ในช่วงบ่ายขณะที่อาจารย์คณิตศาสตร์กำลังเล่าเรื่องสมัยเด็กให้ฟัง ผมก็เริ่มรู้สึกกังวลในหลายๆ เรื่อง
โดยเฉพาะเรื่องที่ออทั่มบอกให้ระวัง เธอให้ระวังอะไรกันแน่นะ
"อะแฮ่ม" เสียงกระแอมจากลำโพงทำให้ผมดึงสติกลับมาได้ เสียงนั่นแหลมๆ เล็กๆ คนที่พูดอยู่เท่าที่ฟังจากเสียงก็คงเป็น
"สุภชาติ เนตรอนันต์ ผู้อำนวยการของโรงเรียนเนตรภัทรแห่งนี้ มีเรื่องอยากจะแจ้งให้ทุกคนทราบ"
ถ้าพูดถึงผอ. ผมเองก็เห็นตอนปฐมนิเทศนั่นแหละ รูปร่างท้วม ไว้หนวด เครา หน้าตาดุตลอดเวลาตรงข้ามกับเสียงน่ารักๆ ของตัวเอง อุ๊บ รู้สึกแอบฮาอย่างบอกไม่ถูกแฮะ
"หลังเลิกเรียนขอให้นักเรียนหญิง ม.1 และ ม. 4 ทุกคนไปที่ห้องพยาบาลเพื่อทำการฝังกลาสชิพ หากใครกลับก่อนจะถือว่าฝ่าฝืน และให้ออกจากโรงเรียนทันที ขอจบการประชาสัมพันธ์แต่เพียงเท่านี้ แกร๊ก!!"
กลาสชิพเหรอ แล้วไอ้กลาสชิพที่ว่ามันอะไรกันหว่า แล้วไหงให้แต่ผู้หญิงล่ะ ตรูก็มีแว่นนะเฟ้ย แต่ก็เอาเหอะ เราเองก็ไม่ใช่เด็กอนุบาลที่อยากได้นู่นได้นี่ไปซะหมดนี่นา แล้วเริ่มรู้สึกว่า ที่นี่ก็เข้มงวดกับผู้หญิงแฮะ ขอถอนคำพูดที่ว่าไม่เท่าเทียมก็แล้วกัน
สิ้นเสียงผอ. บรรดาสาวแว่นทั้งหลายก็ซุบซิบกันโดยไม่ได้สนใจอาจารย์ที่จะพล่ามต่อแม้แต่น้อย แต่ออทั่มกลับทำหน้ามุ่งมั่น หันหน้ามาหาผมแล้วส่งยิ้มให้อีกครั้ง
ตอนเย็นผมก็ก้าวเท้าออกจากโรงเรียนเป็นปกติ ท้องฟ้าสีแดงอ่อนกับแดดอ่อนๆ เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าพระอาทิตย์หมดหน้าที่แล้ว ผมใช้เส้นทางกลับบ้านเส้นทางเดิม ทุกอย่างยังคงเป็นปกติดีจนกระทั่งถึงบ้าน ก็พบว่าทั้งพ่อแม่และน้องชายยังไม่กลับมา ก็ต่างคนก็มีธุระ มีงานของตัวเองนี่นะ เอาเหอะ ไปอาบน้ำแล้วงีบซักหน่อยดีกว่า รอให้คนมาปลุกทานข้าวเย็นพร้อมหน้า เฮ้อ......วันนี้เซ็งชะมัด
... ...
อย่าเป็นอะไรนะคะ อย่าตายนะ ถ้าริกุตาย แล้ว ฉ..ฮึก ฮือ
หือ อะไรเสียงใครน่ะ
ฮือๆๆ ริกุ
"พี่ริกุ"
"อ๊ะ"
ผมลืมตาตื่นขึ้นมาก็เห็นน้องชายเขย่าตัวผมอยู่ ผมเองก็ยังอยู่ในห้องนอนด้วย งั้นเหรอ เมื่อกี๊เป็นแค่ความฝันนี่เอง
"ไปกินข้าวได้แล้ว" น้องผมเอ่ยขึ้น "แม่ทำไข่ยัดไส้ด้วยน๊า ของโปรดพี่ไม่ใช่เหรอ มาเรียกแค่นี้แหละ ลงไปก่อนนะ"
น้องผมรีบวิ่งลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว ผมเองก็ตามไปด้วยอาการสะลึมสะลือนิดหน่อย พอทานข้าวเสร็จก็รีบกลับมานอนต่อทันที ไม่ใช่ว่าเพราะง่วง หรือว่าเบื่อหน้าพ่อแม่หรอกนะ
แค่อยากจะฝันต่ออีกซักหน่อยว่า ผู้หญิงคนเมื่อกี๊เป็นใคร
… …
ผมตื่นขึ้นมาตอนเช้าของวันใหม่ที่ดูเรียบง่ายเหมือนทุกวัน ซึ่งกิจวัตรประจำวันก็เหมือนเดิม ฉะนั้นผมคงไม่สาธยายให้มันยืดยาวเเล้วล่ะ
พอเดินมาถึงหน้าโรงเรียนก็มีคนปั่นจักรยานเข้ามาหาผม ไม่ต้องสงสัยว่าเป็นใคร ออทั่มนั่นเอง
"อ้าวริกุ สวัสดีค่ะ" เธอปั่นจักรยานให้พอๆ กับสปีดการเดินของผม "เมื่อวานตอนเย็นมีอะไรเเปลกๆ เกิดขึ้นกับเธอรึเปล่า?"
"อ่า...ก็ไม่นี่" ผมตอบออกไป
"งั้น..ก็ดีแล้วล่ะค่ะ"
ตูม!!
อะ อะไรกัน ทำไมเรารู้สึกเย็น ๆ ตัวแบบนี้ ไม่สิมันชาไปหมดเลย ผมเงื้อมือขึ้นมาดูก็พบว่ามีเลือดติดอยู่เต็มมือ เลือดใครล่ะ? ผมมองต่ำก็พบว่ามีเลือดอยู่เต็มหน้าท้องไปหมด อ๊ะตาเริ่มพร่าแล้วด้วย งี้เองเหรอเลือดของเรา.....เอง....สินะ
"ไม่นะ ไม่นะคะ ริกุ อย่าตายนะคะ ถ้าเธอตายแล้ว แล้วฉั....ฮึก ฮือ"
ออทั่มประคองผมไว้ เขย่าตัวผมเบาๆ ตลอดเวลาที่เรียกชื่อผม เธอร้องไห้ ทำไมล่ะ? อ๊ะไม่ไหวแล้ว นี่เราเสียเลือดมากไปขนาดไหนเนี่ย ภาพเหมือนความฝันเมื่อคืนนี้เลย มันเป็นการบอกเหตุเหรอ อึก เราคง....
จะตายแล้วสินะ
และตอนนั้นผมก็ไม่ได้สติคืนมาอีกเลย
... ...
ผมลืมตาตื่นขึ้น พบแสงที่ไม่คุ้นตา เตียงและหมอนสีขาว หรือว่าที่นี่..
"อ๊ะ ริกุ ตื่นแล้ว เฮ้อ....โล่งไปทีนะคะ"
ผมเหลือบตามองเจ้าของเสียงก็พบว่าออทั่มนั่งกุมมือแล้วทำหน้าตาเป็นห่วง เล่นกุมมือกันอย่างนี้ก็เขินเหมือนกันแฮะ พอกวาดตารอบๆ ก็เห็นเป็นห้องสีขาว กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อที่ลอยเตะจมูกจางๆ เสื้อสีขาวหลวมโคร่งที่ไม่รู้ว่าใครเปลี่ยนให้ นี่มัน....โรงพยาบาลเรอะ
"เมื่อกี้เธอโดนโฟตอนไซแฟรนส์ของพวกอันกลาสเข้าน่ะ อย่างจังเลย นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว" เธอบอกผมด้วยสีหน้าเศร้าๆ
"เอ่อ โทษทีนะ อธิบายให้เก็ตหน่อย เอาตั้งแต่ต้นเรื่องซิ ฉันไม่เข้าใจที่เธอพูดเลยน่ะ แล้วก็หลายๆ เรื่องด้วย โรงเรียนนี้มันยังไงกันแน่น่ะฮะ?" เพราะทั้งเรื่องที่ออทั่มกับใบหยกพูดเหมือนส่งรหัสลับ เรื่องโรงเรียนนี้รับแต่สาวแว่น เรื่องกลาสชิพ ทั้งหมดนี่ผมว่ามันต้องเชื่อมโยงกันแน่นอน
"อะ...อึ่ก" เธอคงตกใจกับคำถามที่ผมยิงรัวไปเป็นชุด เธอถึงได้อ้าปากค้างก่อนจะเอ่ยออกมาว่า "นั่นสินะคะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ทั้งๆ ที่เธอควรจะรู้เรื่องนี้แต่กลับไม่ได้รู้ มันก็คงไม่ดีทั้งฉันทั้งริกุด้วยค่ะ"
"ก็บอกมาสิ"
"คือว่า..." เธอหยุดเงียบไปพักนึง "คุณจำเรื่องกลาสชิพ ที่ผอ. ให้ไปฝังได้มั้ยคะ"
อือ จำได้สิ ทำไมล่ะ
"ที่จริงแล้ว มันเป็นตัวช่วยดึงพลังพิเศษที่อยู่ในร่างกายของผู้หญิงใส่แว่นอย่างพวกเราค่ะ"
หา??
"กลาสชิพ จะเป็นแบบเดียวกัน แต่ว่าพอใส่กับแว่นของแต่ละคนจะต่างกันออกไป อย่างของฉันก็เป็น.....เอ่อ.....เอาไว้ดูด้วยตาตัวเองแล้วกันค่ะ"
"....."
"ส่วนพวกอันกลาส ก็คือพวกผู้หญิงไร้แว่นน่ะแหละค่ะ แต่ไม่ใช่ทั้งโลกหรอกนะ เป็นแค่องค์กรกลุ่มนึงเท่านั้น ที่สนับสนุนให้คนพิการทางสายตาใส่คอนแทคเลนส์ค่ะ พวกนั้นคอยขัดขวาง และคิดจะกำจัดผู้หญิงใส่แว่นให้หมดไปจากโลกค่ะ อย่างพวกดาราที่ใส่คอนแทคฯ ก็เป็น 1 ในองค์กรอันกลาสเช่นกันค่ะ"
จริงดิ!!
"ใช่ค่ะ ส่วนตัวริกุ ฉันจะบอกอะไรอย่างนึงนะคะ คุณเป็นเพียงคนเดียวในรอบ 100 ปี ที่ช่วยพวกเราได้"
"ช่วย?" ผมเริ่มเหงื่อตกกับคำตอบที่ได้รับซะแล้ว แต่ไม่สิ เมื่อกี๊มันแค่น้ำจิ้ม ของจริงน่ะ มันต่อจากนี้ต่างหากล่ะ
"เธอมีกลาสสโตนส์ มันเป็นเลนส์ที่ก่อกำเนิดมาเมื่อ 5000 ปีก่อน แต่ผู้ที่ได้รับเลือกจากกลาสสโตนส์เท่านั้นถึงจะมีของแบบนี้ได้"
"แล้วมันอยู่ตรงไหนล่ะ" ผมเริ่มเอ๋อๆ กับคำตอบที่ได้มาซะแล้ว กลาสสโตนส์เหรอ เราไม่เคยมีของแบบนั้นนี่ เครื่องรางเราก็ไม่เคยพก สร้อยก็ไม่เคยสวม แล้วมันอยู่ไหนล่ะ
"อยู่นี่ไงล่ะคะ"
เธออ้าแขนเข้ามาสวมกอดผมอย่างอ่อนโยน เฮ้....จะทำอะไรก็บอกกันก่อนสิออทั่ม ผมยังไม่ได้เตรียมใจเลยนะ แต่อยู่ดีๆ แสงสีเหลืองก็ปรากฏอยู่ตรงระหว่างหน้าอกของเราทั้งสอง แต่ดูเหมือนต้นแสงจะมาจากหน้าอกของเรา เอ๋!! รึว่า ไม่จริงน่า
"มันอยู่ในตัวริกุไงคะ" เธอกระซิบข้างหู การทำแบบนี้ทำให้ผมยิ่งเคลิ้มไปกับสัมผัสอันแสนนุ่มจากตัวเธอเลยทีเดียว
ออทั่มค่อยๆ ปล่อยจากตัวผมช้าๆ พร้อมกันนั้นแสงระหว่างหน้าอกของผมก็ดับวูบลงเบาๆ
"แล้วมันช่วยพวกเธอยังไงเหรอ" ตอนนี้ผมพอจะมีสติพูดกับเรื่องนี้ได้แล้ว นี่เรามีพลังพิสดารพันลึกแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย พ่อแม่ก็ไม่เคยบอกซักคำ หรือว่าพวกเขายังไม่รู้ คงงั้นล่ะมั้ง
"พลังจากกลาสสโตนส์ สามารถทำให้เราดึงพลังจากกลาสชิพมาใช้ได้มากกว่าเดิม ไม่สิ ต้องบอกว่าใช้ได้เต็มที่มากกว่า"
"งั้นเหรอ"
หลังจากผมพูดคำนี้ ออทั่มก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอีกเลย
... ...
พอช่วงใกล้เที่ยง ออทั่มก็ขอตัวกลับไปเรียนต่อ พ่อแม่พอรู้เรื่องแล้วก็ตกใจน่าดูถึงขนาดกับว่าจะรีบออกมาดูผมเลยทีเดียว แต่พอรู้ว่าผมฟื้น ก็ทำงานกันตามปกติ
ตอนเย็นพ่อแม่และน้องชายมาเยี่ยมแต่ไม่ได้ค้างคืน หมอก็บอกว่าให้พักอีกคืนนึง ให้แผลทุเลาลงก่อนแล้วค่อยกลับ แต่ก็แปลกแฮะ ทั้งๆ ที่ตอนโดนโฟตอนอะไรนั่นยิง แผลมันท่าทางจะหนักเอาเรื่องนี่นา แล้วทำไมมันถึงได้สมานเร็วอย่างนี้เนี่ย เป็นเพราะพลังที่ว่านี่เรอะ เฮ้อปวดหัวจริง รีบๆ นอนดีกว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รอดูอาการแล้วกัน ถ้าหายปลิดทิ้งจริงๆ ก็จะได้ไปโรงเรียนซะตั้งแต่วันนั้นเลย และก็....มีเรื่องต้องสืบด้วย
ก่อนอื่นก็ต้องขอรู้ประวัติโรงเรียนนี้ก่อนล่ะ
..........................................
ก่อนอื่นต้องขออภัยที่ไม่ได้มาลงวันเสาร์กับอาทิตย์ เนื่องด้วยติดธุระ 2 วัน จนไม่สามารถลงตอนใหม่ได้ ขออภัยอย่างสูงครีบ แล้วก็.... บอกแล้วนะ...ว่าเรื่องนี้เป็นแนวแฟนตาซี
Rikuro.
Glass @ School : โรงเรียนนี้มีแต่(สาว)แว่น ตอนที่ 3: วันที่โดนลอบทำร้าย
โดยเฉพาะเรื่องที่ออทั่มบอกให้ระวัง เธอให้ระวังอะไรกันแน่นะ
"อะแฮ่ม" เสียงกระแอมจากลำโพงทำให้ผมดึงสติกลับมาได้ เสียงนั่นแหลมๆ เล็กๆ คนที่พูดอยู่เท่าที่ฟังจากเสียงก็คงเป็น "สุภชาติ เนตรอนันต์ ผู้อำนวยการของโรงเรียนเนตรภัทรแห่งนี้ มีเรื่องอยากจะแจ้งให้ทุกคนทราบ"
ถ้าพูดถึงผอ. ผมเองก็เห็นตอนปฐมนิเทศนั่นแหละ รูปร่างท้วม ไว้หนวด เครา หน้าตาดุตลอดเวลาตรงข้ามกับเสียงน่ารักๆ ของตัวเอง อุ๊บ รู้สึกแอบฮาอย่างบอกไม่ถูกแฮะ
"หลังเลิกเรียนขอให้นักเรียนหญิง ม.1 และ ม. 4 ทุกคนไปที่ห้องพยาบาลเพื่อทำการฝังกลาสชิพ หากใครกลับก่อนจะถือว่าฝ่าฝืน และให้ออกจากโรงเรียนทันที ขอจบการประชาสัมพันธ์แต่เพียงเท่านี้ แกร๊ก!!"
กลาสชิพเหรอ แล้วไอ้กลาสชิพที่ว่ามันอะไรกันหว่า แล้วไหงให้แต่ผู้หญิงล่ะ ตรูก็มีแว่นนะเฟ้ย แต่ก็เอาเหอะ เราเองก็ไม่ใช่เด็กอนุบาลที่อยากได้นู่นได้นี่ไปซะหมดนี่นา แล้วเริ่มรู้สึกว่า ที่นี่ก็เข้มงวดกับผู้หญิงแฮะ ขอถอนคำพูดที่ว่าไม่เท่าเทียมก็แล้วกัน
สิ้นเสียงผอ. บรรดาสาวแว่นทั้งหลายก็ซุบซิบกันโดยไม่ได้สนใจอาจารย์ที่จะพล่ามต่อแม้แต่น้อย แต่ออทั่มกลับทำหน้ามุ่งมั่น หันหน้ามาหาผมแล้วส่งยิ้มให้อีกครั้ง
ตอนเย็นผมก็ก้าวเท้าออกจากโรงเรียนเป็นปกติ ท้องฟ้าสีแดงอ่อนกับแดดอ่อนๆ เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าพระอาทิตย์หมดหน้าที่แล้ว ผมใช้เส้นทางกลับบ้านเส้นทางเดิม ทุกอย่างยังคงเป็นปกติดีจนกระทั่งถึงบ้าน ก็พบว่าทั้งพ่อแม่และน้องชายยังไม่กลับมา ก็ต่างคนก็มีธุระ มีงานของตัวเองนี่นะ เอาเหอะ ไปอาบน้ำแล้วงีบซักหน่อยดีกว่า รอให้คนมาปลุกทานข้าวเย็นพร้อมหน้า เฮ้อ......วันนี้เซ็งชะมัด
... ...
อย่าเป็นอะไรนะคะ อย่าตายนะ ถ้าริกุตาย แล้ว ฉ..ฮึก ฮือ
หือ อะไรเสียงใครน่ะ
ฮือๆๆ ริกุ
"พี่ริกุ"
"อ๊ะ"
ผมลืมตาตื่นขึ้นมาก็เห็นน้องชายเขย่าตัวผมอยู่ ผมเองก็ยังอยู่ในห้องนอนด้วย งั้นเหรอ เมื่อกี๊เป็นแค่ความฝันนี่เอง
"ไปกินข้าวได้แล้ว" น้องผมเอ่ยขึ้น "แม่ทำไข่ยัดไส้ด้วยน๊า ของโปรดพี่ไม่ใช่เหรอ มาเรียกแค่นี้แหละ ลงไปก่อนนะ"
น้องผมรีบวิ่งลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว ผมเองก็ตามไปด้วยอาการสะลึมสะลือนิดหน่อย พอทานข้าวเสร็จก็รีบกลับมานอนต่อทันที ไม่ใช่ว่าเพราะง่วง หรือว่าเบื่อหน้าพ่อแม่หรอกนะ
แค่อยากจะฝันต่ออีกซักหน่อยว่า ผู้หญิงคนเมื่อกี๊เป็นใคร
… …
ผมตื่นขึ้นมาตอนเช้าของวันใหม่ที่ดูเรียบง่ายเหมือนทุกวัน ซึ่งกิจวัตรประจำวันก็เหมือนเดิม ฉะนั้นผมคงไม่สาธยายให้มันยืดยาวเเล้วล่ะ
พอเดินมาถึงหน้าโรงเรียนก็มีคนปั่นจักรยานเข้ามาหาผม ไม่ต้องสงสัยว่าเป็นใคร ออทั่มนั่นเอง
"อ้าวริกุ สวัสดีค่ะ" เธอปั่นจักรยานให้พอๆ กับสปีดการเดินของผม "เมื่อวานตอนเย็นมีอะไรเเปลกๆ เกิดขึ้นกับเธอรึเปล่า?"
"อ่า...ก็ไม่นี่" ผมตอบออกไป
"งั้น..ก็ดีแล้วล่ะค่ะ"
ตูม!!
อะ อะไรกัน ทำไมเรารู้สึกเย็น ๆ ตัวแบบนี้ ไม่สิมันชาไปหมดเลย ผมเงื้อมือขึ้นมาดูก็พบว่ามีเลือดติดอยู่เต็มมือ เลือดใครล่ะ? ผมมองต่ำก็พบว่ามีเลือดอยู่เต็มหน้าท้องไปหมด อ๊ะตาเริ่มพร่าแล้วด้วย งี้เองเหรอเลือดของเรา.....เอง....สินะ
"ไม่นะ ไม่นะคะ ริกุ อย่าตายนะคะ ถ้าเธอตายแล้ว แล้วฉั....ฮึก ฮือ"
ออทั่มประคองผมไว้ เขย่าตัวผมเบาๆ ตลอดเวลาที่เรียกชื่อผม เธอร้องไห้ ทำไมล่ะ? อ๊ะไม่ไหวแล้ว นี่เราเสียเลือดมากไปขนาดไหนเนี่ย ภาพเหมือนความฝันเมื่อคืนนี้เลย มันเป็นการบอกเหตุเหรอ อึก เราคง....
จะตายแล้วสินะ
และตอนนั้นผมก็ไม่ได้สติคืนมาอีกเลย
... ...
ผมลืมตาตื่นขึ้น พบแสงที่ไม่คุ้นตา เตียงและหมอนสีขาว หรือว่าที่นี่..
"อ๊ะ ริกุ ตื่นแล้ว เฮ้อ....โล่งไปทีนะคะ"
ผมเหลือบตามองเจ้าของเสียงก็พบว่าออทั่มนั่งกุมมือแล้วทำหน้าตาเป็นห่วง เล่นกุมมือกันอย่างนี้ก็เขินเหมือนกันแฮะ พอกวาดตารอบๆ ก็เห็นเป็นห้องสีขาว กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อที่ลอยเตะจมูกจางๆ เสื้อสีขาวหลวมโคร่งที่ไม่รู้ว่าใครเปลี่ยนให้ นี่มัน....โรงพยาบาลเรอะ
"เมื่อกี้เธอโดนโฟตอนไซแฟรนส์ของพวกอันกลาสเข้าน่ะ อย่างจังเลย นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว" เธอบอกผมด้วยสีหน้าเศร้าๆ
"เอ่อ โทษทีนะ อธิบายให้เก็ตหน่อย เอาตั้งแต่ต้นเรื่องซิ ฉันไม่เข้าใจที่เธอพูดเลยน่ะ แล้วก็หลายๆ เรื่องด้วย โรงเรียนนี้มันยังไงกันแน่น่ะฮะ?" เพราะทั้งเรื่องที่ออทั่มกับใบหยกพูดเหมือนส่งรหัสลับ เรื่องโรงเรียนนี้รับแต่สาวแว่น เรื่องกลาสชิพ ทั้งหมดนี่ผมว่ามันต้องเชื่อมโยงกันแน่นอน
"อะ...อึ่ก" เธอคงตกใจกับคำถามที่ผมยิงรัวไปเป็นชุด เธอถึงได้อ้าปากค้างก่อนจะเอ่ยออกมาว่า "นั่นสินะคะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ทั้งๆ ที่เธอควรจะรู้เรื่องนี้แต่กลับไม่ได้รู้ มันก็คงไม่ดีทั้งฉันทั้งริกุด้วยค่ะ"
"ก็บอกมาสิ"
"คือว่า..." เธอหยุดเงียบไปพักนึง "คุณจำเรื่องกลาสชิพ ที่ผอ. ให้ไปฝังได้มั้ยคะ"
อือ จำได้สิ ทำไมล่ะ
"ที่จริงแล้ว มันเป็นตัวช่วยดึงพลังพิเศษที่อยู่ในร่างกายของผู้หญิงใส่แว่นอย่างพวกเราค่ะ"
หา??
"กลาสชิพ จะเป็นแบบเดียวกัน แต่ว่าพอใส่กับแว่นของแต่ละคนจะต่างกันออกไป อย่างของฉันก็เป็น.....เอ่อ.....เอาไว้ดูด้วยตาตัวเองแล้วกันค่ะ"
"....."
"ส่วนพวกอันกลาส ก็คือพวกผู้หญิงไร้แว่นน่ะแหละค่ะ แต่ไม่ใช่ทั้งโลกหรอกนะ เป็นแค่องค์กรกลุ่มนึงเท่านั้น ที่สนับสนุนให้คนพิการทางสายตาใส่คอนแทคเลนส์ค่ะ พวกนั้นคอยขัดขวาง และคิดจะกำจัดผู้หญิงใส่แว่นให้หมดไปจากโลกค่ะ อย่างพวกดาราที่ใส่คอนแทคฯ ก็เป็น 1 ในองค์กรอันกลาสเช่นกันค่ะ"
จริงดิ!!
"ใช่ค่ะ ส่วนตัวริกุ ฉันจะบอกอะไรอย่างนึงนะคะ คุณเป็นเพียงคนเดียวในรอบ 100 ปี ที่ช่วยพวกเราได้"
"ช่วย?" ผมเริ่มเหงื่อตกกับคำตอบที่ได้รับซะแล้ว แต่ไม่สิ เมื่อกี๊มันแค่น้ำจิ้ม ของจริงน่ะ มันต่อจากนี้ต่างหากล่ะ
"เธอมีกลาสสโตนส์ มันเป็นเลนส์ที่ก่อกำเนิดมาเมื่อ 5000 ปีก่อน แต่ผู้ที่ได้รับเลือกจากกลาสสโตนส์เท่านั้นถึงจะมีของแบบนี้ได้"
"แล้วมันอยู่ตรงไหนล่ะ" ผมเริ่มเอ๋อๆ กับคำตอบที่ได้มาซะแล้ว กลาสสโตนส์เหรอ เราไม่เคยมีของแบบนั้นนี่ เครื่องรางเราก็ไม่เคยพก สร้อยก็ไม่เคยสวม แล้วมันอยู่ไหนล่ะ
"อยู่นี่ไงล่ะคะ"
เธออ้าแขนเข้ามาสวมกอดผมอย่างอ่อนโยน เฮ้....จะทำอะไรก็บอกกันก่อนสิออทั่ม ผมยังไม่ได้เตรียมใจเลยนะ แต่อยู่ดีๆ แสงสีเหลืองก็ปรากฏอยู่ตรงระหว่างหน้าอกของเราทั้งสอง แต่ดูเหมือนต้นแสงจะมาจากหน้าอกของเรา เอ๋!! รึว่า ไม่จริงน่า
"มันอยู่ในตัวริกุไงคะ" เธอกระซิบข้างหู การทำแบบนี้ทำให้ผมยิ่งเคลิ้มไปกับสัมผัสอันแสนนุ่มจากตัวเธอเลยทีเดียว
ออทั่มค่อยๆ ปล่อยจากตัวผมช้าๆ พร้อมกันนั้นแสงระหว่างหน้าอกของผมก็ดับวูบลงเบาๆ
"แล้วมันช่วยพวกเธอยังไงเหรอ" ตอนนี้ผมพอจะมีสติพูดกับเรื่องนี้ได้แล้ว นี่เรามีพลังพิสดารพันลึกแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย พ่อแม่ก็ไม่เคยบอกซักคำ หรือว่าพวกเขายังไม่รู้ คงงั้นล่ะมั้ง
"พลังจากกลาสสโตนส์ สามารถทำให้เราดึงพลังจากกลาสชิพมาใช้ได้มากกว่าเดิม ไม่สิ ต้องบอกว่าใช้ได้เต็มที่มากกว่า"
"งั้นเหรอ"
หลังจากผมพูดคำนี้ ออทั่มก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอีกเลย
... ...
พอช่วงใกล้เที่ยง ออทั่มก็ขอตัวกลับไปเรียนต่อ พ่อแม่พอรู้เรื่องแล้วก็ตกใจน่าดูถึงขนาดกับว่าจะรีบออกมาดูผมเลยทีเดียว แต่พอรู้ว่าผมฟื้น ก็ทำงานกันตามปกติ
ตอนเย็นพ่อแม่และน้องชายมาเยี่ยมแต่ไม่ได้ค้างคืน หมอก็บอกว่าให้พักอีกคืนนึง ให้แผลทุเลาลงก่อนแล้วค่อยกลับ แต่ก็แปลกแฮะ ทั้งๆ ที่ตอนโดนโฟตอนอะไรนั่นยิง แผลมันท่าทางจะหนักเอาเรื่องนี่นา แล้วทำไมมันถึงได้สมานเร็วอย่างนี้เนี่ย เป็นเพราะพลังที่ว่านี่เรอะ เฮ้อปวดหัวจริง รีบๆ นอนดีกว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รอดูอาการแล้วกัน ถ้าหายปลิดทิ้งจริงๆ ก็จะได้ไปโรงเรียนซะตั้งแต่วันนั้นเลย และก็....มีเรื่องต้องสืบด้วย
ก่อนอื่นก็ต้องขอรู้ประวัติโรงเรียนนี้ก่อนล่ะ
..........................................
ก่อนอื่นต้องขออภัยที่ไม่ได้มาลงวันเสาร์กับอาทิตย์ เนื่องด้วยติดธุระ 2 วัน จนไม่สามารถลงตอนใหม่ได้ ขออภัยอย่างสูงครีบ แล้วก็.... บอกแล้วนะ...ว่าเรื่องนี้เป็นแนวแฟนตาซี
Rikuro.