาะสำหรับจัดเลี้ยงขนาดเล็กบัดนี้ใช้ต้อนรับเพียงแค่เขากับนางเอกสาวเท่านั้น
“เจ้าสัวคงไม่ได้นัดให้ดิฉันมาเจอถึงที่นี่เพียงเพื่อชิมไวน์หรอกนะคะ”
“มันเป็นสถานที่เดียวที่เราสามารถคุยกันได้อย่างสะดวกและเป็นส่วนตัว เพราะเรื่องที่ต้องคุยมันสำคัญมากสำหรับชีวิตของเราทั้งคู่” รอยยิ้มที่ปรากฏแฝงแววเศร้าระคนยินดีคละเคล้ากัน “และมันเป็นสถานที่เดียวที่ฉันมั่นใจว่าต่อให้ต้องบอกเธอถึงเรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิต แต่กลิ่นดินและไอแดด รวมทั้งความชุ่มฉ่ำของไวน์ก็จะช่วยทำให้ใจของเธอสบายขึ้น ดีขึ้น"
“เพราะอะไรคะ” เสียวตวัดสูงถาม ระหว่างที่สายตาของเธอมองเหมียวเปรี้ยวและคนของเจ้าสัวเกรียงไกรอีกคนที่ยืนรออยู่ข้างๆ รถเอสยูวีสีดำคันใหญ่ห่างออกไปไกล
“ฉันได้คุยกับคุณป้าของเธอแล้ว ขออนุญาตแล้ว” เกรียงไกรหัวเราะในลำคอ เมื่อเห็นแววฉงนจากดวงหน้าของอีกฝ่าย “มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ แต่พื้นฐานจิตใจของคุณป้าเธอดี เป็นคนดี แม้จะแค้นฉันมากมายนัก แต่ก็ไม่ได้อาฆาตจ้องจะล้างแค้นให้ตายกันไปข้าง แต่นั่นอาจเป็นเพราะคุณมัลลิกาเห็นแล้วกระมังว่า…เวรกรรม มันจ่อเอาคืนฉันอยู่โทนโท่แล้ว อย่างไรก็เถอะ คนที่สามารถปล่อย วาง ยุติได้…แบบนี้ได้หายาก โดยเฉพาะกับสิ่งที่ฉันและภรรยาของฉันเคยได้ทำกับปัทมา แม่ของเธอ”
“ท่านเจ้าสัวหมายถึง…”
“ฉันคงเล่าเองไม่ไหวหรอก เพราะฉันไม่เข้มแข็งขนาดนั้น” เขายื่นซองจดหมายสีขาวที่บัดนี้เคลือบด้วยสีน้ำตาลอ่อนตามกาลเวลา “เธออ่านเองดีกว่า เพราะอย่างน้อยมันก็เป็นสิ่งที่เธอควรรู้”
และเกษราก็ตั้งใจอ่านทุกประโยคทุกคำของทุกบรรทัดในจดหมายยาวสองหน้ากระดาษนั่น ยิ่งอ่านหยดน้ำตาของเธอก็ยิ่งรินไหลพรั่งพรู
สงสารแม่จับใจ…และพลอยนึกอยากจะเกลียดผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ณ ตอนนี้
เพราะความรัก เมื่อมีคนสมหวังก็มักจะต้องมีใครผิดหวังเสมอ
เพราะความอิจฉาริษยา เมื่อเห็นคนอื่นสมหวัง ได้ของรักที่ตัวเองหวงไปครอบครองทั้งกายและใจ ก็แปรเป็นความอาฆาตแค้น
เพราะความคิดผิดที่ทำให้ภรรยาของเจ้าสัวเกรียงไกรสั่งให้ผู้เป็นพี่ชายของตนขมขืนกระทำชำเราปัทมา ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่แทบทุกครั้งที่เกรียงไกรต้องเดินทางไปดูงานที่ต่างประเทศ
“ปัทหนีฉันไป ฉันไม่เคยรู้เหตุผล แต่ตอนนี้รู้แล้ว ยิ่งรู้ก็ยิ่งเจ็บปวด” เสียงสะทกสะท้านบ่งบอกถึงความระทมทุกข์แสนสาหัส โดยเฉพาะเมื่อเห็นสายตาของหญิงสาวที่มองมา
เสียใจ
แล้วยัง…ไม่ไว้วางใจ
“แม่ฆ่าตัวตายเพราะคุณ เพราะพวกคุณ!” เสียงของหญิงสาวคล้ายสำลัก ดวงตามีหยดน้ำหล่อลื่น
แม่ทนอยู่กล้ำกลืนความทุกข์ระทมและตราบาป ก็เพียงเพื่อให้เธอผู้เป็นลูกได้เกิด…ให้ลูกมีชีวิตอยู่
แม่…ไม่ทำลายเธอ แต่แม่ก็ไม่สามารถละความเจ็บปวดเพราะคราบมลทินที่เกาะติดตัวและหัวใจ
เกษรารู้จากคุณมัลลิกาแต่เพียงว่า แม่…จากไปตั้งแต่ตอนที่เธออายุเพียงขวบเดียว
เมื่อสิ้นลมหายใจ ก็ไม่มีใครรู้หรอกว่า แม่…คลายความเจ็บปวดนั้นลงได้หรือไม่ แต่ผู้ชายที่ยืนอยู่หน้าเธอตอนนี้ เกษราย่อมเห็น
ความรวดร้าว แสนสาหัส
“ถ้าฉันรู้ตอนนั้น…ถ้า…”
“แล้วจะทำอะไร ขนาดไอ้คนทำ ไอ้คนชั่วช้าสารเลวคนนี้” มือที่จับจดหมายสั่นระริกรัวด้วยความเกลียดชังสุดขั้วหัวใจ “ขนาดมันสำนึกผิด แล้วยังไง ฆ่าตัวตายตามแม่ของฉันมันก็ไม่กล้า หนอยคิดจะใช้จีวรบังก็ไม่มีพระดีๆ ที่ไหนเขาบวชให้”
“แต่อย่างน้อยถ้าฉันได้รู้ ฉันก็จะเลือกอยู่กับปัท เลือกที่จะรักผู้หญิงที่ฉันรักที่สุดในชีวิตเหมือนเดิม นั่นคือสิ่งที่ฉันทำได้ และฉันก็เลือกที่จะเลี้ยงดูเธอ ไม่ว่าเธอจะเป็นลูกของฉันหรือไม่ก็ตาม”
“ไม่จำเป็น เพราะดิฉันโตมาก็รู้ว่ามีแม่ที่แม้จะจากดิฉันไปแล้ว แต่ก็รักดิฉันมาก มีป้ามีลุง มียาย ได้รับความรักความอบอุ่น และการเลี้ยงดูอย่างดี จนดิฉันไม่เคยคิดว่า…ขาด แต่ครอบครัวคุณซิขาด เมียคุณขาดความรัก ขาดคุณธรรม ลูกสาวของคุณ…” เกษราชะงักไปเมื่อนึกถึงคำพูดที่เตรียมจะเอ่ย หากแล้ว…สำนึก ทำให้เธอยับยั้งคำพูดที่เจ็บปวด “ส่วนคุณมีเงินมีทองรวยเป็นมหาเศรษฐีติดอันดับโลก แต่ยังไงล่ะ…”
“ถึงฉันไม่คาดหวังว่าเธอจะยกโทษให้ฉัน ให้ภรรยาของฉัน แต่ฉันก็ต้องถามด้วยความหวังว่า…เธอให้อภัยเราได้ไหมเกษรา เพราะฉันเองก็เสียใจไม่แพ้เธอ ไม่แพ้คุณยายคุณป้าของเธอ เพราะปัทมาคือแสงสว่าง คือความหวังในชีวิตฉัน เธอพูดถูก…ฉันขาดความสุขไงเกษรา เพราะฉันไม่เคยมีความสุขอีกเลยนับตั้งแต่ปัทจากฉันไป”
เกษราจ้องหน้าอีกฝ่ายไม่วางตาดวงตางดงามคู่นั้นแข็งกร้าวเย็นชา
“ดิฉันไม่มีสิทธิ์ให้อภัยคุณหรอก ในตอนนี้คนที่ทำได้ก็มีแต่ป้าลิ เพราะเมียของคุณ เพราะพี่เขยของคุณทำใรสิ่งที่ทำให้ป้าลิต้องผจญกับความสูญเสียอันโหดร้าย ส่วนฉัดินแม้ตอนนี้จะเจ็บปวดเพราะรับรู้ความจริง แต่ความเจ็บก็คงไม่เท่าครึ่งที่ยายกับป้าของดิฉันต้องเจอ” แววตาของเธออ่อนลง เมื่อทอดเสียง “ถ้าป้าลิยกโทษให้คุณได้ ดิฉันก็ทำใจยอมรับทุกอย่างได้เช่นกัน”
(ต่อ)
อาทิตย์อับแสง (บทที่ 43) โดย มานัส
ทำไมอัญชลีจะจำไม่ได้ว่าหลายเดือนก่อน พนักงานประจำหน้าฟร้อนท์คนนี้ของคอนโดเคยกีดกันไม่ให้เธอขึ้นไปพบภูเก็ต เพียงแต่วันนี้ ไม่ใช่เมื่อวาน เพราะในตอนนี้มีข้าวของส่วนตัวมากมายที่เธอต้องให้พนักงานเบลล์สองคนช่วยเข็นขึ้นไปที่ห้อง
หญิงสาวแสร้งหยุดตรงหน้าโต๊ะต้อนรับบริเวณคอนโด เช่นที่เธอมักทำทุกครั้งในระยะเวลาเดือนกว่าที่แวะเวียนมาเป็นแขกประจำของภูเก็ต
การสั่งในหลายเรื่องรัวเร็วและเฉียบราวสั่งงานที่ขาดตกบกพร่องไม่ได้ พร้อมนัยน์ตาแข็งกร้าวอำมหิตจริงจังเอาจริงที่บัดนี้ทำให้อีกฝ่ายเกรงกลัว เพียงแต่ว่าพอภูเก็ตเดินเข้ามา ใบหน้าสะสวยของอัญชลีก็พลันเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มฉาบทรงเสน่ห์ ไม่ต่างจากแววตาเป็นประกายใสซื่อนั่นแลย
“แอนนี่กำลังทักทายพี่เขาอยู่พอดีค่ะ จะได้คุ้นหน้าคุ้นตากัน” เสียงหวานแจ้วออเซาะประจบ ยามที่เขาเอื้อมแขนมา
หญิงสาวซุกในอ้อมกอดของเขาพากันเดินมายังบริเวณโถงลิฟต์ไม่ทันเห็นแววตาเขียวปัดของพนักงานฟร้อนท์ที่ไม่ปิดบังความไม่พอใจแม้เมื่อพีทซี่และเกษราเดินเข้ามาในอีกไม่กี่นาทีให้หลัง
“เป็นอะไรยะ” ผู้จัดการดาราถามด้วยความขบขัน เมื่อเห็นอาการตาค้าง งุนงงของพนักงาน
“ก็คุณภูเก็ตน่ะซิคะ เอายัยโรคจิตช่างตื้อย้ายเข้ามาอยู่ด้วย ตอนนั้นก็หลงดีใจเห็นว่าคุณภูเก็ตเขี่ยทิ้งไปแล้วเชียว นี่ไม่รู้ไปโดนคุณไสยอะไรหรือเปล่า ทำรักกันปานจะกลืน”
คำบอกไม่ได้ทำให้พีทซี่หัวเราะสนุกเช่นเคย และไม่ได้ทำให้สีหน้าของนางเอกคนดังที่ยืนอยู่ข้างๆ เปลี่ยนไปจากความเรียบเฉยที่มีอยู่ก่อนหน้า ทั้งคู่เดินมายังบริเวณรอลิฟต์แต่ไม่พบใครคนอื่น
“คงขึ้นกันไปแล้วล่ะ” พีทซี่ถอนหายใจโล่งใจ แล้วกระซิบกระซาบ “ถือว่าฉันมองคุณภูผิดไปจริงๆ ผู้ชายเจ้าชู้ สันดานเปลี่ยนยาก ผู้ชายประเภทนี้ เบื่อง่าย มัดใจได้ยาก เพราะปราศจากคุณธรรมเป็นพื้นฐานของนิสัยสันดานและบุคลิกภาพ แต่เอาเข้าจริงนะ หรือว่าเขาจะผิดหวังจากเธอ แล้วยังเรื่องภาพหลุดนั่น ที่ตอนนี้หลายคนชักสงสัยว่าเป็นของลูกสาวเจ้าสัวเกรียงไกร แล้วใครทำนะ แหม…มันอำมหิตผิดมนุษย์จริงๆ โปรยไว้ในงานเผาคุณยายด้วย”
“ช่างเถอะพีทซี่ ไม่ใช่ปัญหาของเราแล้ว”
“แต่เธอไม่เป็นไรนะ”
“ทำไมต้องเป็น” เกษรายิ้มเยือกเย็น ไม่สะทกสะท้านใดๆ
“ไม่เป็นก็ไม่เป็น…” พีทซี่สรุปเช่นนั้นทั้งๆ ที่ไม่ปักใจเชื่อ
ความสงสัย ใคร่รู้ อยากจะเรียบเรียงเคียงถามทำให้เธอตัดสินใจโทรฯ หาภูเก็ตในอีกชั่วโมงกว่าต่อมา นัดเขาให้ลงมาเจอในห้องประชุมส่วนกลางของคอนโด
สภาพของนายแบงก์รูปงาม…ไม่ซิ อดีตนายแบงก์ คงเคล้าความหล่อด้วยเสน่ห์ชวนมอง แต่อาการเซเล็กน้อย และเสื้อผ้ายับยู่ยี่ทำให้พีทซีต้องอุทาน
“ต๊ายคุณภู เพิ่งทำสงครามกับปีศาจมารร้ายตัวไหนมาคร๊า”
มือใหญ่ของผู้จัดการดาราร่างยักษ์แอบกดที่โทรศัพท์มือถือของตัวเอง โดยที่สายตายังไม่ละจากชายหนุ่มที่ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้นวมข้างๆ
“ได้ข่าวว่าคุณภูคั่วอยู่กับสาวน้อยคนใหม่อยู่เหรอ แหม…มิน่าหายไปเลย ลืมเพื่อนๆ เลยนะคะ”
“ก็ไม่ใหม่นักหรอกครับ เรารู้จักกันมาพักใหญ่แล้ว ทำงานด้วยกันมา คุณพีทซี่ก็น่าจะรู้จัก เมื่อก่อนแอนนี่อยู่ทีมบี เป็นลูกของแม่เลี้ยงไอ้ณัฐ เธอน่าสงสารนะครับ โดนหางเลขเพราะความเลวของไอ้ณัฐด้วย” คำพูดไหลลื่นไม่ติดขัด ราวว่าเขารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ เพียงแต่ว่าการทำมือแปลกๆ โดยใช้นิ้วไข้วกันที่มีเพียงพีทซี่ที่นั่งยังโซฟายาวข้างๆ เท่านั้นที่เห็น เพียงแต่เหมือนว่าเธอจะไม่เห็นเช่นนั้น “ผมอยู่กับแอนนี่แล้วสบายใจ แอนนี่รู้จักพูด รู้จักเอาใจ ทำให้ผมสบายใจ บางคนรวยมาก อีโก้สูงมาก แต่สร้างความลำบากใจให้เสมอๆ อยู่ด้วยก็พาลทำให้เราต้องคิดหนัก”
“แต่คุณภูก็รัก…เคยรักครูโรสไม่ใช่หรือคะ รักฝังใจขนาดละเมอหา” พีทซี่สงสัย จนไม่ทันสังเกตแววตาของอีกฝ่ายและท่าทีที่เขามักขยับตัวมองด้วยหางตาไปยังบริเวณประตูทางเข้าออก
“ระรินเหรอครับ ไม่ไหวหรอกครับ ผู้หญิงแบบนั้น มีเงิน มีชาติตระกูลก็ไม่ใช่ว่าจะมีศีลธรรม ผมรับไม่ได้ ต่อให้เคยรักอย่างไร ก็รักไม่ไหว แถมใจร้ายใจดำทิ้งกันไปแบบนั้น”
การบอกของเขาทำให้อีกฝ่ายอ้าปากค้าง ไม่คาดคิด ใครจะคิด “แต่คุณภู…อ้าว แล้วกับเกดล่ะคะ คุณภูเข้าใจเกดผิดนะ คืนนั้นมันไม่ใช่…”
“เกษราเป็นผู้หญิงที่แย่ที่สุดเท่าที่ผมเคยพบเจอมา ขี้วีน ชอบหาเรื่อง เป็นข่าวได้ไม่เว้นแต่ละวัน ซ้ำมีแต่ข่าวฉาว แล้วยังแต่งตัวก็ล่อแหลม และด้วยนิสัยส่วนตัว คนของคุณพีทซี่เข้าใจอะไรง่ายๆ เสียที่ไหนล่ะ เอาแต่ใจ ปากก็ร้าย อีโก้สูง…”
เพราะไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดเหล่านี้จากปากภูเก็ต ผู้จัดการดาราคนดังจึงเกือบร้องกรี๊ดออกมา พร้อมๆ กับคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมา สะบัดตัวลุกขึ้นอย่างเดือดดาล
“พีทซี่เสียใจและผิดหวังกับคุณภูมากๆ ไม่เคยคิดว่าจะเป็นคนแบบนี้”
“ผมก็เป็นแบบนี้ล่ะครับ ผมก็มีอีโก้…มีผู้หญิงมากมายที่สนใจผม คงไม่จมอยู่กับอดีตบ้าๆ กับคนไร้สาระที่สร้างแต่ความปวดหัวให้หรอกครับ”
“อีตา…” พีทซี่อดกลั้น พยายามเก็บคำพูด รักษามารยาท “ที่ผ่านมาพีทซี่ดูคุณผิดไป ดูผิดไปมาก”
เธอสะบัดตัวเดินออกมาอย่างเร็ว แต่ก็ช้ากว่าผู้หญิงที่แอบฟังอยู่ข้างนอกของประตูห้องนัก เพราะเมื่อเดินออกมาพีทซี่ก็ไม่เห็นใคร นอกจากความว่างเปล่า ไม่ต่างจากแววตาของชายหนุ่มที่เธอทิ้งให้เขานั่งอยู่ตรงนั้น
ภูเก็ตกำลังกล้ำกลืนก้อนแข็งๆ ลงลำคอตีบตัน กว่าจะลุกขึ้นยืนได้ ก็ใช้เวลา…นานพอที่โทรศัพท์มือถือของเขาจะดังขึ้น
“ผมคุยกับคุณพีทซี่เสร็จแล้ว กำลังจะกลับขึ้นไป” ภูเก็ตรายงาน เพราะรู้ว่านั่นคือสิ่งที่อัญชลีต้องการรู้และเขาก็ไม่แปลกใจนักหรอกที่ได้ยินเธอบอก
“แอนนี่ลงมาหาถุงอีกถุงข้างล่างนะคะ เหมือนว่าคนยกกระเป๋าเอาขึ้นไปให้ไม่ครบ นี่ก็กำลังจะขึ้นไปเหมือนกัน”
ชายหนุ่มเพียงแสยะยิ้มกับตัวเอง เดินออกมาข้างนอกห้องประชุมเล็กช้าๆ ไปยังบริเวณลิฟต์อาคาร เขามั่นใจว่าได้ยินเสียงกุกกักจากบริเวณอีกด้านของกำแพง เพียงแต่ว่าเลือกที่จะทำเป็นไม่ได้ยิน เมินมันซะ
ก็เหมือนกับที่เขาเมินความรู้สึกของตัวเองในเวลาที่ต้อง…ทนอยู่กับอัญชลี
ความเศร้า…ความเจ็บปวด มันล้วนเป็นเรื่องปรกติของชีวิต แต่ให้เกิดขึ้นกี่ครั้ง เกษราก็ไม่สามารถจะทนทำใจให้มันพ้นผ่านไปได้ง่ายๆ สักที
กว่าจะผ่านพ้น ช่างขื่นขมยาวนาน และครั้งนี้ก็เหมือนจะนานกว่าปรกตินัก คำพูดของภูเก็ตกับพีทซี่ที่เธอได้ฟังสดๆ มันยังกรีดเป็นแผลลึกบาดให้เธอเจ็บปวดใจยิ่งยวด ให้ผ่านมาหลายวัน แต่ทุกคำของเขาก็ยังตราตรึงอยู่ในหัว
ไม่เคยคิดว่าจะได้ยินคำพวกแสนร้ายกาจจากปากของเขาผู้ที่เคยพร่ำบอกว่า…คิดจะรักเธอ
ที่เคยมีแต่สัมผัสอ่อนโยน อ่อนหวาน แล้วยังแววตาเป็นประกายชวนให้เธอหวิววาบในความรู้สึก
ความเจ็บปวดเพราะคำพูดของเขา สะเทือนสะท้านแม้กระทั่งในตอนนี้ที่เธอบินมาเจอเจ้าสัวเกรียงไกร นัดพบกันในไร่ไวน์ส่วนตัวที่มหาเศรษฐีเจ้าของธนาคารสามารถกว้านซื้อมาได้ในเขตโซโนม่าของรัฐแคลิฟอร์เนีย
“ไร่นี้ไม่ได้ส่งองุ่นให้กับ Peter Michael ที่เธอชอบนักหนา แต่ไวน์ที่ผลิตออกมาก็ให้น้ำหนัก ให้รส ให้กลิ่นได้ดีไม่แพ้กันเลย” คนพูดกวาดสายตามองไปรอบๆ บริเวณไร่องุ่นที่แผ่อาณาเขตเกือบห้าสิบไร่อยู่ด้านล่างของอาคารเล็กที่บุผนังด้วยกระจกแก้วหนา เฉลียงกว้างเหมาะสำหรับจัดเลี้ยงขนาดเล็กบัดนี้ใช้ต้อนรับเพียงแค่เขากับนางเอกสาวเท่านั้น
“เจ้าสัวคงไม่ได้นัดให้ดิฉันมาเจอถึงที่นี่เพียงเพื่อชิมไวน์หรอกนะคะ”
“มันเป็นสถานที่เดียวที่เราสามารถคุยกันได้อย่างสะดวกและเป็นส่วนตัว เพราะเรื่องที่ต้องคุยมันสำคัญมากสำหรับชีวิตของเราทั้งคู่” รอยยิ้มที่ปรากฏแฝงแววเศร้าระคนยินดีคละเคล้ากัน “และมันเป็นสถานที่เดียวที่ฉันมั่นใจว่าต่อให้ต้องบอกเธอถึงเรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิต แต่กลิ่นดินและไอแดด รวมทั้งความชุ่มฉ่ำของไวน์ก็จะช่วยทำให้ใจของเธอสบายขึ้น ดีขึ้น"
“เพราะอะไรคะ” เสียวตวัดสูงถาม ระหว่างที่สายตาของเธอมองเหมียวเปรี้ยวและคนของเจ้าสัวเกรียงไกรอีกคนที่ยืนรออยู่ข้างๆ รถเอสยูวีสีดำคันใหญ่ห่างออกไปไกล
“ฉันได้คุยกับคุณป้าของเธอแล้ว ขออนุญาตแล้ว” เกรียงไกรหัวเราะในลำคอ เมื่อเห็นแววฉงนจากดวงหน้าของอีกฝ่าย “มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ แต่พื้นฐานจิตใจของคุณป้าเธอดี เป็นคนดี แม้จะแค้นฉันมากมายนัก แต่ก็ไม่ได้อาฆาตจ้องจะล้างแค้นให้ตายกันไปข้าง แต่นั่นอาจเป็นเพราะคุณมัลลิกาเห็นแล้วกระมังว่า…เวรกรรม มันจ่อเอาคืนฉันอยู่โทนโท่แล้ว อย่างไรก็เถอะ คนที่สามารถปล่อย วาง ยุติได้…แบบนี้ได้หายาก โดยเฉพาะกับสิ่งที่ฉันและภรรยาของฉันเคยได้ทำกับปัทมา แม่ของเธอ”
“ท่านเจ้าสัวหมายถึง…”
“ฉันคงเล่าเองไม่ไหวหรอก เพราะฉันไม่เข้มแข็งขนาดนั้น” เขายื่นซองจดหมายสีขาวที่บัดนี้เคลือบด้วยสีน้ำตาลอ่อนตามกาลเวลา “เธออ่านเองดีกว่า เพราะอย่างน้อยมันก็เป็นสิ่งที่เธอควรรู้”
และเกษราก็ตั้งใจอ่านทุกประโยคทุกคำของทุกบรรทัดในจดหมายยาวสองหน้ากระดาษนั่น ยิ่งอ่านหยดน้ำตาของเธอก็ยิ่งรินไหลพรั่งพรู
สงสารแม่จับใจ…และพลอยนึกอยากจะเกลียดผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ณ ตอนนี้
เพราะความรัก เมื่อมีคนสมหวังก็มักจะต้องมีใครผิดหวังเสมอ
เพราะความอิจฉาริษยา เมื่อเห็นคนอื่นสมหวัง ได้ของรักที่ตัวเองหวงไปครอบครองทั้งกายและใจ ก็แปรเป็นความอาฆาตแค้น
เพราะความคิดผิดที่ทำให้ภรรยาของเจ้าสัวเกรียงไกรสั่งให้ผู้เป็นพี่ชายของตนขมขืนกระทำชำเราปัทมา ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่แทบทุกครั้งที่เกรียงไกรต้องเดินทางไปดูงานที่ต่างประเทศ
“ปัทหนีฉันไป ฉันไม่เคยรู้เหตุผล แต่ตอนนี้รู้แล้ว ยิ่งรู้ก็ยิ่งเจ็บปวด” เสียงสะทกสะท้านบ่งบอกถึงความระทมทุกข์แสนสาหัส โดยเฉพาะเมื่อเห็นสายตาของหญิงสาวที่มองมา
เสียใจ
แล้วยัง…ไม่ไว้วางใจ
“แม่ฆ่าตัวตายเพราะคุณ เพราะพวกคุณ!” เสียงของหญิงสาวคล้ายสำลัก ดวงตามีหยดน้ำหล่อลื่น
แม่ทนอยู่กล้ำกลืนความทุกข์ระทมและตราบาป ก็เพียงเพื่อให้เธอผู้เป็นลูกได้เกิด…ให้ลูกมีชีวิตอยู่
แม่…ไม่ทำลายเธอ แต่แม่ก็ไม่สามารถละความเจ็บปวดเพราะคราบมลทินที่เกาะติดตัวและหัวใจ
เกษรารู้จากคุณมัลลิกาแต่เพียงว่า แม่…จากไปตั้งแต่ตอนที่เธออายุเพียงขวบเดียว
เมื่อสิ้นลมหายใจ ก็ไม่มีใครรู้หรอกว่า แม่…คลายความเจ็บปวดนั้นลงได้หรือไม่ แต่ผู้ชายที่ยืนอยู่หน้าเธอตอนนี้ เกษราย่อมเห็น
ความรวดร้าว แสนสาหัส
“ถ้าฉันรู้ตอนนั้น…ถ้า…”
“แล้วจะทำอะไร ขนาดไอ้คนทำ ไอ้คนชั่วช้าสารเลวคนนี้” มือที่จับจดหมายสั่นระริกรัวด้วยความเกลียดชังสุดขั้วหัวใจ “ขนาดมันสำนึกผิด แล้วยังไง ฆ่าตัวตายตามแม่ของฉันมันก็ไม่กล้า หนอยคิดจะใช้จีวรบังก็ไม่มีพระดีๆ ที่ไหนเขาบวชให้”
“แต่อย่างน้อยถ้าฉันได้รู้ ฉันก็จะเลือกอยู่กับปัท เลือกที่จะรักผู้หญิงที่ฉันรักที่สุดในชีวิตเหมือนเดิม นั่นคือสิ่งที่ฉันทำได้ และฉันก็เลือกที่จะเลี้ยงดูเธอ ไม่ว่าเธอจะเป็นลูกของฉันหรือไม่ก็ตาม”
“ไม่จำเป็น เพราะดิฉันโตมาก็รู้ว่ามีแม่ที่แม้จะจากดิฉันไปแล้ว แต่ก็รักดิฉันมาก มีป้ามีลุง มียาย ได้รับความรักความอบอุ่น และการเลี้ยงดูอย่างดี จนดิฉันไม่เคยคิดว่า…ขาด แต่ครอบครัวคุณซิขาด เมียคุณขาดความรัก ขาดคุณธรรม ลูกสาวของคุณ…” เกษราชะงักไปเมื่อนึกถึงคำพูดที่เตรียมจะเอ่ย หากแล้ว…สำนึก ทำให้เธอยับยั้งคำพูดที่เจ็บปวด “ส่วนคุณมีเงินมีทองรวยเป็นมหาเศรษฐีติดอันดับโลก แต่ยังไงล่ะ…”
“ถึงฉันไม่คาดหวังว่าเธอจะยกโทษให้ฉัน ให้ภรรยาของฉัน แต่ฉันก็ต้องถามด้วยความหวังว่า…เธอให้อภัยเราได้ไหมเกษรา เพราะฉันเองก็เสียใจไม่แพ้เธอ ไม่แพ้คุณยายคุณป้าของเธอ เพราะปัทมาคือแสงสว่าง คือความหวังในชีวิตฉัน เธอพูดถูก…ฉันขาดความสุขไงเกษรา เพราะฉันไม่เคยมีความสุขอีกเลยนับตั้งแต่ปัทจากฉันไป”
เกษราจ้องหน้าอีกฝ่ายไม่วางตาดวงตางดงามคู่นั้นแข็งกร้าวเย็นชา
“ดิฉันไม่มีสิทธิ์ให้อภัยคุณหรอก ในตอนนี้คนที่ทำได้ก็มีแต่ป้าลิ เพราะเมียของคุณ เพราะพี่เขยของคุณทำใรสิ่งที่ทำให้ป้าลิต้องผจญกับความสูญเสียอันโหดร้าย ส่วนฉัดินแม้ตอนนี้จะเจ็บปวดเพราะรับรู้ความจริง แต่ความเจ็บก็คงไม่เท่าครึ่งที่ยายกับป้าของดิฉันต้องเจอ” แววตาของเธออ่อนลง เมื่อทอดเสียง “ถ้าป้าลิยกโทษให้คุณได้ ดิฉันก็ทำใจยอมรับทุกอย่างได้เช่นกัน”
(ต่อ)