การเมือง หาความผิดความถูกได้ยาก
เพราะ มันอิงหลายอย่าง หลายมาตรฐาน เช่น การแบ่งปันผลประโยชน์ ความเสมอภาค เสรีภาพ
สมดุลของสิ่งเก่ากับสิ่งใหม่ รวมถึง จริยธรรมและจิตสำนึกของประชาชน
คนๆหนึ่ง อาจเห็นพ้องต่อทิศทางการบริหารประเทศของรัฐบาล และมองข้ามความไม่เอาไหนในการบริหาร
ซึ่งส่งผลเสียหายต่อประชาชน แต่ตัวเองอาจไม่ได้รับผลกระทบขณะนั้น จึงไม่ใส่ใจ ไม่พูดถึง
คนๆหนึ่ง อาจไม่เห็นพ้องกับทิศทางการบริหารประเทศของรบ. แต่ได้ประโยชน์จากรบ.แม้ในขณะที่บริหารไม่เอาไหน
จึงดำรงสถานะไทยเฉย ไทยเงียบ และไม่วิพากวิจารณ์เหตุบ้านการเมืองที่ร้อนระอุ เพราะ ยังไงก็อยู่ได้ ในทุกทาง
การเมือง จะเห็นภาพรวมจึงทำได้ยาก
เพราะ คนๆหนึ่งมีข้อจำกัดในบริบทแห่งหนหน้าที่การงาน ไม่ได้มีเวลามารับรุ้
สถานะจริงๆของเหตุบ้านการเมืองได้อย่างถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง อีกทั้งเมื่อรัฐบาลมีข้อผิดพลาดมาก ก็มักใช้
การสร้างข่าวปกปิด บิดเบือน จากอานิสงค์การครอบสื่อไว้แล้วอย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้การเข้าใจภาพรวมเหตุการณ์
เป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น ยิ่งประชาชนถูกแบ่งเป็นฝักฝ่าย จากแนวทางแบ่งแยกแล้วปกครองของรัฐบาล
ก็ยิ่งทำให้มีความซับซ้อนยิ่งขึ้นของการชี้ถูกชี้ผิด หรือการรู้แจ้งต่อเหตุบ้านการเมืองขึ้นไปอีกมาก
ยิ่งคนที่ยากจนด้วยแล้ว ยิ่งเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้นไปอีกที่จะเห็นแจ้งได้
เพราะ วิถีชีวิตของพวกเขาแทบไม่มีเวลามาทำความเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ได้ แต่ละวันที่ผ่านไป ก็แทบไม่มีแรงเหลือทำอย่างอื่นแล้ว นอกจากดิ้นรนให้รอดในแต่ละวัน พวกเขาจึงมักถูกหลอกใช้เป็นเครืองมือทางการเมืองอยู่เสมอๆ
นอกจากนั้น จะทำความเข้าใจการเมือง ยังต้องอาศัยความรู้ทางประวัติศาสตร์เป็นฐานในการตีความในภาพกว้างอีกด้วย
แต่ประวัติศาสตร์ ก็ยังถูกยกขึ้นตีความได้แตกต่างกัน ทั้งในบริบทของเหตุการณ์เอง และอาศัยแนวคิด ทฤษฏีปัจจุบันมาจับเพื่อสร้างความหมายได้อีก จึงทำให้การตีความการเมือง เต็มไปด้วยความหลากหลายที่เสนอต่อสาธารณะท่ามกลางความขัดแย้งที่ชักคะเย่อ
ทางอำนาจ ระหว่างรัฐบาลอ้างการเลือกตั้ง กับ ม๊อบอารยะขัดขืน เพื่อปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้ง ....ซึ่งต้องติดตามกันต่อไป..
ปัญหาการทำความเข้าใจการเมือง
เพราะ มันอิงหลายอย่าง หลายมาตรฐาน เช่น การแบ่งปันผลประโยชน์ ความเสมอภาค เสรีภาพ
สมดุลของสิ่งเก่ากับสิ่งใหม่ รวมถึง จริยธรรมและจิตสำนึกของประชาชน
คนๆหนึ่ง อาจเห็นพ้องต่อทิศทางการบริหารประเทศของรัฐบาล และมองข้ามความไม่เอาไหนในการบริหาร
ซึ่งส่งผลเสียหายต่อประชาชน แต่ตัวเองอาจไม่ได้รับผลกระทบขณะนั้น จึงไม่ใส่ใจ ไม่พูดถึง
คนๆหนึ่ง อาจไม่เห็นพ้องกับทิศทางการบริหารประเทศของรบ. แต่ได้ประโยชน์จากรบ.แม้ในขณะที่บริหารไม่เอาไหน
จึงดำรงสถานะไทยเฉย ไทยเงียบ และไม่วิพากวิจารณ์เหตุบ้านการเมืองที่ร้อนระอุ เพราะ ยังไงก็อยู่ได้ ในทุกทาง
การเมือง จะเห็นภาพรวมจึงทำได้ยาก
เพราะ คนๆหนึ่งมีข้อจำกัดในบริบทแห่งหนหน้าที่การงาน ไม่ได้มีเวลามารับรุ้
สถานะจริงๆของเหตุบ้านการเมืองได้อย่างถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง อีกทั้งเมื่อรัฐบาลมีข้อผิดพลาดมาก ก็มักใช้
การสร้างข่าวปกปิด บิดเบือน จากอานิสงค์การครอบสื่อไว้แล้วอย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้การเข้าใจภาพรวมเหตุการณ์
เป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น ยิ่งประชาชนถูกแบ่งเป็นฝักฝ่าย จากแนวทางแบ่งแยกแล้วปกครองของรัฐบาล
ก็ยิ่งทำให้มีความซับซ้อนยิ่งขึ้นของการชี้ถูกชี้ผิด หรือการรู้แจ้งต่อเหตุบ้านการเมืองขึ้นไปอีกมาก
ยิ่งคนที่ยากจนด้วยแล้ว ยิ่งเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้นไปอีกที่จะเห็นแจ้งได้
เพราะ วิถีชีวิตของพวกเขาแทบไม่มีเวลามาทำความเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ได้ แต่ละวันที่ผ่านไป ก็แทบไม่มีแรงเหลือทำอย่างอื่นแล้ว นอกจากดิ้นรนให้รอดในแต่ละวัน พวกเขาจึงมักถูกหลอกใช้เป็นเครืองมือทางการเมืองอยู่เสมอๆ
นอกจากนั้น จะทำความเข้าใจการเมือง ยังต้องอาศัยความรู้ทางประวัติศาสตร์เป็นฐานในการตีความในภาพกว้างอีกด้วย
แต่ประวัติศาสตร์ ก็ยังถูกยกขึ้นตีความได้แตกต่างกัน ทั้งในบริบทของเหตุการณ์เอง และอาศัยแนวคิด ทฤษฏีปัจจุบันมาจับเพื่อสร้างความหมายได้อีก จึงทำให้การตีความการเมือง เต็มไปด้วยความหลากหลายที่เสนอต่อสาธารณะท่ามกลางความขัดแย้งที่ชักคะเย่อ
ทางอำนาจ ระหว่างรัฐบาลอ้างการเลือกตั้ง กับ ม๊อบอารยะขัดขืน เพื่อปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้ง ....ซึ่งต้องติดตามกันต่อไป..