[KungKevTH's Talk] คำเตือนจากห้วยโก๋นกับสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เมื่อช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมาผมได้เดินทางไปท่องเที่ยวในหลายจังหวัดทางภาคเหนือเป็นเวลา 5 วัน 4 คืน โดยในจำนวนนี้มีถึง 3 คืนที่ไปพักที่จังหวัดน่าน ส่วนอีกคืนหนึ่งพักที่จังหวัดเชียงใหม่ การเดินทางครั้งนี้ผมได้แวะสถานที่ต่างๆในหลายจังหวัด ได้สัมผัสอากาศบริสุทธิ์ท่ามกลางธรรมชาติ ผมได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง รวมทั้งได้ข้อคิดและคำเตือนบางประการจากสถานที่เหล่านั้น และสถานที่หนึ่งที่ผมได้ไปเยี่ยมเยือนก็คือพิพิธภัณฑ์ทหารกลางแจ้ง ฐานห้วยโก๋น ที่ อ.เฉลิมพระเกียรติ์ จ.น่าน

เมื่อผมได้เดินทางมาถึงก็พบกับบรรยากาศที่เงียบสงบของที่นี่ มีทหารนั่งประจำการอยู่หนึ่งนาย ทางซ้ายมือมีอนุสาวรีย์ อนุสาวรีย์นั้นมีทหารสามนาย ทั้งสามมีปืนเป็นอาวุธประจำกายคนละกระบอก พวกเขาถือธงชาติไทยไว้ตรงกลาง ราวกับจะบอกว่าพร้อมปกป้องประเทศไทยแม้ต้องยอมพลีชีวิตตัวเองก็ตาม



เมื่อเดินไปตามทางเดินจะพบป้ายบรรยายรายละเอียดเหตุการณ์ มีอาวุธยุทธโธปกรณ์ และสิ่งของที่เสียหายจากเหตุการณ์นั้น ถัดไปเป็นสถานที่เสียชีวิตของทหารแต่ละนายรวม 17 นาย มีการปักป้ายชื่อว่าใครคือผู้เสียชีวิตบริเวณนั้น

เกิดอะไรขึ้นที่นี่!?

ต้องย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2518 มีการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายรัฐกับกองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นกองกำลังของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันด้วยอาวุธ ทั้งปืน ทั้งระเบิด และอาวุธอื่น ผลที่เกิดขึ้นที่นี่ก็คือความสูญเสีย ทหารเสียชีวิต 17 นาย ส่วนฝ่ายสมาชิกพรรคคอมฯเสียชีวิตราว 30 ราย

ในวันนั้นที่นี่ถูกใช้เป็นฐานปฏิบัติการทหารของรัฐ แต่ปัจจุบันได้แปรสภาพมาเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง หากให้มองมุมหนึ่งว่าทำไมถึงต้องใช้ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ ผมคงตอบว่าเพื่อเชิดชูวีรกรรมของทหาร และโจมตีผู้มีแนวคิดแบบคอมมิวนิสต์หรืออย่างน้อยก็ผู้ที่เข้าร่วมต่อสู้กับพรรคคอมฯ ไม่ว่าจะมีแนวคิดแบบคอมมิวนิสต์หรือไม่ เพราะที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีแต่การกล่าวถึงความสูญเสียของทหาร และความรุนแรงของสมาชิกพรรคคอมฯ

แต่หากมองอีกมุมหนึ่งจะเห็นสิ่งที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้พยายามจะบอกกับเรา นั่นคือการย้ำเตือนว่าอย่าให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก อย่าให้คนไทยต้องมาฆ่ากันเองอีก



สถานการณ์บ้านเมืองในเวลานี้ร้อนระอุ เกิดความแตกแยก แบ่งเป็นฝักฝ่ายของประชาชน เมื่อมีคนกลุ่มหนึ่งประกาศเตรียมปิดกรุงเทพฯ ขณะที่คนอีกกลุ่มประกาศเตรียมเปิด ผมไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันที่ 13 ม.ค. และหลังจากนั้น แต่ที่ผมรู้มีเพียงอย่างเดียวคือเราแตกแยกกันมากขึ้นเรื่อยๆ และถึงจุดที่สามารถบอกได้ว่าสงครามกลางเมืองไม่ใช่เรื่องไกลตัว

ปัจจุบันผมอายุ 19 ปี สงครามกลางเมืองที่ผมจำความได้มีแค่ที่ซีเรียกับลิเบีย แต่จากการร่ำเรียนและศึกษาเพิ่มเติม ทำให้ผมได้รู้จักสงครามกลางเมืองอเมริกัน ความแตกแยกระหว่างเผ่าพันธุ์ในรวันดา กัมพูชายุคเขมรแดง และอื่นๆ โดยแต่ละที่ล้วนเกิดความสูญเสียอย่างน้อยที่สุดคือหลักหมื่น และการสังหารกันในรวันดาทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อยห้าแสนคนในเวลาเพียงแค่ 100 วัน

สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยตั้งแต่ “วันเสียงปืนแตก” ที่สมาชิกพรรคคอมฯประกาศจับอาวุธต่อสู้กับรัฐบาลเมื่อปี 2508 จนสิ้นสุดในปี 2523 รวมระยะเวลาราว 15 ปี ความขัดแย้งครั้งนั้นอาจไม่ได้เป็นวงกว้างและส่งผลกระทบขนาดเรียกว่าสงครามกลางเมือง แต่อย่างน้อยก็มากพอที่ทำให้เกิดผู้สูญเสีย ซึ่งอาจจะมีมากถึงหลักพันด้วยซ้ำไป (หนึ่งในนั้นคือคุณจิตร ภูมิศักดิ์)



ที่ผมยกตัวอย่างเหตุการณ์การต่อสู้ของพรรคคอมฯ ไม่ใช่เพื่อชี้หน้าใครว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นเผด็จการ ประชาธิปไตย ใครดี หรือใครไม่ดี นั่นเป็นคนละเรื่อง แต่สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อก็คือการบอกว่าอย่าให้คนไทยต้องฆ่ากันเองด้วยแนวคิดทางการเมืองที่แตกต่างอีกเลย เราอยู่ในศตวรรษที่ 21 เป็นยุคโลกาภิวัตน์ เราควรช่วยกันพัฒนาบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นสีหรือฝ่ายใด โดยเริ่มจากการกลับเข้าสู่กระบวนการก่อนเป็นลำดับแรก เพราะหากเกิดเหตุจริงในครั้งนี้ผมค่อนข้างมั่นใจว่าจะรุนแรงยิ่งกว่าในอดีต ด้วยความแตกแยกที่มีนั้นมันกระจายเป็นวงกว้างไปแทบทุกซอกของสังคม และอาจรุนแรงถึงขนาดเรียกว่าเป็นสงครามกลางเมือง

นี่คือคำเตือนที่ผมได้รับจากห้วยโก๋น

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่