บทนำ
http://ppantip.com/topic/31487949
ผมค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นด้วยตัวเอง
“อือ เช้าแล้ว...งั้นเหรอ”
ผมชันกายลุกขึ้นจากที่นอน สิ่งที่มองเห็นมีแต่ความพร่ามัว
ไม่ใช่เพราะว่าขี้ตาบังหรอกนะ แต่ผมเป็นคนสายตาสั้นต่างหาก ข้างละ 400 เป๊ะ ๆ ด้วยความที่สายตาสั้นนี่ก็ทำให้ผมรำคาญเอาเรื่องเช่นกัน
ผมหันหลังกลับและเอื้อมมือไปหยิบแว่นตาที่อยู่ตรงหัวนอนมาใส่ ในขณะเดียวกัน ก็มีเสียงแม่เรียกผมจากอีกฝั่งของบานประตู
“ริกุลูกรัก ตื่นได้แล้ว เดี๋ยวไปโรงเรียนสายนะ”
“คร้าบ...”
ด้วยเสียงของแม่ที่เร่งเร้า ผมจึงต้องชันกายออกจากเตียงทันที ลงไปชั้นล่างเพื่อเข้าห้องน้ำ ทำกิจวัตรประจำวันแบบธรรมดาสามัญที่ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ พอออกจากห้องน้ำก็ขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนักเรียนที่ต้องใส่ไปเรียนวันนี้ แล้วลงมานั่งทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว
"ปีนี้ลูกก็ม.4 แล้วนะ ตั้งใจเรียนล่ะลูกรักของแม่" แม่ผมเริ่มเปิดประเด็นบนโต๊ะทานข้าว "ครับ เข้าใจแล้ว ผมรู้ตัวผมดีว่าผมทำอะไร แม่ไม่ต้องพูดอะไรมากหรอกครับ ผมจะพยายามแน่นอน" ผมตอบด้วยรอยยิ้ม "พี่ริกุ ก็รีบๆ หาแฟนเร็วๆ ซะสิ"
"พรู่ดดดดด" คำพูดน้องชายทำเอาผมสำลักน้ำเปล่าที่กำลังดื่ม "ไอ้เจ้าเร็น ไม่ต้องมายุ่งเลย แล้วแกล่ะ ไม่มีสาวๆ มายุ่มย่ามรึไง"
"ก็....มีนี่ฮะ แต่มันยังไม่ถึงเวลาผมก็เลยบอกปัดไปหมด อายุ 14 จะรีบมีไปไหน ใจแตกเปล่าๆ ผมว่าจะรอให้อายุเท่าพี่แล้วค่อยมีน่ะฮะ"
หนอยไอ้เด็กหัวสูง เอ....แต่ที่น้องเราพูดมันก็ถูกแฮะ
"รีบๆ หาแฟนซะ" พ่อผมเอ่ยขึ้นหลังจากที่เงียบมานาน โธ่ พ่อฉันก็เป็นไปด้วยรึนี่
"รีบๆ หาแฟนเข้านะจ๊ะ ลูกรัก โรงเรียนเนตรภัทร สาวๆ หน้าตาดีเยอะแยะทั้งนั้นเลยนะลูก หาสะใภ้ให้แม่ให้ได้ล่ะ"
แม่ก็อีกคนเหรอ!
"หาแฟนซะนะพี่ริกุ"
ไม่ต้องมาตอกย้ำเลย ไอ้น้องบ้า
"เอ่อ.......ผมขอคิดดูก่อนนะครับ"
ก็...นะ จะให้รีบๆหาซะภายในวันเดียวก็จะเร็วไปมั้ง ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา แถมผมเองก็ยังไม่อยากมีด้วย ผมอยากใช้ชีวิตธรรมดาจืดชืดและสงบสุขแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะโตขึ้นแล้วเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ชักแปลกใจกับพ่อแม่ตัวเองจริงจริ๊ง ที่ยอมให้ลูกตัวเองมีแฟนได้เนี่ย เฮ้อ....
ผมก้าวจากประตูบ้าน ไหว้ลาพ่อแม่เพื่อออกไปพบกับเพื่อนใหม่ที่รอคอยในโรงเรียนใหม่ๆ นี่ "โรงเรียนเนตรนภัทร" โรงเรียนที่รวบรวมแขนงวิชาความรู้อันพิสดารพันลึกสุดจะบรรยาย ผมเองก็ฟังจากชาวบ้านเล่าต่อๆ กันมาน่ะแหละ ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่า เพราะเหตุใดพ่อแม่ถึงยอมให้ผมเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ ใกล้บ้านเหรอ? นั่นอาจจะเป็น1 ในเหตุผลก็ได้ เพราะผมเองก็เดินไป แต่มันก็คงต้องมีอะไรมากกว่านั้นแหง เอาเหอะ เอาไว้ค่อยก้าวเข้าไปโรงเรียนซะก่อน แล้วค่อยค้นหาก็ได้นี่นา
แต่ผมเริ่มรู้สึกว่า หลังจากที่ผมเข้าโรงเรียนนี้ไป ชีวิตผมคงปั่นป่วนน่าดู...
ระยะทางระหว่างบ้านของผมกับโรงเรียนไม่ไกลมากนัก ถ้าเดินแบบเอื่อยเฉื่อยก็ใช้เวลาประมาณเพียง 20 นาทีเท่านั้น ซึ่งตอนนี้ผมก็ก้าวขาเดินแบบไม่รีบร้อนนัก แต่ก็รักษาระยะก้าวอย่างสม่ำเสมอ ผ่านทางม้าลาย ทางแยก(ที่ต้องเลี้ยวขวา เพราะเป็นทางไปโรงเรียน) เดินข้ามสะพาน และแล้วก็ถึงโรงเรียนซักที
อืม.....บรรยากาศคุณหนูแท้ๆ เลยนะเนี่ย มีต้นไม้ และสนามหญ้าอยู่ประปรายพอให้ความร่มรื่นงดงาม อาคารก็เป็นรูปทรงหยั่งกะพระราชวังกษัตริย์เบลเยี่ยม ผู้คนก็ดูเหมือนจะทยอยเข้ามาเรื่อยๆ มีนักเรียนหญิงถักเปียสวมแว่นกรอบกลม ขอบแว่นบางๆ ปั่นจักรยานผ่านหน้าผมไป แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจเป็นพิเศษหรอก แต่ก็อย่างที่พ่อเเม่บอกแฮะ โรงเรียนนี้มีแต่ผู้หญิงสวมแว่นเต็มไปหมดเลย ผอ. โรงเรียนนี้เป็นพวกโอตาคุแว่นรึไงกันน้า....
แถมอีกอย่าง ดู ๆ แล้วมีแค่เราคนเดียวที่เป็นผู้ชายเดินเฉิดฉายอยู่ในโรงเรียนนี้นี่หว่า จะไปรอดมั้ยเนี่ย
... ...
หลังจากฟังปฐมนิเทศที่ชวนง่วงในหอประชุมใหญ่ที่ดูอลังการพอๆ กับโรงแรมระดับคลาสเอแล้ว ผมก็กลับไปห้องเรียนเพื่อแนะนำตัว เมื่อถึงผมต้องถึงคิวแนะนำตัว ผมก็พูดออกไปว่า
"ริกุ รัตนเบศร์ครับ เรียกผมริกุก็ได้ บ้านอยู่ที่ซอยมุรินริทครับ จากนี้ขอฝากตัวด้วยครับ"
ก็นะ เป็นการแนะนำที่เรียบง่ายและกระชับที่สุดแล้ว ผมนั่งลงแล้วลองมองรอบๆ ห้องเรียน เอ๋!! ผู้ชายมีแค่เราคนเดียวเหรอ บ้าน่า อย่างน้อยก็น่าจะมีผู้ชายมาเป็นสหายซักคนนะเนี่ย ผมมองลอกแลกไปมาซัก แล้วผมก็หยุดชะงัก ผมมองไปเห็นผู้หญิงที่นั่งเยื้องจากขวามือของผม เพียง 2 ไม้บรรทัด เธอคนนั้นก็คือคนที่เห็นปั่นจักรยานมาตอนเช้านั่นเอง พอมองดูดีๆเธอเป็นผู้หญิงสวยมาก ใบหน้ารูปไข่ขาวผ่อง แววตาที่เปล่งประกายมีออร่าตลอดเวลา ริมฝีปากชมพูระเรื่อ ผมเปียที่ถักมาก็เข้ากับใบหน้าของเธออย่างบอกไม่ถูก เธอหันมาสบตาผมพอดี แล้วก็...
เธอยิ้มให้ผม
ผมรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก นี่เหรอรอยยิ้มของผู้หญิงในวัยเดียวกับเรา ถึงในช่วงวัยเด็กจะเคยมีเพื่อนผู้หญิงแล้วเล่นกัน ส่งยิ้มให้กันก็เหอะ แต่นี่มันต่างออกไป พอเธอหันกลับไป ผมก็ยังรู้สึกโหยหาใบหน้ารอยยิ้มนั้นอยู่เป็นนิจ ผมนั่งเหม่อไปทางเธอจนถึงคิวที่เธอต้องแนะนำตัว
"อธิตยา ชมพูผดุง ชื่อเล่นออทั่มค่ะ ฝากตัวด้วยค่ะ"
พอนั่งลงเธอก็มองหน้าผมอีกครั้ง ถึงจะผ่านกรอบแว่นแต่เธอก็รู้สึกดูดีอย่างบอกไม่ถูก แถมคราวนี้ยังแอบหัวเราะ คิกๆ เบาๆ ออกมาด้วย
สงสัยเราคงทำหน้าตาประหลาดๆ ตอนจ้องเธอแหงๆ
(ติดตามต่อพรุ่งนี้)
...................................................................
และแล้วก็เอามาลงตามสัญญา หุ ๆ นี่แค่เพิ่งเริ่มต้นนะครับ แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าเรื่องนี้เป็นแนวแฟนตาซีนะครับ ไม่ใช่โรแมนติกแน่นอน(แต่ก็มีเลิฟคอเมดี้หน่อย ๆ นะ) เอาล่ะ ขอบคุณมากครับที่เข้ามาอ่านกัน ถ้าติชมจะเป็นพระคุณอย่างยิ่งในการพัฒนาต่อไป
Rikuro.
Glass @ School : โรงเรียนนี้มีแต่(สาว)แว่น ตอนที่ 1 ออทั่ม
ผมค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นด้วยตัวเอง
“อือ เช้าแล้ว...งั้นเหรอ”
ผมชันกายลุกขึ้นจากที่นอน สิ่งที่มองเห็นมีแต่ความพร่ามัว
ไม่ใช่เพราะว่าขี้ตาบังหรอกนะ แต่ผมเป็นคนสายตาสั้นต่างหาก ข้างละ 400 เป๊ะ ๆ ด้วยความที่สายตาสั้นนี่ก็ทำให้ผมรำคาญเอาเรื่องเช่นกัน
ผมหันหลังกลับและเอื้อมมือไปหยิบแว่นตาที่อยู่ตรงหัวนอนมาใส่ ในขณะเดียวกัน ก็มีเสียงแม่เรียกผมจากอีกฝั่งของบานประตู
“ริกุลูกรัก ตื่นได้แล้ว เดี๋ยวไปโรงเรียนสายนะ”
“คร้าบ...”
ด้วยเสียงของแม่ที่เร่งเร้า ผมจึงต้องชันกายออกจากเตียงทันที ลงไปชั้นล่างเพื่อเข้าห้องน้ำ ทำกิจวัตรประจำวันแบบธรรมดาสามัญที่ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ พอออกจากห้องน้ำก็ขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนักเรียนที่ต้องใส่ไปเรียนวันนี้ แล้วลงมานั่งทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว
"ปีนี้ลูกก็ม.4 แล้วนะ ตั้งใจเรียนล่ะลูกรักของแม่" แม่ผมเริ่มเปิดประเด็นบนโต๊ะทานข้าว "ครับ เข้าใจแล้ว ผมรู้ตัวผมดีว่าผมทำอะไร แม่ไม่ต้องพูดอะไรมากหรอกครับ ผมจะพยายามแน่นอน" ผมตอบด้วยรอยยิ้ม "พี่ริกุ ก็รีบๆ หาแฟนเร็วๆ ซะสิ"
"พรู่ดดดดด" คำพูดน้องชายทำเอาผมสำลักน้ำเปล่าที่กำลังดื่ม "ไอ้เจ้าเร็น ไม่ต้องมายุ่งเลย แล้วแกล่ะ ไม่มีสาวๆ มายุ่มย่ามรึไง"
"ก็....มีนี่ฮะ แต่มันยังไม่ถึงเวลาผมก็เลยบอกปัดไปหมด อายุ 14 จะรีบมีไปไหน ใจแตกเปล่าๆ ผมว่าจะรอให้อายุเท่าพี่แล้วค่อยมีน่ะฮะ"
หนอยไอ้เด็กหัวสูง เอ....แต่ที่น้องเราพูดมันก็ถูกแฮะ
"รีบๆ หาแฟนซะ" พ่อผมเอ่ยขึ้นหลังจากที่เงียบมานาน โธ่ พ่อฉันก็เป็นไปด้วยรึนี่
"รีบๆ หาแฟนเข้านะจ๊ะ ลูกรัก โรงเรียนเนตรภัทร สาวๆ หน้าตาดีเยอะแยะทั้งนั้นเลยนะลูก หาสะใภ้ให้แม่ให้ได้ล่ะ"
แม่ก็อีกคนเหรอ!
"หาแฟนซะนะพี่ริกุ"
ไม่ต้องมาตอกย้ำเลย ไอ้น้องบ้า
"เอ่อ.......ผมขอคิดดูก่อนนะครับ"
ก็...นะ จะให้รีบๆหาซะภายในวันเดียวก็จะเร็วไปมั้ง ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา แถมผมเองก็ยังไม่อยากมีด้วย ผมอยากใช้ชีวิตธรรมดาจืดชืดและสงบสุขแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะโตขึ้นแล้วเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ชักแปลกใจกับพ่อแม่ตัวเองจริงจริ๊ง ที่ยอมให้ลูกตัวเองมีแฟนได้เนี่ย เฮ้อ....
ผมก้าวจากประตูบ้าน ไหว้ลาพ่อแม่เพื่อออกไปพบกับเพื่อนใหม่ที่รอคอยในโรงเรียนใหม่ๆ นี่ "โรงเรียนเนตรนภัทร" โรงเรียนที่รวบรวมแขนงวิชาความรู้อันพิสดารพันลึกสุดจะบรรยาย ผมเองก็ฟังจากชาวบ้านเล่าต่อๆ กันมาน่ะแหละ ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่า เพราะเหตุใดพ่อแม่ถึงยอมให้ผมเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ ใกล้บ้านเหรอ? นั่นอาจจะเป็น1 ในเหตุผลก็ได้ เพราะผมเองก็เดินไป แต่มันก็คงต้องมีอะไรมากกว่านั้นแหง เอาเหอะ เอาไว้ค่อยก้าวเข้าไปโรงเรียนซะก่อน แล้วค่อยค้นหาก็ได้นี่นา
แต่ผมเริ่มรู้สึกว่า หลังจากที่ผมเข้าโรงเรียนนี้ไป ชีวิตผมคงปั่นป่วนน่าดู...
ระยะทางระหว่างบ้านของผมกับโรงเรียนไม่ไกลมากนัก ถ้าเดินแบบเอื่อยเฉื่อยก็ใช้เวลาประมาณเพียง 20 นาทีเท่านั้น ซึ่งตอนนี้ผมก็ก้าวขาเดินแบบไม่รีบร้อนนัก แต่ก็รักษาระยะก้าวอย่างสม่ำเสมอ ผ่านทางม้าลาย ทางแยก(ที่ต้องเลี้ยวขวา เพราะเป็นทางไปโรงเรียน) เดินข้ามสะพาน และแล้วก็ถึงโรงเรียนซักที
อืม.....บรรยากาศคุณหนูแท้ๆ เลยนะเนี่ย มีต้นไม้ และสนามหญ้าอยู่ประปรายพอให้ความร่มรื่นงดงาม อาคารก็เป็นรูปทรงหยั่งกะพระราชวังกษัตริย์เบลเยี่ยม ผู้คนก็ดูเหมือนจะทยอยเข้ามาเรื่อยๆ มีนักเรียนหญิงถักเปียสวมแว่นกรอบกลม ขอบแว่นบางๆ ปั่นจักรยานผ่านหน้าผมไป แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจเป็นพิเศษหรอก แต่ก็อย่างที่พ่อเเม่บอกแฮะ โรงเรียนนี้มีแต่ผู้หญิงสวมแว่นเต็มไปหมดเลย ผอ. โรงเรียนนี้เป็นพวกโอตาคุแว่นรึไงกันน้า....
แถมอีกอย่าง ดู ๆ แล้วมีแค่เราคนเดียวที่เป็นผู้ชายเดินเฉิดฉายอยู่ในโรงเรียนนี้นี่หว่า จะไปรอดมั้ยเนี่ย
... ...
หลังจากฟังปฐมนิเทศที่ชวนง่วงในหอประชุมใหญ่ที่ดูอลังการพอๆ กับโรงแรมระดับคลาสเอแล้ว ผมก็กลับไปห้องเรียนเพื่อแนะนำตัว เมื่อถึงผมต้องถึงคิวแนะนำตัว ผมก็พูดออกไปว่า
"ริกุ รัตนเบศร์ครับ เรียกผมริกุก็ได้ บ้านอยู่ที่ซอยมุรินริทครับ จากนี้ขอฝากตัวด้วยครับ"
ก็นะ เป็นการแนะนำที่เรียบง่ายและกระชับที่สุดแล้ว ผมนั่งลงแล้วลองมองรอบๆ ห้องเรียน เอ๋!! ผู้ชายมีแค่เราคนเดียวเหรอ บ้าน่า อย่างน้อยก็น่าจะมีผู้ชายมาเป็นสหายซักคนนะเนี่ย ผมมองลอกแลกไปมาซัก แล้วผมก็หยุดชะงัก ผมมองไปเห็นผู้หญิงที่นั่งเยื้องจากขวามือของผม เพียง 2 ไม้บรรทัด เธอคนนั้นก็คือคนที่เห็นปั่นจักรยานมาตอนเช้านั่นเอง พอมองดูดีๆเธอเป็นผู้หญิงสวยมาก ใบหน้ารูปไข่ขาวผ่อง แววตาที่เปล่งประกายมีออร่าตลอดเวลา ริมฝีปากชมพูระเรื่อ ผมเปียที่ถักมาก็เข้ากับใบหน้าของเธออย่างบอกไม่ถูก เธอหันมาสบตาผมพอดี แล้วก็...
เธอยิ้มให้ผม
ผมรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก นี่เหรอรอยยิ้มของผู้หญิงในวัยเดียวกับเรา ถึงในช่วงวัยเด็กจะเคยมีเพื่อนผู้หญิงแล้วเล่นกัน ส่งยิ้มให้กันก็เหอะ แต่นี่มันต่างออกไป พอเธอหันกลับไป ผมก็ยังรู้สึกโหยหาใบหน้ารอยยิ้มนั้นอยู่เป็นนิจ ผมนั่งเหม่อไปทางเธอจนถึงคิวที่เธอต้องแนะนำตัว
"อธิตยา ชมพูผดุง ชื่อเล่นออทั่มค่ะ ฝากตัวด้วยค่ะ"
พอนั่งลงเธอก็มองหน้าผมอีกครั้ง ถึงจะผ่านกรอบแว่นแต่เธอก็รู้สึกดูดีอย่างบอกไม่ถูก แถมคราวนี้ยังแอบหัวเราะ คิกๆ เบาๆ ออกมาด้วย
สงสัยเราคงทำหน้าตาประหลาดๆ ตอนจ้องเธอแหงๆ
(ติดตามต่อพรุ่งนี้)
...................................................................
และแล้วก็เอามาลงตามสัญญา หุ ๆ นี่แค่เพิ่งเริ่มต้นนะครับ แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าเรื่องนี้เป็นแนวแฟนตาซีนะครับ ไม่ใช่โรแมนติกแน่นอน(แต่ก็มีเลิฟคอเมดี้หน่อย ๆ นะ) เอาล่ะ ขอบคุณมากครับที่เข้ามาอ่านกัน ถ้าติชมจะเป็นพระคุณอย่างยิ่งในการพัฒนาต่อไป
Rikuro.